เมียหวานของประธานเย็นชา - บทที่939 ตามหาความฝัน
บทที่939 ตามหาความฝัน
โดว์โดว์เข้าไปประคองเอาไว้อย่างไม่ต้องคิด
แล้วสะดุดเข้ากับอิฐที่อยู่ข้างล่าง จึงล้มลงกับพื้น และตอนที่เงยหน้าขึ้นมานั้น อิฐของเล่นของตัวเองก็ร่วงหล่นลงมา โดนศีรษะของเธออีกด้วย
ถึงแม้ว่าอิฐของเล่นเหล่านี้จะหุ้มโฟมเอาไว้ แต่ก็ยังมีน้ำหนักอยู่บ้าง จำนวนหลายๆอัน หล่นลงมา ก็ทำให้ศีรษะที่เหมือนดอกไม้ตูมๆของโดว์โดว์นั้นยุ่งเหยิงไปหมด
โดว์โดว์งุนงงอยู่พักหนึ่ง ขอบตาเริ่มมีน้ำตารื้นขึ้นมา เบะปาก เห็นแล้วดูเหมือนกับจะร้องไห้ออกมาแล้วอย่างไรอย่างนั้น
แววตาของจี้หยู๋ชิงแสดงออกมาอย่างจำใจเหมือนกับคนมากประสบการณ์ แล้วรีบยื่นมือเล็กๆออกไปทำท่าทางห้ามส่งเสียง แล้วก็เข้าไปดึงเธอเอาไว้
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่โดว์โดว์กลับรู้สึกแปลกใจจนกระทั่งลืมร้องไห้ไปแล้ว
คิดไม่ถึงว่าน้องหยู๋ชิงจะดึงมือเธอเอาไว้!
เธอเบิกตาขึ้น เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“น้อง……”
โดว์โดว์กระพริบตา น้ำตาติดอยู่ตรงขนตายาวและหนาทึบนั่น เป็นการหยุดน้ำตาเอาไว้
เธอพูดออดอ้อน : “เจ็บ ฮือ”
เธอลูบศีรษะของตัวเอง
จี้หยู๋ชิงยื่นมือเล็กๆออกมา เตรียมจะเลียนแบบท่าทางของพ่อบ้านและแม่ครัว ช่วยเป่าให้เธอ แต่กลับพบว่าตัวเองสูงไม่ถึง
โดว์โดว์อายุมากกว่าจี้หยู๋ชิงประมาณครึ่งปี ตอนนี้ยังสูงกว่าเขาอยู่บ้าง
รอจนซักพักหนึ่งแล้วโดว์โดว์เห็นว่าเขาไม่เคลื่อนไหว จึงมองเขาด้วยความสงสัย
เมื่อพบว่าจี้หยู๋ชิงเตี้ยเกินไป เอื้อมไม่ถึงตัวเอง จึงยิ้มออกมาอย่างพอใจ
“เอื้อมไม่ถึง~”
หัวเราะไปพลางร้องเรียกไปด้วย ตบมือขึ้น โดยลืมไปเลยว่าตัวเองเพิ่งจะล้ม
หลวนจื่อเดินเข้ามา
“โดว์โดว์ ทำไมพูดกับหยู๋ชิงแบบนี้ลูก?”
“น้องเอื้อมไม่ถึง” โดว์โดว์ทำปากมุ่ย
เวินเที๋ยนเที๋ยนตามมา ในมือถือจานแอปเปิ้ลที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆเอาไว้
จี้หยู๋ชิงไม่ได้สนใจเสียงหัวเราะเยาะของโดว์โดว์เลยแม้แต่นิดเดียว ยังคงคิดไตร่ตรองตึกอิฐของเล่นของตัวเองอยู่เช่นนั้น
“ชิงชิง มากินแอปเปิ้ลครับ โดว์โดว์ มา เดี๋ยวป้อนนะ”
โดว์โดว์อ้าปากอย่างว่าง่าย ตากลับเห็นจี้หยู๋ชิงที่เดินเข้ามา มีความโอ้อวดในสายตาอยู่บ้าง
หัวใจดวงน้อยๆเริ่มจะใช้วิธีการให้คนอื่นมารักและเอ็นดูตัวเอง
จี้หยู๋ชิงไม่ได้มองเธอ แล้วหยิบแอปเปิ้ลในจานไปสองชิ้น และเดินกลับไปนั่งข้างๆอิฐของเล่นของตัวเองอีกครั้ง
โดว์โดว์ที่ไม่ได้รับการตอบรับใดๆนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจ เธอดิ้นให้หลุดออกจากอ้อมกอดของหลวนจื่อ แล้วเดินไปทางจี้หยู๋ชิงด้วยความสงสัย แล้วนั่งจ้องมองตึกเล็กๆสามชั้นนั้นเหมือนกับเขา
แล้วจะแอบมองจี้หยู๋ชิงบ้างเป็นครั้งคราว
คนหนึ่งกำลังครุ่นคิดพิจารณาอยู่อย่างจริงจัง ส่วนอีกคนหนึ่งก็แสร้งทำเป็นเหมือนกำลังมอง แต่ความจริงแล้วกำลังมองคนที่กำลังครุ่นคิดคนนั้นอยู่นั่นเอง
“เธอดูพวกเขาสองคนสิ ดูเหมือนกับมีคำพูดอะไรอยู่ไหม?”
“คำพูดประโยคไหนล่ะ?” หลวนจื่อตอบ
“เธอยืนดูวิวทิวทัศน์อยู่บนสะพาน คนที่ดูทิวทัศน์อยู่นั้นก็กำลังมองเธอลงมาจากด้านบน” ในปากของเวินเที๋ยนเที๋ยนนั้นกำลังกินแอปเปิ้ลอยู่ แล้วเคี้ยวอย่างช้าๆ
“ฮ่าๆ ใช่ๆ เหมือนมากเลยนะ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนยิ้มออกมาเล็กน้อย มองดูจี้หยู๋ชิงที่อยู่ตรงหน้า
ทุกวันนี้จี้หยู๋ชิงแข็งแรงแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้มีชีวิตชีวานัก แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาใหญ่อะไร ก็คือ ทางด้านอารมณ์ความรู้สึกของเขา……..
คิดมาถึงตรงนี้ ก็เห็นโดว์โดว์ที่อยู่ทางด้านหลังของเขา จึงอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
โดว์โดว์มาบ่อยๆก็ดีเหมือนกัน
ตอนนี้หลวนจื่อจะพาโดว์โดว์มาบ่อยๆ หมินอันเกอเองก็ยุ่งๆ มีละครทีวี ภาพยนตร์ โฆษณาที่พากันมาหาเขา ซึ่งมีช่วงเวลาฉายแน่นมาก บางครั้งตอนที่เห็นหมินอันเกอต้องไปต่างเมือง หลวนจื่อกับโดว์โดว์ก็มาอยู่ที่คฤหาสน์นี้
ถึงอย่างไรคฤหาสน์ก็มีห้องว่างขนาดนั้น
โดว์โดว์เองก็ดีใจเช่นกัน
เธอมีเพื่อนที่อายุเท่าๆกันน้อยมาก ถึงแม้ว่าส่วนมากแล้วจี้หยู๋ชิงจะไม่ได้สนใจเธอซักเท่าไร แต่บางครั้งก็จะเป็นห่วงเธอบ้าง
เหมือนกับเมื่อกี้นี้ ที่ยังเป่าให้เธอด้วย
โดว์โดว์คิดแล้วก็เอามือลูบหน้าผาก
“ซี๊ด”
ยังรู้สึกเจ็บอยู่บ้าง
ถ้าหากเป็นปกติ เธอคงจะร้องไห้ไปแล้ว แต่จี้หยู๋ชิงไม่ให้เธอร้อง เธอก็ไม่ร้อง
เธอกลัวเขาหัวเราะเยาะเธอ
หลวนจื่อเห็นโดว์โดว์ที่บอบบางเอาแต่ใจมาโดยตลอดก็มีบางครั้งที่ถูกบีบให้ยอมรับกับความพ่ายแพ้แล้ว จึงอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
“ใช่แล้ว เที๋ยนเที๋ยน เธอลงชื่อเข้าโรงเรียนอนุบาลให้หยู๋ชิงแล้วหรือยัง?”
หลวนจื่อนึกถึงฉากที่โรงเรียนอนุบาลเมื่อเช้านี้แล้วรู้สึกขำ
“โรงเรียนอนุบาล? เร็วไปแล้ว หยู๋ชิงเพิ่งจะครึ่งขวบเองนะ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนเอ่ยถามอย่างแปลกใจ : “โดว์โดว์เข้าโรงเรียนอนุบาลแล้วหรือ?”
หลวนจื่อส่ายหน้า
“ไม่ใช่หรอก” เธอหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย พลางเอ่ยพูดอย่างอายๆ : “ความจริงแล้วฉันอยากจะให้โดว์โดว์สามารถเล่นเองได้ แบบนั้นฉันก็จะสามารถทำงานได้แล้ว”
เมื่อเวินเที๋ยนเที๋ยนได้ยินแล้ว ก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
ความฝันของหลวนจื่อก็คือการเดินขึ้นไปเวทีที่สูงสุดของนางแบบนั่นเอง
ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเด็กคนนี้ เธอจะต้องไปยืนอยู่ตรงจุดสูงสุดของซุปเปอร์โมเดลแล้วอย่างแน่นอน
ถึงแม้จะมีโดว์โดว์แล้ว แต่เธอก็กลับมาหุ่นดีเหมือนเมื่อก่อนได้อย่างรวดเร็ว ถ้าหากไม่บอก ใครจะมองออกกันว่าเธอเป็นแม่คนแล้ว?
อีกทั้งหลวนจื่อเองก็เพิ่งจะอายุ23ปี ยังวัยรุ่นอยู่มาก เธอไม่อยากจะอยู่บ้านคอยช่วยสามีและเลี้ยงลูกไปตลอดชีวิต
เธอก็ต้องการที่จะทำตามความฝันของตัวเองเช่นกัน
ทุกคนก็ล้วนแต่มีสิทธิที่จะทำตามความฝันของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีข้ออ้างและเหตุผลใดๆที่จะมาขัดขวางได้
อยู่ตรงหน้าของความฝัน อายุ หน้าตา หรือแม้กระทั่งเพศ ก็ไม่ควรจะมากลายเป็นตัวถ่วงทั้งสิ้น
เวินเที๋ยนเที๋ยนเองก็สนับสนุนกับการเป็นนางแบบของเธอ
“ได้อยู่แล้วสิ ถ้าหากเธอเป็นกังวล ก็เอาโดว์โดว์มาส่งไว้ก็ได้นะ ดูแลด้วยกันเลย”
โดว์โดว์รู้สึกว่าได้
ช่วงนี้มาไม่ได้ขึ้นเวทีเดินแบบ ในใจของเธอนั้นก็รู้สึกคันๆ อยากจะเอาจริงเอาจังขึ้นมาเสียเหลือเกิน
“แล้วเธอล่ะ?”
“เธอยังจะคิดที่จะเป็นนักบูรพาวัตถุโบราณอยู่ไหม? ฉันได้ยินมาว่าท่านเปิงกับท่านจางให้พวกวัตถุที่หักๆพังๆให้เธอซ่อม”
ข่าวของหลวนจื่อนั้นแม่นมาก
เวลานี้ ในห้องหนังสือที่ใช้ร่วมกันของจี้จิ่งเชินกับเวินเที๋ยนเที๋ยนยังมีเครื่องเคลือบลายครามสีดำที่ถูกลืมวางอยู่ด้วย
“อ๋า แย่แล้วๆ”
หลวนจื่อไม่พูด เวินเที๋ยนเที๋ยนก็คงจะลืมเครื่องเคลือบลายครามสีดำนั้นไปแล้วจริงๆ
“ทำไมหรือ?”หลวนจื่อมองเวินเที๋ยนเที๋ยนที่รีบวิ่งขึ้นไปด้านบน พลางเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
หลังจากนั้นพักหนึ่ง เวินเที๋ยนเที๋ยนถึงได้เดินลงมาจากทางด้านบน ในมือถือกล่องใบหนึ่งเอาไว้ แล้วเดินมาอย่างระมัดระวังอย่างตรงกันข้ามกับตอนที่รีบร้อนขึ้นไปเมื่อครู่นี้มาก
“ท่านเปิงส่งมาให้ฉันครั้งที่แล้ว ให้ฉันซ่อม แต่ฉันยังไม่ได้ดูเลย”
เวินเที๋ยนเที๋ยนพูดไป มือก็ยังคงไม่หยุด เธอสวมถุงมือผ้าฝ้ายสะอาด แล้วหยิบเอาเครื่องเคลือบสีดำที่แตกมุมชิ้นนั้นขึ้นมา
ความสุกสกาวหมุนเวียนไป เปรียบเครื่องเคลือบสีดำนี้เหมือนกับหลุมดำ เนื่องจากแหว่งตรงช่วงมุมหนึ่ง มูลค่าจึงมีการลดหลั่นกันไป
หลวนจื่อมองเครื่องเคลือบสีดำชิ้นนี้ รู้สึกเพียงแค่ว่ามันดำสนิท ไม่เห็นว่าจะมีราคาแพงอะไร
นี่เป็นคนในดูช่องทาง คนข้างนอกก็เป็นไทยมุงนั่นเอง
คนที่ไม่ใช่มืออาชีพก็มักจะมองที่ผิวเผิน
แต่ในทางกลับกัน ถ้าให้เวินเที๋ยนเที๋ยนไปเดินแบบบนเวที คาดว่าเธอก็คงจะล้มลุกคลุกคลานไปตลอดทาง คนอื่นไปเดินแบบ แต่เธอล่ะ ไปสะดุดล้มเสียเปล่าๆ
เวินเที๋ยนเที๋ยนมองของที่อยู่ในมือ ดวงตาเป็นประกายออกมา
“ฉันอยากจะทำความฝันของฉันให้สำเร็จต่อ”
หลวนจื่อเห็นแล้ว ในใจก็รู้สึกดีใจแทนเช่นเดียวกัน
“โอเค ถึงตอนนั้น พวกเราก็มาทำความฝันของเราให้สำเร็จด้วยกันนะ”
ส่งหลวนจื่อกลับแล้ว เวินเที๋ยนเที๋ยนอ่านตำรามามาก ต้องดูรอยย่นของเครื่องเคลือบลายครามนั้นอย่างละเอียดอีกครั้ง หากเทียบแล้ว ก็จะมีความมั่นใจในการซ่อมแซมชิ้นนี้บ้าง
เมื่อทำงานแล้ว เวินเที๋ยนเที๋ยนก็ลืมเวลาไปเสียแล้ว
จนกระทั่งช่วงเวลากลางคืน จี้จิ่งเชินที่กลับมายังคฤหาสน์แล้วไม่เห็นใคร จึงขึ้นไปหาที่ด้านบน