เมียหวานของประธานเย็นชา - บทที่828 หรือว่าใช่
บทที่828 หรือว่าใช่
หรือว่า…….
ไม่เร็วขนาดนี้หรอกมั้ง?
ก่อนหน้านี้เวินเที๋ยนเที๋ยนยังคิดว่าเป็นอาการเหนื่อยเพลียจากการไปฮันนีมูนเสียอีก
ตอนนี้คิดดูแล้ว กลัวว่าจะเป็นเพราะสาเหตุนั้น
เธอเงยหน้าขึ้นมา ตัวเองในกระจกถึงแม้จะดูตกอยู่ในที่นั่งลำบาก แต่สีหน้าของเธอก็ไม่ได้ซีดเหมือนอย่างที่เธอคิดไว้แบบนั้นแล้ว
กลับมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้างแล้ว
ถ้าหากเป็นเพราะเรื่องยังไม่ชินกับอาหารการกินหรือสภาพดินฟ้าอากาศนั้น ไม่ควรจะอยากจะอาเจียนในตอนที่ท้องว่างแบบนี้
แต่ถ้าหากเป็นปฏิกิริยาของการตั้งครรภ์ล่ะก็ ทุกอย่างก็สามารถอธิบายออกมาได้หมดแล้ว
เวินเที๋ยนเที๋ยนเปิดก๊อกน้ำ แล้วเอาน้ำล้างคราบสกปรกตรงมุมปาก แล้วยกมือขึ้นมาวางไว้ตรงท้องของตัวเองอย่างไม่รู้ตัว?
ตรงนี้ มีลูกน้อยอยู่หนึ่งคนแล้วจริงๆอย่างนั้นใช่ไหม?
เธอกำลังรู้สึกลังเล ว่าจะบอกสิ่งที่ตัวเองเดานี้กับจี้จิ่งเชินดีหรือเปล่า หรือบางทีจะไปตรวจดูที่โรงพยาบาลกับเขาดี
แต่ถ้าหากไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิดแบบนั้น จะไม่ทำให้จี้จิ่งเชินดีใจเก้อไปอย่างนั้นหรือ?
ไม่ได้ไม่ได้ จะต้องตรวจสอบเองก่อนดีกว่า
ถึงตอนนั้นแล้วก็สามารถจะเซอร์ไพรส์จี้จิ่งเชินได้เช่นกัน!
ตัดสินใจได้แล้วนั้น เวินเที๋ยนเที๋ยนก็กลับมาที่โต๊ะ แต่กลับพบว่าจี้จิ่งเชินเอามีดกับส้อมนั้นวางเอาไว้บนโต๊ะ แล้วตัวเองกลับไม่ได้แตะเลย จนกระทั่งเธอกลับมา เขาถึงได้เริ่มใช้มีดกับส้อม อีกทั้งเตรียมอาหารเอาไว้ให้เธอเป็นสิ่งแรกอีกด้วย
“ตอนที่ฉันไปห้องน้ำ พี่ไม่ได้ทานเลยใช่ไหม?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนอดที่จะเอ่ยถามด้วยความสงสัยไม่ได้
“เปล่าครับ”
จี้จิ่งเชินตอบ
“ไม่อร่อยหรือคะ?”
จี้จิ่งเชินไม่ได้ตอบคำถามนี้ของเธอ เขาเพียงแค่เอ่ยถามเธอขึ้น : “คุณรู้สึกว่าอาหารที่นี่เป็นอย่างไรล่ะครับ?”
“อร่อยมากเลยค่ะ อาหารชั้นหนึ่ง พ่อครัวก็เป็นพ่อครัวใหญ่ระดับห้าดาว ทำอาหารได้ยอดเยี่ยมมากเลยค่ะ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนพูดชมขึ้นมา
จี้จิ่งเชินยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แล้วเอ่ยพูดขึ้นเบาๆทางด้านข้างเวินเที๋ยนเที๋ยน : “คุณอยู่ด้วย ถึงจะเป็นอาหารชั้นหนึ่ง คุณไม่อยู่ข้างๆผม อาหารพวกนี้ก็ไม่มีรสชาติอะไรเลยแม้แต่นิดเดียวเลยครับ”
“ผมทานเข้าไป รสชาติจืดชืดเสียจนแทบจะกลืนไม่ลงเลย”
ได้ยินคำพูดของจี้จิ่งเชินแล้ว เวินเที๋ยนเที๋ยนจึงเบิกตาขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ดูโอเวอร์ขนาดนั้นเลยหรือ พูดเหมือนเธอเป็นกับข้าวจานเด็ดอะไรอย่างนั้น
เห็นเธอแล้วก็จะกินได้อร่อย เหลือเชื่อเกินไปแล้ว
เวินเที๋ยนเที๋ยนไม่ค่อยเชื่อคำพูดของจี้จิ่งเชิน เห็นสีหน้าท่าทางของเขาแล้วก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
แต่ก็ถูกจี้จิ่งเชินที่สายตาเฉียบแหลมจับได้
“ผมไม่ได้โกหกคุณนะครับ ผมพูดเรื่องจริง”
แววตาของเขานั้นมีความตรงไปตรงมาและจริงใจเป็นอย่างมาก ราวกับว่าเวินเที๋ยนเที๋ยนไม่เชื่อเขา เป็นความผิดพลาดที่ไม่มีเหตุผลเลยอย่างไรอย่างนั้น
เวินเที๋ยนเที๋ยนจึงทำได้เพียงแชร์ความคิดของตัวเองให้กับจี้จิ่งเชิน “พี่พูดแบบนี้ ทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันเป็นเหมือนเครื่องปรุงที่เอาไว้ใช้ตอนที่จะทานอาหารอย่างไรอย่างนั้นเลยค่ะ”
“เครื่องปรุง?”
ราวกับคิดไม่ถึงเลยว่าเวินเที๋ยนเที๋ยนจะมีความคิดแบบนี้ จี้จิ่งเชินเหลือบมองเธออย่างประหลาดใจ
จากนั้นก็พยักหน้าลง “เป็นการเปรียบเทียบที่เหมาะสมมากเลยใช่ไหมคะ”
“……..”
เวินเที๋ยนเที๋ยนหน้าแดง
“เหอๆ ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นเครื่องปรุงรส แต่ก็เป็นเครื่องปรุงของผมจี้จิ่งเชินเพียงคนเดียวเท่านั้น” จี้จิ่งเชินหัวเราะเสียงต่ำออกมา
แววตาที่ลึกซึ้งของเขาจ้องมองไปยังเวินเที๋ยนเที๋ยน รวมทั้งความร้อนที่อยู่ภายในด้วย
“แล้วอีกอย่าง ผมจะทำใจเห็นคุณเป็นเครื่องปรุงได้ยังไงล่ะครับ?”
“คุณเป็นคนที่สำคัญที่สุดของผมเชียวนะ”
คุณเป็นคนที่สำคัญที่สุดของผม
แม้จะเคยได้ยินคำพูดคล้ายๆกันเช่นนี้จากจี้จิ่งเชินมามาก แต่เวินเที๋ยนเที๋ยนกลับยังคงประทับใจเพียงเพราะคำสารภาพที่ไม่ได้ตั้งใจนี้ของเขา
เธอหน้าแดง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตัวเองถูกจี้จิ่งเชินเบี่ยงเบนความสนใจไปหรือเปล่า หลังจากนั้นมาก็ไม่ได้มีความรู้สึกอยากอาเจียนอีกเลย
อาการแบบนี้เป็นมาตลอดจนถึงตอนที่จะทานอาหารเช้าวันที่สอง อาการอยากอาเจียนนั้นเกิดขึ้นมาอีกครั้ง
เวินเที๋ยนเที๋ยนไม่ได้บอกจี้จิ่งเชิน เพียงแต่ก่อนจะไปที่บริษัทนั้นเธอให้คนขับรถปล่อยเธอลงรถก่อน
“ทำไมหรือครับ?”
จี้จิ่งเชินเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
เวินเที๋ยนเที๋ยนชี้ไปยังแผงหนังสือพิมพ์ข้างทาง “ฉันจะไปซื้อหนังสือพิมพ์ฉบับนึงน่ะค่ะ ถึงยังไงก็อยู่ห่างจากบริษัทไม่ไกล ฉันซื้อเสร็จแล้วเดี๋ยวเดินไปเลยก็ได้ค่ะ”
จี้จิ่งเชินยังคงไม่วางใจ “ไม่รีบครับ ผมรอคุณได้”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ พี่ไปทำงานเถอะ ฉันไปเองได้”
เมื่อนึกถึงการคาดเดาของตัวเอง เวินเที๋ยนเที๋ยนก็หน้าแดงขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
จี้จิ่งเชินมองเธอ แล้วทำได้เพียงต้องยอม
“ระวังหน่อยนะครับ”
“รู้แล้วค่ะ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนมองตามส่งจี้จิ่งเชินไป แล้วถึงได้รีบเดินไปยังร้านขายยาที่อยู่ไม่ไกลจากแผงหนังสือพิมพ์
“สวัสดีค่ะ รบกวนถามหน่อยนะคะว่ามีที่ตรวจครรภ์ไหม?”
ที่เธอต้องแยกออกจากจี้จิ่งเชิน ก็เพราะอยากจะไปซื้อที่ตรวจครรภ์ที่ร้านขายยา
หลังจากที่ซื้อที่ตรวจครรภ์มาได้แล้วนั้น เวินเที๋ยนเที๋ยนก็กลับไปที่บริษัท แล้วใช้งานตามคำอธิบายนั้น
ตอนแรกนั้น เธอเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังกลัวหรือกำลังรอคอยกันแน่
จากบทบาทภรรยาไปเป็นแม่คน เธอไม่รู้เลยว่าเตรียมตัวพร้อมแล้วหรือยัง
และเธอเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าจี้จิ่งเชินจะรอคอยเด็กคนนี้เหมือนกับเธอหรือเปล่า
เรื่องราวที่ไม่รู้อีกมากมาย ทำให้เวินเที๋ยนเที๋ยนอดที่จะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้
แต่ความตื่นเต้นตรงจุดนี้ เมื่อเทียบกับชีวิตใหม่ที่จะเกิดขึ้นมานั้น กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยแทบไม่ต้องพูดถึงเลย
และในที่สุด เวินเที๋ยนเที๋ยนก็ลืมตาขึ้นมาด้วยความคาดหวัง
ที่ตรวจครรภ์ปรากฏขึ้น…..สองขีด!!
เธอท้องแล้ว!
เวินเที๋ยนเที๋ยนจ้องมองโลโก้บนที่ตรวจครรภ์ เธอตกอยู่ในอาการใจลอย
ความเซอร์ไพรส์นี้มาอย่างกะทันหันมากเกินไปจนเธอรู้สึกโง่ไปเลย
จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของตัวเองดังขึ้น
คงจะไม่ใช่จี้จิ่งเชินหรอกนะ!
เวินเที๋ยนเที๋ยนรู้สึกตกใจ แล้วกำสิ่งที่อยู่ในมือแน่นอย่างไม่รู้ตัว
ถ้าหากเป็นจี้จิ่งเชิน ควรจะบอกเขาอย่างไรดี?
บอกเขาไปตรงๆ?
ไม่ได้ไม่ได้ เขาเตรียมเซอร์ไพรส์เอาไว้มากมายขนาดนั้นเพื่อการไปเที่ยวฮันนีมูนของพวกเขา
ถ้าหากบอกเขาไปตรงๆแบบนี้จริงๆนั้น หากเทียบกับสิ่งที่เขาจัดการอย่างตั้งใจเป็นพิเศษแล้ว การกระทำของเธอนั้นก็ดูจะด้อยกว่ามาก
จะต้องคิดวิธีบอกเขาให้ดีเสียก่อน
สามารถรับประกันว่าเขาจะเซอร์ไพรส์สิถึงจะถูก!
ในที่สุดเวินเที๋ยนเที๋ยนก็ตัดสินใจ แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา
ด้านบนที่ปรากฏชื่อขึ้นมานั้นคือหมินอันเกอ
เธอรู้สึกตกใจ……
แล้วพ่นลมหายใจยาวๆออกมา หลังจากนั้นก็กดปุ่มรับสาย
“พี่หมิน โทรหาฉันมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?”
โทรหาเธอแต่เช้าขนาดนี้ คงจะต้องมีเรื่องด่วนอะไร
หมินอันเกออึ้งไปพักหนึ่ง แล้วส่งเสียงที่ออกจะดูฝืนยิ้มออกมา
“เที๋ยนเที๋ยน ครั้งนี้ผมมีเรื่องจะขอให้คุณช่วยจริงๆ”
“ว่ามาเถอะค่ะ ขอเพียงแค่ฉันช่วยได้ ฉันต้องช่วยคุณอยู่แล้ว”
เวินเที๋ยนเที๋ยนเอ่ยขึ้นเบาๆ แล้วเอาที่ตรวจครรภ์เก็บลงในกระเป๋า
หมินอันเกอถอนหายใจออกมา : “ผมรู้ว่าคุณเพิ่งจะเสร็จจากการไปฮันนีมูนมา ที่บริษัทก็อาจจะยุ่ง แต่ทางหลวนจื่อทางนั้น ผมไม่วางใจจริงๆ”
“หลวนจื่อเป็นอะไรหรือคะ?”
หรือเธอดันทุรังอะไรอีกแล้วอย่างนั้นหรือ?
พวกเขาไม่ใช่ว่าจัดการกับความเข้าใจผิดกันแล้ว และตัดสินใจที่จะแต่งงานกันแล้วหรอกไม่ใช่หรือ?
เวินเที๋ยนเที๋ยนรู้สึกกังวล
หมินอันเกอเอ่ยขึ้น : “ทางตระกูลหลวนดูเหมือนจะรู้เรื่องก่อนหน้านี้แล้ว รู้สึกว่าจะไม่พอใจผมมาก อยากจะให้หลวนจื่อกลับบ้าน…….ช่วงสองสามวันนี้หลวนจื่ออารมณ์ไม่ดีเลย ทานข้าวไม่ลง ผมอยากจะให้คุณมาดูเธอหน่อย”
เรื่องเกี่ยวกับหลวนจื่อ เวินเที๋ยนเที๋ยนเองก็จริงจังขึ้นมาเช่นกัน
“ได้ค่ะ คุณวางใจได้ ฉันเลิกงานแล้วจะไปดูที่บ้านหลวนจื่อนะคะ”
หมินอันเกอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ แล้วรีบเอ่ยขึ้น : “ขอบคุณมากนะ เที๋ยนเที๋ยน”
“ไม่ต้องเกรงใจค่ะ หลวนจื่อเองก็เป็นเพื่อนของฉัน ฉันเองก็ต้องไปดูเธออยู่แล้ว ไม่ต้องกังวลนะคะ ไม่มีอะไรหรอก”
วางโทรศัพท์มือถือไปแล้ว เวินเที๋ยนเที๋ยนก็ขมวดคิ้วเข้าหากันในทันที
คนของตระกูลหลวนไม่ให้หลวนจื่อเจอกับหมินอันเกอ นี่เป็นการจงใจที่จะแยกพวกเขาออกจากกันหรือเปล่า?