เมื่อนายน้อยมีลูกสาว Young Master Has a Daughter - ตอนที่ 36
บทที่36 ผู้อาวุโสหลัก
“แม้ว่านิกายริวารีพาดผ่านจะเป็นเพียงนิกายระดับสอง แต่ก็ไม่มีใครสามารถเอาชนะลูกศิษย์โดยตรงของพวกเขาทั้งยี่สิบคนได้ในครั้งเดียว เขาเป็นใครกัน?” ลูกศิษย์ที่อยากรู้อยากเห็นถาม
“ใครจะไปรู้กัน? เขาอาจจะเป็นคนที่อยู่ในระดับเดียวกับคนพวกนั้นที่มาจากนิกายระดับหนึ่ง” ศิษย์อีกคนกล่าว
เดิมทีกลุ่มคนเหล่านี้รอให้ทางเข้าหุบเขาพันภูเขาเปิด แต่ตอนนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เข้ามาข้างในขณะที่คนอื่นๆ ยังคงยุ่งอยู่กับการพูดคุยเกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ พวกเขาหวาดกลัวกับการแสดงพลังของยุ่นหลิง แม้ว่ายุ่นหลิงจะไม่ได้แสดงออกมาทั้งหมด แต่ทุกคนที่เห็นก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเขานั้นยังไม่แสดงพลังที่แท้จริงออกมาแม้แต่น้อย
“โอโห? ดูเหมือนมีบางอย่างที่น่าสนใจเกิดขึ้นในขณะที่เราไม่อยู่” จู่ๆเสียงพูดคุยของลูกศิษย์ทั้งสองก็ขัดจังหวะการสนทนาของลูกศิษย์ทั้งสองที่กำลังคุยกันอยู่
ทั้งสองสะดุ้งเมื่อมองไปที่คนที่พูดแทรกเขาขึ้นมา เขาเป็นผู้ชายที่หรี่ตามองและดูเป็นอันตรายลงมาก เขามีรอยยิ้มที่เสแสร้งกว้างบนใบหน้าของเขาขณะที่เขาเฝ้าดูทั้งสองอย่างมีความสุข รอยยิ้มและรูปลักษณ์ของเขาสร้างความรู้สึกอึดอัดให้กับทุกคนที่เข้ามารอบตัวเขา พวกเขารู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังรับมือกับงูที่อันตรายอย่างไม่น่าเชื่อ
เหล่าลูกศิษย์เหงื่อแตก ปฏิกิริยาของพวกเขานั้นไม่แปลกเพราะคนส่วนใหญ่ที่จ้องมองเขาจะถูกเขาเมินผ่านไป นอกจากนี้พวกเขาจะรู้ว่าคนๆ นี้เป็นใคร
“กะ กู่ ฟ่านหมิง!” หนึ่งในสองคนร้องอุทานดึงดูดความสนใจของทุกคน
“กู่ ฟ่านหมิง?”
“เขามาทำอะไรที่นี่กัน?”
“อย่าบอกนะว่า…เขาเป็นลูกศิษย์ของนิกายวารีพาดผ่าน…”
“ดูเหมือนว่าจะเป็นแบบนั้น”
“ทะ ท่านต้องการอะไร”? อีกคนถามด้วยความกังวลและหลีกเลี่ยงการสบตากับเขา พวกเขาเพิ่งพูดถึงนิกายวารีพาดผ่าน แล้วจู่ๆเขาก็เข้ามาหาพวกเขา เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะประหม่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขารู้จักชื่อเสียงของเขา
กู่ ฟ่านหมิงไม่ใช่ใครคนอื่นนอกจากหนึ่งในผู้อาวุโสหลักของนิกายวารีพาดผ่าน เดิมทีเขาเป็นศิษย์ที่โดดเด่นจากนิกายศิลาเทพเจ้า แต่เนื่องจากพฤติกรรมที่โหดร้ายของเขาต่อลูกศิษย์และเพื่อนของเขา เขาจึงถูกไล่ออกจากนิกาย
ว่ากันว่าในการประลองกระชับความสัมพันธ์ครั้งหนึ่งที่จัดขึ้นโดยนิกายเขาจงใจฆ่าคู่ต่อสู้ที่ไม่สามารถต่อสู้กลับได้ด้วยความไร้ปราณี นอกจากนี้เขายังทำร้ายลูกศิษย์และรุ่นน้องของเขาเป็นประจำด้วยการชี้นำจากพี่ชายเขา แน่นอนเมื่อสาวกเหล่านี้ได้รู้ถึงความโหดของเขา พวกเขาและจะปฏิเสธเมื่อกู่ ฟ่านหมิงเสนอที่จะชี้แนะพวกเขา แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขาละความพยายามเลย แต่กู่ฟ่านหมิงจะทุบตีพวกเขาอย่างน่าสังเวชและขู่ว่าจะฆ่าพวกเขาหากพวกเขาบอกกับนิกายเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาเป็นคนโหดเหี้ยมที่ชอบสร้างความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานให้กับผู้อื่น
โดยปกติลูกศิษย์ทั่วไปจะต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรงจากนิกายนี้อยู่แล้วหากพวกเขากระทำเช่นเดียวกับที่กู่ฟ่านหมิงทำกับเพื่อนร่วมนิกาย อย่างไรก็ตามกู่ฟ่านหมิงนั้นแตกต่างออกไป ในตอนแรกนิกายศิลาเทพเจ้าเพียงแค่ตำหนิเขาโดยคำนึงถึงความสามารถและภูมิหลังของเขาโดยหวังว่าเขาจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ หลังจากกระทำความผิดอีกหลายครั้งและความจริงที่ว่า กู่ฟ่านหมิงไม่ได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใดๆ นิกายศิลาเทพเจ้าจึงตัดสินใจขับไล่เขา
โดยรวมแล้วในระหว่างที่เขาอยู่ในฐานะศิษย์ของนิกายศิลาเทพเจ้าเขาได้สังหารเพื่อนร่วมนิกายไปสี่คนทำให้คนอื่นอีกยี่สิบสองคนได้รับบาดเจ็บสาหัสและทำร้ายศิษย์อีกหกสิบแปดคน สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงบันทึกของทางการเท่านั้นไม่นับรวมเหตุการณ์อื่นๆที่นิกายยังไม่รู้ ลูกศิษย์หลายคนและแม้แต่กลุ่มที่สูงกว่าของนิกายต่างก็ดูถูกการกระทำของเขา คงไม่ใช่เรื่องแปลกหากเขาจะถูกประหารชีวิต แต่พวกเขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้จริงๆ เนื่องจากเขาเป็นหลานชายคนเดียวขององค์รักษ์ที่มีอำนาจมากที่สุดคนหนึ่งของนิกาย การประหารชีวิตเขาอาจช่วยบรรเทาความโกรธของคนจำนวนมาก แต่พวกเขาจะสูญเสียพันธมิตรที่มีพลังอำนาจมากโดยการทำแบบนั้นเช่นกัน
ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถปล่อยให้เขาอยู่ในนิกายต่อได้หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เขาก่อขึ้น เขาถูกขับไล่ออกจากนิกายศาเทพเจ้าแต่ถูกย้ายไปอยู่นิกายวารีพาดผ่านโดยหนึ่งในพันธมิตรของพวกเขาตามคำสั่งของหัวหน้านิกายศิลาเทพเจ้า นี่ก็เพื่อไม่ให้ปู่ของกู่ ฟ่านหมิงขุ่นเคืองมากเกินไป นิกาย วารีพาดผ่านไม่สามารถปฏิเสธผู้นำของนิกายศิลาเทพเจ้าได้เพราะพวกเขาเป็นเพียงนิกายชั้นสองในขณะที่อีกฝั่งเป็นหนึ่งในนิกายที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกพสุธานี้พวกเขาไม่ต้องการทำให้พวกเขาไม่พอใจและทำร้ายความสัมพันธ์ของพวกเขาด้วยการปฏิเสธพวกเขา นิกายวารีพาดผ่านทำได้เพียงต้องรับเขาข้ามาเท่านั้น
“ฮึฮึฮึ ไม่มีอะไรหรอก” กู่ฟ่านหมิงหัวเราะเบาๆ ขณะที่เขาปล่อยให้ลูกศิษย์ทั้งสองคนอยู่ต่อไป จากนั้นเขาก็ไปยังที่ที่ลูกศิษย์ที่เหลือของนิกายวารีพดผ่านซึ่งกำลังนั่งนิ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง
หลังจากที่พ่ายแพ้ยุ่นหลิงเพียงคนเดียว พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงการจ้องมองที่เยาะเย้ยและเสียงพึมพำจากเหล่าสาวกจากนิกายอื่นๆ มันทำให้พวกเขาอับอาย พวกเขาต้องการเข้าไปใน หุบเขาพันภูเขาเพื่อให้อยู่ห่างจากคนเหล่านี้ แต่พวกเขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้เนื่องจากพวกเขายังรอผู้อาวุโสอยู่ นั่นเป็นเหตุผลที่เมื่อพวกเขาเห็นกู่ฟ่านหมิง พวกเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ในที่สุดพวกเขาก็สามารถออกจากพื้นที่นี้และเข้าไปในหุบเขาได้
“ท่านผู้อาวุโส กู่ฟ่านหมิง” ลูกศิษย์ของนิกายวารีพาดผ่านแสดงความเคารพต่อเขาทันที
กู่ฟ่านหมิงมองไปที่พวกเขาและพูดว่า “พวกเจ้าทั้งยี่สิบคนควรแบ่งออกเป็นสี่กลุ่มโดยมีสมาชิกห้าคนในแต่ละกลุ่ม ข้าจะคอยดูแลกลุ่มหนึ่งในขณะที่ผู้อาวุโสคนอื่นๆ จะคอยดูแลคนอื่นๆอีกที เนื่องจากผู้อาวุโสที่เหลือยังมาไม่ถึงเราจึงต้องรอพวกเขาอีกสักหน่อยก่อนจึงจะเข้าไปได้พวกเจ้าตกลงหรือไม่”
ลูกศิษย์ของนิกายวารีพาดผ่านพยักหน้า
“ในตอนนี้พวกเจ้าช่วยบอกข้าทีว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่” กู่ฟ่านหมิงยิ้มให้พวกเขาอย่างเมตตาแต่พวกเขากลับเย็นยะเยือกไปจนถึงกระดูกสันหลัง ไม่มีใครในพวกเขาเชื่อว่ารอยยิ้มของเขาเป็นรอยยิ้มที่จริงใจ กู่ฟ่านหมิงไม่ใช่ผู้ชายประเภทที่จะใจดี เขาเป็นเพียงอสูรร้ายที่ปกคลุมไปด้วยผิวหนังของมนุษย์ นี่คือความคิดเห็นของพวกเขาที่มีต่อเขา