เมื่อนายน้อยมีลูกสาว Young Master Has a Daughter - ตอนที่ 19
บทที่19 – คนที่แกร่งที่สุดในกลุ่มพวกเรา
ยุ่นหลิง ยู่ฉานและมกุฎราชกุมารใช้เวลาส่วนใหญ่ในมื้ออาหารเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ องครักษ์ส่วนตัวสองคนของมกุฎราชกุมารรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อยโดยเฉพาะเมื่อทั้งสามคนเริ่มพูดถึงทั้งสองคน ในขณะเดียวกัน หยื่อตงเหม่ยก็เงียบตลอดเวลา แม้ว่าบทสนทนาจะพูดถึงเธอ แต่เธอก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ให้เห็นเธอยังคงกินอย่างเงียบๆ ราวกับว่าเธอไม่ได้ยินอะไรเลย จากนั้นก็มี ยุ่นเซี่ยที่พยายามฟังพวกเขา แต่ไม่เข้าใจจริงๆว่าพวกเขาพูดถึงอะไร
หลังจากทานอาหารเสร็จยุ่นหลิงเช็ดริมฝีปากด้วยผ้าเช็ดปากขณะที่เขาหันไปทางมกุฎราชกุมาร
“ท่านคิดยังไงมกุฎราชกุมารทำไมท่านถึงเข้าร่วมการคัดเลือกมังกรทองด้วย? ท่านคือมกุฎราชกุมารนะ ท่านได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากจักรวรรดิอยู่แล้ว ข้าไม่เห็นว่าท่านจำเป็นต้องมาเข้าการคัดเลือกนี้ด้วยเลย”
มกุฎราชกุมารมองไปที่ยุ่นหลิงและครุ่นคิดสักครู่ ไม่กี่วินาทีต่อมาเขาตอบว่า “อืมเพราะท่านพ่อของเจ้าเป็นนายพลและพ่อของ ยู่ฉานเป็นผู้บัญชาการหน่วยของกองทัพข้าเดาว่าคงดีถ้าข้าบอกเจ้าเรื่องนี้เนื่องจากเจ้าเองก็รู้รายละเอียดแล้ว”
มกุฎราชกุมารพูดบางอย่างกับ ยุ่นหลิงและยู่ฉาน แม้ว่าจะมีผู้คนจำนวนมากในหมู่พวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่ใช่คนแปลกหน้า สองคนเป็นองครักษ์ส่วนตัวของมกุฎราชกุมารส่วนอีก 2 คนเป็นลูกสาวของยุ่นหลิง ยุ่นเซี่ยและหยื่ตงเหมยแม่ของลูกสาวของเขา
แน่นอนว่ามกุฎราชกุมารคิดผิด หยื่อตงเหม่ยเป็นเพียงผู้ดูแล ยุ่นเซี่ยแต่เขาคิดว่าเธอเป็นคนรักของยุ่นหลิง เขาเองก็ไม่ผิดที่คิดไปแบบนั้นเนื่องจาก ยุ่นหลิงมักจะให้คำแนะนำบางอย่างทำให้พวกเขาคิดว่าเขาและ หยื่อตงเหม่ยเป็นสามี-ภรรยากัน
เมื่อเป็นเช่นนั้น มกุฎราชกุมารจึงเปิดม่านพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขา เผื่อในกรณีที่มีคนแอบฟังพวกเขา ซึ่งเขาเองก็พูดถูกเขาสังเกตเห็นว่ามีใครบางคนพยายามฟังพวกเขา จากนั้นเขาก็สร้างม่านพลังห้อมล้อมรอบตัวพวกเขาไว้เพื่อที่คนเหล่านั้นจะไม่ได้ยินอะไรเลย
เมื่อทำเสร็จแล้วเขาก็เริ่มพูดทั้งหมด “อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าท่านพ่อของข้าใส่ใจเรื่องภาพลักษณ์มาก เขาต้องการแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเมืองหลวงและราชวงศ์นั้นแข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิทั้งหมด จักวรรดิจิ๋นเป็นจักรวรรดิดั้งเดิม หลังจากที่พิชิตจักรวรรดิต่างๆในช่วงสงครามมาได้หลายครั้งมันก็ถูกรวมเข้ากลายเป็นจักรวรรดิเดียวกัน ในช่วงห้าร้อยปีที่ผ่านมาท่านพ่อพิชิตไปเจ็ดอาณาเขตและพวกมันก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิ แม้ว่าพวกเขาจะพ่ายแพ้ไปแล้ว แต่ก็ยังไม่มีข้อตกลงกัน ในการคัดเลือกมังกรทองทายาทและสาวกของพวกเขาจึงจะต้องเข้าร่วมด้วยนั่นคือเหตุผลที่ท่านพ่อสั่งให้ข้าเข้าร่วมและจัดการกับทุกคนในการแข่งขัน นี่คือการยับยั้งเหล่าคนที่คิดทำการก่อกบฏหรือก่อให้เกิดการจลาจล ท่านพ่อยังคาดหวังที่พวกเจ้าไว้มากเช่นกัน ยุ่นหลิง, ยู่ฉาน ท่านพ่อต้องการให้เจ้าทั้งสองคนทำให้ดีที่สุดและแสดงให้ทุกคนเห็นว่าคนหนุ่มในเมืองหลวงของเรานั้นแข็งแกร่งแค่ไหน”
“ถึงไม่พูดข้าก็จะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว” ยู่ฉานกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขามองข้ามยุ่นหลิงและมกุฎราชกุมารและพูดต่อว่า “ในการคัดเลือกข้าจะเอาชนะคู่ต่อสู้ทุกคนที่ขวางทางข้า แม้ว่าคู่ต่อสู้คนนั้นจะเป็นท่าน มกุฎราชกุมารหรือกระทั่งยุ่นหลิง”
“โอ้?” ยุ่นหลิงยิ้มเยาะ “ข้าขอรับคำท้าท้ายนี้ไว้แล้วกันนะ”
ยู่ฉานจ้องมองไปที่ ยุ่นหลิงอย่างไม่เกรงกลัวในขณะที่ ยุ่นหลิงจ้องมอง ยู่ฉานอย่างหยิ่งยโส ประกายไฟดูเหมือนจะก่อตัวขึ้นระหว่างทั้งสองขณะที่พวกเขาจ้องมองซึ่งกันและกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ข้าดีใจที่พวกเจ้าทั้งคู่ตื่นเต้นท่านพ่อจะต้องยินดีอย่างแน่นอนเมื่อได้ยินเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามเจ้าทั้งสองสามารถต่อสู้เพื่อแย่งชิงอันดับที่สองรอได้เลยเพราะที่หนึ่งจะเป็นของข้าอย่างแน่นอน” มกุฎราชกุมารประกาศกร้าวและดึงดูดความสนใจของพวกเขา
“น่าสนใจนี่” ยุ่นหลิงพูดอย่างสนุกสนาน “พวกเราทุกคนเป็นที่รู้จักในฐานะสามอัจฉริยะสูงสุดของเมืองหลวง แต่เราไม่เคยต่อสู้กันอย่างจริงจังมาก่อน ข้าคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ผู้คนจะต้องรู้ว่าใครแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพวกเราสามคน”
“นั่นเป็นความคิดที่ดี แต่เราไม่ควรทะเลาะกันเองในตอนนี้ ให้เขาตัดสินกันดีกว่าว่าใครแข็งแกร่งที่สุดในการคัดเลือกมังกรทอง” ยู่ฉานเสนอ เขาจะถูกคัดออกถ้าหากเขาได้ต่อสู้กับยุ่นหลิงหรือมกุฎราชกุมารในตอนนี้ นั่นคงลำบากมากสำหรับเขา เขาไม่ต้องการความสามารถจริงๆของเขาในช่วงแรกไม่เช่นนั้นเขาจะเสียเปรียบในการแข่งขันรอบถัดไป
“ข้าเห็นด้วย ให้เราได้สู้กันในการคัดเลือกมังกรทองมังคงเป็นเวทีที่ยิ่งใหญ่สำหรับการต่อสู้ของเรา มันเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการต่อสู้ของเรา”
มกุฎราชกุมารเห็นด้วยกับ ยู่ฉานเขาก็มีความคิดคล้ายๆ กับเขาเช่นกัน หากทั้งสามคนต่อสู้กันในตอนนี้ผู้แข่งขันคนอื่นๆ จะสามารถตอบโต้พวกเขาได้เมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้น
ยุ่นหลิงพยักหน้าเห็นด้วยกับพวกเขา เขาแค่เสนอการต่อสู้แบบไม่เป็นทางการเท่านั้น แต่ตอนนี้เจาไม่ต้องการที่จะสู้กับทั้งสองคนนี้เลย เช่นเดียวกับพวกเขา เขายังมีไม้ตายบางอย่างที่เขาอยากจะแสดงเฉพาะในการคัดเลือกมังกรทองเท่านั้น
ยุ่นหลิงยิ้มกล่าวว่า “งั้นก็จงจำไว้ว่าข้าจะไม่ออมมือให้พวกเจ้าทั้งสองแน่ ไปฝึกมาให้แน่ใจว่าเจ้าจะแข็งแกร่งพอไม่เช่นนั้นข้าอาจพลั้งมือฆ่าพวกเจ้าโดยไม่ได้ตั้งใจ”
“ฮึ่มๆ” มกุฎราชกุมารกระแอมดังๆ
ยู่ฉาน เพียงแค่หัวเราะเบาๆ “ระวังคำพูดหน่อยมันอาจนำหายนะมาสู้ตัวเจ้าเองนะ”
“ท่านพ่อพวกเขากำลังเยาะเย้ยท่านอยู่หรือเปล่า” ยุ่นเซี่ยถามขณะที่เธอขมวดคิ้วมองมกุฎราชกุมารและยู่ชาน เธอไม่แน่ใจแต่เธอรู้สึกว่าพวกเขากำลังทำแบบนั้นกับพ่อของเธอ
ดวงตาของยุ่นหลิงกระตุก เยาะเย้ยหรอ? ใครจะกล้า? ถ้าใครพูดแบบนี้กับเขาอีกเขาคงตบหน้าหายให้โง่ไปอีกนาน แต่นี่คือลูกสาวของเขา ไม่มีทางที่เขาจะทำร้ายเธอลง
มกุฎราชกุมารกำลังยิ้มกว้างพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะไม่หัวเราะเด็กหญิงตัวเล็กๆ ถามบุคคลที่น่ากลัวที่สุดคนหนึ่งในหมู่คนหนุ่มในเมืองหลวงว่าพวกเขาถูกรังแกหรือไม่? ยุ่นหลิงผู้หยิ่งผยองถูกเยาะเย้ย? ทำไมมันตลกแบบนี้กันนะ
ยู่ฉาน ไม่ได้เก็บอาการแบบมกุฎราชกุมารเขาหัวเราะออกมาขณะที่เช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาจากมุมตาของเขา
แม้แต่ หยื่อตงเหม่ยก็ยังแอบยิ้ม ก่อนที่เธอจะเข้ามาในเมืองหลวงพร้อมกับยุ่นเซี่ย แม่ของยุ่นเซี่ยได้สืบเรื่องราวของยุ่นหลิงและตระกูลยุ่นอย่างละเอียด เมื่อเธอแน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอันตรายใดๆ กับลูกสาวของเธอแม่ของยุ่นเซี่ยจึงสั่งให้หยื่อตงเหมยพาเด็กหญิงตัวน้อยไปยังตระกูลยุ่น
ในการสืบเรื่องราวของเธอเกี่ยวกับ ยุ่นหลิงเขาเป็นคนประเภทที่มีความอดน้อยแล้วมีอารมณ์ร้อนมากที่สุด หากใครดูถูกเขาเขาจะสวนกลับทันที หลายคนเคยทำให้เขาแค้นใจในอดีต แต่พวกเขาทั้งหมดได้รับความทุกทรมารด้วยน้ำมือของเขา ตอนนี้ทุกคนที่รู้จักเขาไม่กล้ามีปัญหากับเขาอีกต่อไปเพราะกลัวว่าจะต้องทนทุกข์ทรมารกับชะตากรรมเดียวกันกับคนที่ทำให้เขาแค้นใจมาก่อน
ยุ่นหลิงกำลังจะอธิบายให้ลูกสาวฟัง แต่ถูกขัดจังหวะเมื่อจู่ๆไฟในสวนก็หรี่ลงอีกครั้งในขณะที่ไฟบนเวทีสว่างขึ้น คนที่ยืนอยู่กลางเวทีไม่ใช่ใครอื่นนอกจากองค์ชายที่สี่