เมื่อนายน้อยมีลูกสาว Young Master Has a Daughter - ตอนที่ 35
บทที่ 35 หมดเวลาเล่นสนุกแล้ว
หลังจากที่ยุ่นหลิงพูดจบดาบบินก็ส่งเสียงดังขึ้นในอากาศและมุ่งตรงไปที่ใบหน้าของเขา
เมื่อดาบกำลังจะแทงเขา ยุ่นหลิงเพียงเอียงศีรษะไปด้านข้างเล็กน้อย ดาบก็พุ่งผ่านเขาไปอย่างรวดเร็ว
ยุ่นหลิงเหลือบมองไปที่ศิษย์ของนิกายวารีพาดผ่านที่เป็นคนใช้การโจมตีนี้ ศิษย์คนดังกล่าวก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัวด้วยความกลัวในขณะที่สายตาของยุ่นหลิงจับจ้องเขา อย่างไรก็ตามยุ่นหลิงมองไปที่เขาเพียงแค่ครู่เดียวก่อนที่จะไม่สนใจเขาและหันไปสนใจลูกศิษย์ที่เหลือของนิกายวารีพาดผ่าน
“พวกเจ้ามีดีแค่นี้ใช่หรือไม่”? ยุ่นหลิงถาม
สาวกของนิกายวารีพาดผ่านทั้งหมดเงียบ พวกเขาพ่ายแพ้อย่างง่ายดายโดยที่ยุ่นหลิงไม่ได้เอาจริงเลยด้วยซ้ำ จากการประมือกันเพียงสั้นๆพวกเขาก็รู้ว่ายุ่นหลิงนั้นเหนือกว่าพวกเขามากแค่ไหน สำหรับยุ่นหลิงที่รัศมีความเก่งกาจได้ครอบงำพวกเขาอย่างสมบูรณ์พวกเขาจึงไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเขา ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสูญเสียความภาคภูมิใจที่มากมายของพวกเขาไป สำหรับพวกเขาที่จะพ่ายแพ้ให้กับคนๆ เดียวทั้งที่พวกเข้าสู้ร่วมกัน…
มันน่าอับอายสิ้นดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเกิดขึ้นต่อหน้าลูกศิษย์จากนิกายอื่นๆ ที่เห็นการต่อสู้ตั้งแต่ต้นจนจบ
“น่าเบื่อชะมัด” ยุ่นหลิงกล่าวขณะที่เขามองพวกเขาอย่างไม่สนใจ “ข้าคงคาดหวังจากลูกศิษย์นิกายมากเกินไป ดูเหมือนว่าข้าคงจะต้องผิดหวังเสียแล้ว”
ลูกศิษย์ของนิกายวารีพาดผ่านลดศีรษะลง พวกเขาไม่กล้าสนทนากัน พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลั้นความอับอายและความโกรธอย่างเงียบๆ
“เหล่าชายหนุ่มผู้น่าสงสาร มีกันตั้งยี่สิบคน แต่ไม่สามารถเอาชนะข้าเพียงคนเดียวได้ ถ้าข้าเป็นพวกเขาข้าจะฆ่าตัวตายเพื่อเป็นการลงโทษตัวเอง!”
ความเงียบในบริเวณโดยรอบถูกทำลายลง โดยความคิดเห็นที่น่ากลัวจากคนที่ดูเหตุการณ์ในครั้งนี้อยู่
เกือบทุกคนจากนิกายวารีพาดผ่านหันไปทางฝูงชนทันทีด้วยความโกรธ พวกเขาต้องการหาตัวคนพูดและให้พวกเขาถอนคำพูดบางส่วนเพื่อที่พวกเขาจะได้กู้หน้าคืนบางส่วนและพวกเขาก็จะนำคนๆนั้นมาเป็นที่ระบายอารณ์ให้กับความพ่ายแพ้ครั้งนี้
อย่างไรก็ตามพวกเขามีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการค้นหาคนที่พูดประโยคนั้น ที่แอบแฝงตัวอยู่ในฝูงชนเพียงแค่มองไปรอบๆ พวกเขาไม่สามารถที่ขยับตัวไปไหนได้อย่างสะดวกตั้งแต่ยุ่นหลิงอยู่ที่นี่
“ในท้ายที่สุดนิกายวารีพาดผ่านก็เป็นเพียงนิกายระดับสองเท่านั้น ไม่ว่าตอนนี้พวกเขาจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าในอดีตมากแค่ไหนก็ตาม ที่สองก็ยังเป็นที่สองเสมอ”
“นิกายวารีพาดผ่านเสียหน้าอย่างหมดรูปในครั้งนี้”
ถ้อยคำที่ดูถูกมากขึ้นเรื่อยๆ จากกลุ่มคนไปถึงหูของลูกศิษย์ที่พ่ายแพ้
“เจ้าพูดว่าอะไร?!”
“ถ้าแน่จริงก็ออกมาสิวะ!”
แม้ว่าเหล่าสาวกของนิกายวารีพาดผ่านจะโกรธตั้งแต่คำพูดประโยคแรก แต่พวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรยุ่นหลิงอีก อย่างไรก็ตามด้วยการที่พวกเขาประมาทตั้งแต่แรกทำให้พวกเขาต้องอยู่ในสภาพแบบนี้
ยุ่นหลิงมองพวกเขาด้วยความสนุกสนานเล็กน้อย ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะเขา ไม่ว่าเจ้าจะถามว่าใครก็ตาม ลูกศิษย์ของนิกายวารีพาดผ่านก็พ่ายแพ้ต่อเขาก็ อย่างไรก็ตามเมื่อชายจากนิกายของพวกเขาเข้าหาตัวยุ่นหลิงก่อนเอง เขาก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ แล้วเขาก็เริ่มโจมตีก่อนเองด้วย ดังนั้นเขาจึงเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้
ยุ่นหลิงตระหนักถึงความผิดพลาดของเขา แต่มันก็สายเกินไป เขาระเบิดอารมณ์ที่อดไปแล้วเป็นครั้งแรก สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือหาวิธีแก้ไขสถานการณ์ซึ่งเขาได้คิดวิธีการไว้แล้วหลายวิธี
อย่างแรกเขาทำได้เพียงแค่ก้มหัวขอโทษพวกเขา แต่ไม่มีอะไรรับรองว่าพวกเขาจะยอมรับคำขอโทษของเขาหรือไม่ ลูกศิษย์ของนิกายนั้นค่อนข้างหยิ่งผยองกว่าผู้ฝึกตนปกติทั่วไป เนื่องจากพวกเขาได้รับการสนับสนุนจากนิกายของพวกเขา คงจะมีผู้ฝึกตนเพียงไม่กี่คนจากนิกายที่จะยอมรับคำขอโทษของเขา นอกเหนือจากนั้นความภาคภูมิใจของยุ่นหลิงเองก็ไม่ยอมให้เขาขอโทษ ไม่มีทางที่เขาจะขอโทษลูกศิษย์นิกายที่ด้อยกว่าเหล่านี้แน่ๆ
อย่างที่สองเขาสามารถติดสินบนพวกเขาได้ ในฐานะลูกชายของหัวหน้าตระกูลยุ่นซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มที่มีอำนาจมากที่สุดในจักรวรรดิ ยุ่นหลิงไม่ได้ขาดเรื่องทรัพย์สมบัติ เขาสามารถให้สมบัติของเขาไม่กี่ชิ้นเพื่อแลกกับการละเว้นการกระทำของเขา แม้ว่านิกายของพวกจะเตรียมลูกศิษย์ไว้มากแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่นิกายจะสามารถสั่งสอนลูกศษย์ทุกคนได้อย่างเต็มที่เพราะมีเพียงคนที่มีความพิเศษที่สุดเท่านั้นที่จะได้รับการปฏิบัติที่พิเศษกว่าคนอื่นจากนิกาย ส่วนที่เหลือนั้นพวกเขาจะได้รับการปฏิบัติทั่วๆไปเหมือนๆกัน
แม้ว่าหยุนหลิงจะติดสินบนพวกเขาได้ แต่ลูกศิษย์เหล่านี้ก็ไม่ยอมรับอย่างแน่นอน หากการต่อสู้เกิดขึ้นในสถานที่ส่วนตัวพวกเขาก็ยังพอหยวนๆกันได้ แต่ปัญหาคือการต่อสู้ของพวกเขาเกิดขึ้นในที่สาธารณะต่อหน้าสาวกจากนิกายอื่นๆ หากยุ่นหลิงติดสินบนพวกเขาและพวกเขายอมรับพวกเขาจะถูกล้อเลียนและต้องอับอายอย่างแน่นอน
นี่คือเหตุผลที่ยุ่นหลิงใช้วิธีที่สามที่เขาคิด
นั่นเป็นการต่อสู้ที่จะทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่และดึงดูดความสนใจของนิกายอื่น ๆ
ฆ่าคนๆเดียวเท่ากับเป็นฆาตกร ฆ่าคนหลายล้านคนจะเป็นผู้พิชิต ฆ่าคนที่ขวางหน้าทั้งหมดก็คือพระเจ้า นี่คือปรัชญาคำสอนที่มีผลต่อการใช้ชีวิตของเขา
การกระทำของยุ่นหลิงไม่ใช่แค่การแก้ไขสถานการณ์อีกต่อไป ใช่เขาต้องการแก้ไข แต่นั่นกลายเป็นเรื่องสำคัญอันดับสองสำหรับเขา สิ่งสำคัญอันดับแรกของเขาคือเพื่อให้ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักไปยังนิกายอื่นๆ ผ่านทางสาวกเหล่านี้และได้รับความสนใจจากบุคคลบางคน นอกจากนี้เมื่อเขามีชื่อเสียงมากพอในด้านนี้จากนิกายอื่นๆ จะทำให้สถานการณ์เช่นนี้ไม่เกิดขึ้นกับเขาบ่อยๆนักเนื่องจากผู้คนจะระวังตัวเขา
ถึงอย่างนั้นยุ่นหลิงก็ไม่ได้คาดหวังว่าผู้คนจากนิกายอื่นๆ จะคิดที่ทำให้เหล่าลูกศิษย์ของนิกายวารีพาดผ่านต้องอับอาย เพราะมันเป็นการต่อสู้ของนิกายทำให้อาจไม่พูดถึงเป็นวงกว้างมากนัก
“ทางเข้าของหุบเขาพันภูเขาเปิดแล้ว ตอนนี้เจ้าสามารถเข้าไปได้แล้ว” เสียงหยาบทุ้มดังก้องในบริเวณที่เขามาจากทางเข้าและดึงดูดความสนใจของทุกคน
ยุ่นหลิงมองไปที่ต้นเสียงนั้นและเห็นชายวัยกลางคนที่มีหนวดเคราสีขาวยาวถึงหน้าอกของเขา ชายคนนี้ดูเหมือนจะสังเกตเห็นการจ้องมองของยุ่นหลิงขณะที่เขามองกลับไปที่ยุ่นหลิงเช่นกัน
‘ข้ามองไม่เห็นขอบเขตการฝึกตนของเขา’ ยุ่นหลิงคิดขณะที่เขาตรวจสอบชายคนนั้นอยู่
ชายคนนั้นพยักหน้าด้วยความขอบคุณขณะที่เขาเข้ามาใกล้ๆยุ่นหลิง ‘เจ้าหนุ่มนี่น่าสนใจจริงๆ’
ยุ่นหลิงเริ่มเดินไปที่ทางเข้าทำให้ลูกศิษย์ของนิกายวารีพาดผ่านต้องคอยระวังตัวเขา
เมื่อเห็นแบบนี้ยุ่นหลิงก็ทำเพียงยิ้ม “ทำตัวปกติได้แล้วข้าไม่มีเวลาเล่นกับพวกเจ้าอีกแล้วล่ะ”
ด้วยเหตุนี้ยุ่นหลิงจึงเข้าไปในหุบเขาพันภูเขา โดยที่สายตาของทุกคนนั้นจ้องมองไปที่เขาอยู่