เมื่อผมโดนระบบครองร่าง - บทที่ 131 การเดินทางของฉันคือทะเลแห่งดวงดาว
บทที่ 131 การเดินทางของฉันคือทะเลแห่งดวงดาว
หลังจากที่หวงรุ่ยกลับไปแล้ว พ่อบ้านเจิ้งที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ลังเลคล้ายจะพูดอะไรบางอย่างออกมา
ฟางหนิงต้องการสิทธิ์ควบคุมร่างกายของเขา ถามขึ้น “ว่าไง พ่อบ้านเจิ้ง คุณคิดว่าตาแก่นั่นพูดมีเหตุผลเหรอ”
พ่อบ้านเจิ้ง “ตามความรู้สึกของผม แม้ว่าคำพูดของเขาจะเกินจริงไปบ้าง ทั้งพฤติกรรมก็ยังดูแปลก แต่ดูเหมือนว่าจะมีเหตุผล”
ฟางหนิงหัวเราะ “ฮ่าฮ่า” แล้วลุกขึ้นเงยหน้ามองไปนอกหน้าต่าง เอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ “เขาพูดได้ดีทีเดียว แต่นั่นเป็นเพียงความเห็นของคนธรรมดาเท่านั้น เขามองเห็นแค่พื้นที่ใต้ฝ่าเท้าตัวเอง แต่ฉันมองเห็นทะเลดวงดาว…”
พ่อบ้านเจิ้งได้ยินก็รู้สึกงงงันในตอนแรก แต่แล้วเขาก็ต้องตกใจ พยักหน้าแสดงความชื่นชม “นายท่านเป็นคนมองการณ์ไกล ผู้น้อยไม่อาจเทียบได้ จึงทำได้แค่ติดสอยห้อยตามเท่านั้น”
ฟางหนิงโบกมือให้เจิ้งต้าวไปทำงานแล้วคืนร่างกายให้ระบบ
ระบบสงสัย “โฮสต์ เมื่อกี้คุณแกล้งอีกแล้วเหรอ”
ฟางหนิง “ครั้งนี้ไม่ใช่ ไม่เห็นเหล่าเจิ้งตกใจเหรอ สายตาของฉันมองการณ์ไกลจริงๆ ระบบเล็กๆ อย่างแกไม่เข้าใจหรอก”
ระบบ “ระบบคิดเสมอว่าโฮสต์กำลังพล่ามเรื่องไร้สาระ…ช่างเถอะ ตอนนี้ระบบจะไปฝึกต่อแล้ว อย่าลืมล่ะ ครั้งหน้ามีคนมาให้เงินถึงประตูก็อย่าลืมรับไว้”
ฟางหนิงพูดไม่ออก “เข้าใจแล้วน่า อัศวิน A ต้องการแค่เงิน เขาไร้ยางอาย โชคดีที่ฉันไม่ได้ใช้สถานะที่แท้จริงของฟางหนิง…”
…………
อัศวิน A ถูกระบบครองร่างเพื่อจับปีศาจและเปิดแผนที่ต่อไปตามปกติ ขณะที่ฟางหนิงไม่มีอะไรทำ เขาจึงเตรียมจะไปเล่นเกม “Beasts Fighting for Heroes” อีกสักสองสามตา เพราะเขาไม่ได้เล่นมาพักหนึ่งแล้ว
หลังจากจับบอสได้สำเร็จ ฟางหนิงก็ดูอนิเมชั่นตอนจบซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาหวนคิดถึงวันนั้นที่เห็นสำนักงานสัจธรรมส่งต่อฉากของสัตว์ร้ายในนั้นแทบจะเหมือนกับของบอสเลย สำนักสัจธรรมทำอย่างนี้มีเป้าหมายอะไรกันแน่
เมื่อรวมกับคำตอบก่อนหน้าของแอนเดอร์สัน เขาพอจะมีคำตอบอยู่บ้าง ตอนนี้เพียงรอดูว่าเมื่อไหร่คำตอบนี้จะกลายเป็นความจริง
ขณะที่ฟางหนิงกำลังคิดเรื่องนี้ จู่ๆ QQ ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
คราวนี้เป็นประธานจ้าวส่งข้อความ QQ ให้ตัวตนที่แท้จริงของฟางหนิง
ประธานจ้าว “หลานชายที่รัก ช่วงนี้ฉันกับตาอ้วนหลิวเพิ่งถูกใจที่ดินบนภูเขาสามแห่ง คิดว่าจะเลือกหนึ่งแห่งเพื่อลงทุนในฟาร์มพืชผลปราณชีวิต แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันทำธุรกิจนี้ รู้สึกไม่มั่นใจเลย ป้าของเธอตัดไปได้แค่หนึ่งที่ อีกสองที่ลังเลยังตัดสินใจไม่ได้”
ฟางหนิง “อ้อ คุณลุงอยากให้ผมเชิญอัศวิน A มาช่วยดูใช่ไหม”
ประธานจ้าว “อ่า…เสี่ยวฟาง เธอเป็นเถ้าแก่มาครึ่งปีแล้วสินะ ฉลาดมากทีเดียวๆ ลุงหมายความว่าใครที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดในการตัดสินระดับความเข้มข้นของปราณชีวิต นอกจากมังกรแท้ยังจะมีใครได้อีกเหรอ แน่นอน เราจะไม่เชิญเขาเปล่าๆ เราจะมอบหุ้นของเราให้ด้วย”
ฟางหนิงตอบกลับ “เรื่องนี้ไม่ยาก ผมจะติดต่ออัศวิน A ให้ ลองถามว่าเขาจะตกลงไหม”
ประธานจ้าว “อืม เสี่ยวฟางรบกวนด้วยนะ”
ฟางหนิงไม่ได้ “ลำบาก” เลยสักนิด เขาแค่ตะโกนเรียกระบบเท่านั้น
“อุตสาหกรรมพืชผลปราณชีวิตกำลังจะเปิดแล้ว ลองไปดูสถานที่หน่อยไหม พวกเขายังบอกด้วยว่าจะให้หุ้นฟรีๆ เรื่องนี้คงไม่รบกวนการฝึกบำเพ็ญใช่ไหม”
ระบบ “ไม่รบกวนเลยสักนิด อยู่ไหนล่ะ จะไปเมื่อไหร่”
ฟางหนิงคิดจะถามประธานจ้าว แต่เขาจะติดต่อกลับไปเร็วขนาดนี้ไม่ได้ มันดูปลอมเกินไป…
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง เขาจึงตอบประธานจ้าวกลับไป “อัศวิน A ตกลงแล้ว คุณลุงช่วยระบุที่อยู่โดยละเอียดและเวลานัดพบมาให้ผมหน่อยนะครับ”
ประธานจ้าวประหลาดใจมากเมื่อได้ยินแบบนั้น ตอนแรกเขาไม่มีความหวังมากนัก เพราะหากไม่สำเร็จ เขาจะขอให้ใครสักคนติดต่อหม่าเต้าฉางแห่งจื่อซานกวน
เพราะได้ยินมาว่าอีกฝ่ายดูฮวงจุ้ยเก่งมาก เร็วๆ นี้เขากำลังจะมาที่เมืองฉีเพื่อช่วยตระกูลฉีที่ประสบปัญหาการปลูกวัตถุดิบยา ประธานจ้าวจึงคิดว่าจะถือโอกาสนี้เชิญเขามาเสียเลย
หากแต่เขาก็คิดว่าอัศวิน A เป็นมังกรแท้ เพราะฉะนั้นความสามารถย่อมมากกว่า แต่ต้องอาศัยการขอร้องอย่างจริงใจและให้ค่าตอบแทนเพิ่ม เท่านี้ก็สามารถกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นได้ ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะลืมตัวเองและคนอื่นถ้าไม่ได้ติดต่อกันนาน
แต่ระบบนั้นจำได้แม่นยำเสมอว่าใครที่ให้เงินมันบ้าง เพราะฉะนั้นประธานจ้าวจึงไม่ต้องกังวลว่าอีกฝ่ายจะลืมตนเองเลย แต่แน่นอนว่าเขาไม่รู้เรื่องนี้…
…………
สามวันต่อมา ท้องฟ้าปลอดโปร่งแจ่มใสไร้เมฆลมเอื่อย
ประธานจ้าว ตาอ้วนหลิว คุณนายจ้าว อัศวิน A มนุษย์กลไกตัวแทนฟางหนิง และกลุ่มบอดี้การ์ดในชุดสีดำก็ยืนอยู่ที่เชิงเขาแห่งหนึ่งกำลังทอดมองสายตาไปยังภูเขาที่อยู่ไกลๆ
นี่เป็นแห่งที่สามแล้วที่พวกเขามาดู
ภูเขาลูกนี้ตั้งอยู่ค่อนข้างห่างไกลทางตอนใต้ของเมืองฉี ยังไม่ได้รับการพัฒนา ไม่มีแม้แต่หมู่บ้านในแถบนี้ ทางหลวงใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไปสิบกว่ากิโลเมตร เรียกได้ว่าทุรกันดารมากทีเดียว
ทุกคนยืนห้อมล้อมอัศวิน A ท่าทางเคารพนับถือมาก
คุณนายจ้าวก็ไม่มีข้อยกเว้น แม้ว่าพลังของเธอจะเหนือกว่าคนธรรมดา แต่เธอกลับให้เกียรติเขายิ่ง เพราะอาศัยความสัมพันธ์สายเลือดปีศาจงู เธอยิ่งสัมผัสได้ถึงแรงกดดันตามธรรมชาติของอีกฝ่าย
ประธานจ้าวแนะนำ “ภูเขารกร้างแห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่สองหมื่นไร่ หน่วยงานท้องถิ่นยินดีทำสัญญากับเราในราคาถูกมากแทบจะไม่คิดเงิน ขอเพียงรับประกันว่าจะใช้สำหรับการพัฒนาพืชผลที่มีปราณกำเนิด ไม่เพียงแต่ให้เช่าได้ห้าสิบปีเท่านั้น แต่ยังยินดีสนับสนุนเงินทุนพัฒนาก้อนหนึ่งอีกด้วย และยังอนุมัติเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับโครงสร้างพื้นฐานอย่างถนน ประปาและไฟฟ้า”
ทันทีที่ฟางหนิงได้ยินก็รู้ว่าเงินทุนเริ่มถูกย้ายจากเบื้องบนอย่างเห็นได้ชัด เสินโจวมีข้อได้เปรียบอย่างนี้ เบื้องบนมีทรัพยากรมากที่สุดและค่อนข้างง่ายที่จะปรับให้เข้ากับอุตสาหกรรมเกิดใหม่บางประเภท
อัศวิน A ไม่พูดอะไร เขาเพียงสัมผัสลมปราณของภูเขาโดยละเอียด
ไม่นานอัศวิน A ก็เอ่ยขึ้น “ถึงแม้สถานที่แห่งนี้จะทำเลดีก็ตาม แต่ฉันกลับมีที่หนึ่งที่ดีกว่าทั้งสามที่ที่เราดูกันมาเป็นสิบเท่า แต่สถานที่นั้นห่างไกลและลึกลับมากกว่า ถึงอย่างนั้นก็ยังมีวิธีที่จะเดินทางได้ ไม่ทราบว่าพวกคุณเต็มใจใช้เงินก้อนใหญ่บุกเบิกไหม”
เพราะเป็นคำแนะนำจากมังกรแท้จะต้องเป็นสถานที่ดีเยี่ยมแน่ ทันทีที่ประธานจ้าวได้ยิน เขาจึงรีบตอบกลับไป “ในเมื่อท่านอัศวิน A เสนอแบบนั้น ผมก็เต็มใจแน่นอน”
ตาอ้วนหลิวไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ผมก็ยินดีร่วมด้วย”
อัศวิน A “งั้นตามผมมา”
ฟางหนิงได้ฟังก็จะพอจะรู้บางอย่าง เขานึกถึงสถานที่หนึ่งที่เข้ากับคำอธิบายของระบบมาก
หลังจากระบบนำทางไปช่วงหนึ่ง ฟางหนิงก็แน่ใจทันทีว่าตนเองคาดเดาถูก
ใช่แล้ว สถานที่ที่พวกเขาจะไปก็คือหุบเขาอันห่างไกลที่ระบบเคยบังคับให้สามีภรรยาตระกูลไป๋ฆ่าตัวตาย และยังเป็นสถานที่ที่ฆ่ากุ่ยชีอีกด้วย ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นที่ซ่อนของหนูยักษ์ แต่ตอนนี้มันถูกทิ้งร้างมานานแล้ว
ทั้งคณะขับรถเข้ามาก่อน แล้วทิ้งรถไว้ทางด้านนอก ก่อนจะบุกลุยภูเขาและแม่น้ำจนมาถึงด้านนอกหุบเขา สุดท้าย พวกเขามองดูภูเขาสูงชันแล้วเริ่มปีนป่ายขึ้นไป
มนุษย์กลไกตัวแทนฟางหนิงนั้นไม่มีปัญหา ด้านบอดี้การ์ดซึ่งฝึกฝนร่างกายทุกวัน และล่าสุดพวกเขาเพิ่งจะฝึก “หลักสูตรการฝึกจิตขั้นพื้นฐาน” ไป กำลังกายจึงไม่ย่ำแย่และปฏิกิริยาว่องไวไร้ปัญหา ด้านคุณนายจ้าวยิ่งไม่ต้องพูดถึง
มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ปกติไม่ค่อยได้ออกกำลังกายมากนัก แต่ยังโชคดีที่ได้บอดี้การ์ดช่วยประคอง เพราะยังปีนขึ้นไปไม่ถึงครึ่งทาง พวกเขาก็ก้มตัวหอบหายใจ “แฮ่กๆ” อย่างหนักแล้ว…
เดิมทีคุณนายจ้าวอยากจะแบกประธานจ้าวขึ้นไปเอง แต่ประธานจ้าวอายที่จะปล่อยให้ภรรยาแบกเขาต่อหน้าผู้คนจำนวนมากขนาดนี้ สุดท้ายจึงยืนกรานจะปีนภูเขาสูงชันนี้เอง
ยังดีที่หลังจากปีนขึ้นไปถึงบนยอดเขาแล้วมองหุบเขาที่เต็มไปด้วยม่านหมอก ประธานจ้าวกับตาอ้วนหลิวก็รู้สึกว่าการเดินทางครั้งนี้คุ้มค่า
ในหุบเขามีหมอกล่องลอยคล้ายคลุมผ้าผืนบางเอาไว้ ที่แห่งนี้ไร้ซึ่งฝุ่นควันอย่างในเมืองใหญ่ แต่กลับเผยความบริสุทธิ์และเป็นอมตะ
แม้แต่คนอย่างประธานจ้าวและตาอ้วนหลิวที่ไม่ได้ฝึกฝนจริงจัง เมื่อหายใจเข้าไปก็รู้สึกผ่อนคลายและอิ่มเอมความสุข คนอื่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง
“มันเป็นสถานที่ที่ราวกับแดนสวรรค์จริงๆ หากคุณอยากปลูกพืชปราณกำเนิดที่นี่ คุณจะได้ผลลัพธ์สองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว เพียงแต่ว่าน่าเสียดาย เพราะถ้าเราเลือกที่นี่จริงๆ มันอาจไม่บริสุทธิ์เท่าเดิม” ประธานจ้าวถอนหายใจ
อัศวิน A ตอบกลับ “ไม่เป็นไรหรอก หุบเขาแห่งนี้ถูกพวกหนูยักษ์ทำลายไปนานแล้ว มันถูกทิ้งร้างเป็นเวลานาน ปราณกำเนิดที่นี่มากมายเหลือล้นกว่าสามที่ก่อนหน้านี้มาก อ้อ ดูเหมือนว่าเราจะหาแรงงานฟรีได้ด้วย”
ขณะที่เขาพูดก็ขยับตัวเล็กน้อยราวกับเทพเซียน สองมือไพล่หลัง เท้าลอยสูงเหาะตรงไปที่หน้าผา
ทุกคนต่างตะลึงอ้าปากค้าง เมื่อเห็นวรยุทธ์ชั้นสูงของอีกฝ่ายกับตา ต่างก็คิดในใจว่าอีกฝ่ายควรเป็นเทพเซียนชั้นหนึ่งบนแผ่นดิน ตราบใดที่พวกเขาพึ่งพิงผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ ยังจะต้องกังวลเรื่องอะไรอีก
หนูสีเทาตัวหนึ่งอยู่ในรอยแยกบนหน้าผามองออกไปยังกลุ่มคนที่ปรากฏตัวบนยอดเขา มันไม่รู้ว่าคนกลุ่มนี้มาทำอะไรที่นี่อีก
ที่นี่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเลยสักนิด ซ้ำยังอยู่ห่างไกล แล้วทำไมมักมีคนมาอยู่เรื่อย
หลังจากกุ่ยชีตายไปเมื่อครั้งก่อน มันก็พาลูกหลานออกไปหลบภัยรอบหนึ่ง และบังเอิญหลบเลี่ยงเหตุการณ์ไป๋ซื่อซินแอบวางแผนทำร้ายอัศวิน A ได้พอดี
สุดท้ายมันก็พบว่าบ้านเกิดปลอดภัยที่สุด ป่าเป็นถิ่นของตระกูลหนูยักษ์มาช้านาน สัตว์ป่าจำนวนมากที่คนไม่เห็นคุณค่าถูกพวกมันล่า ทั้งหมูป่าและกระต่ายไม่ใช่ศัตรูของหนูยักษ์เลย
แขนขาเล็กๆ ของพวกมันยิ่งไม่ไหว ถ้ามันไม่ได้หลอกล่อหนูยักษ์ที่ไร้สมองว่าทุกคนเป็นตระกูลหนูด้วยกันควรจะสามัคคีต่อสู้กับศัตรู ไม่อย่างนั้นพวกมันคงตกเป็นอาหารของอีกฝ่ายแล้ว
สุดท้ายมันจึงล่าถอยกลับมาพร้อมกับลูกหลาน อย่างน้อยหนูยักษ์ในหุบเขานี้ก็จะไม่รุกเข้ามาอีก แต่มันนึกไม่ถึงว่าจะถูกมังกรเพลิงขวางทางอีกครั้ง
เมื่ออัศวิน A ปรากฏตัวต่อหน้ามัน มันกลับไม่หวาดกลัว แต่รีบก้มตัวลง “สวัสดีใต้เท้ามังกรเพลิง”
อัศวิน A “ฉันกับคนอื่นๆ ต้องการปลูกพืชปราณกำเนิดที่นี่ ฉันเคยสังเกตเห็นตระกูลของเจ้าปลูกผลไม้ป่าได้ คิดว่าน่าจะมีประสบการณ์ปลูกพืชปราณกำเนิด ถ้าเจ้าช่วยได้ พวกเขาจะจ่ายค่าตอบแทนให้มากทีเดียว”
หนูเทากลอกตา “ผู้น้อยรู้วิธีปลูกพืชปราณกำเนิดจริง เพียงแต่ผู้น้อยไม่ต้องการรางวัลอื่นใด เพียงปรารถนาอาหารดำรงชีพ และปกป้องครอบครัวผู้น้อยก็พอแล้ว”
ทันทีที่ระบบได้ฟัง ก็คิดในใจว่าสมแล้วที่เป็นกลุ่มช่างฝีมือ หนูพวกนี้คุณค่าสูงกว่านี้มาก และที่นี่ยังเป็นพื้นที่เปิดแผนที่ หากมีปีศาจคุกคามก็จะสามารถจัดการได้โดยง่าย
อัศวิน A จึงตอบรับ “ไม่ใช่ปัญหาอะไร แต่ฉันทำได้แค่ปกป้องครอบครัวตอนนี้ของเจ้า ถ้ามีลูกหลานมากเกินไปกว่านี้ ฉันคงดูแลไม่ไหว”
หนูเทา “ผู้น้อยทราบดี ผู้น้อยจะควบคุมการขยายพันธุ์ของพวกมัน ถ้าเยอะมาก ผู้น้อยก็เลี้ยงไม่ไหวเหมือนกัน”
เมื่ออัศวิน A พาหนูเทาที่พูดภาษามนุษย์ได้ลงมา ทุกคนก็ไม่แปลกใจเลย พวกเขาไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา ด้วยรู้ดีว่าช่วงนี้สัตว์หลายชนิดพัฒนาสติปัญญาได้แล้วและมีเศรษฐีไม่น้อยทีซื้อสัตว์เลี้ยงมีสติปัญญาพวกนี้ในราคาสูง แต่น่าเสียดายที่สัตว์เลี้ยงมีสติปัญญาส่วนใหญ่ไม่อยากเป็นสัตว์เลี้ยงอีกต่อไป…
เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายรู้วิธีปลูกพืชปราณกำเนิดจริงๆ ประธานจ้าวก็ดีใจมาก บอกว่าเขาจะให้หุ้นเพิ่มเป็นชุดพนักงาน ในฐานะบอส เขาตระหนักดีถึงความแตกต่างระหว่างมือเก่ากับมือใหม่
ตระกูลฉีต้องต้องคลำทางหาหนทางเองตั้งแต่แรก โดยไม่มีคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์ มันไม่ง่ายเลยที่จะจ้างผู้เชี่ยวชาญจากสำนักสัจธรรมให้เข้ามาช่วยเหลือ พวกเขามีเพียงวัสดุปลูกพื้นฐานบางส่วนเท่านั้นที่ส่งต่ออยู่ข้างนอก
หนูเทาตัวนั้นยังบอกด้วยว่าเขาจะให้ชุดพนักงานกับใต้เท้ามังกรเพลิงเพื่อแลกกับการคุ้มครอง
ประธานจ้าวย่อมไม่ปฏิเสธคำขอที่สมเหตุสมผลนี้แน่นอน มีการสนับสนุนและเทคโนโลยีครบครัน ตลาดก็มีอยู่แล้ว เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าการลงทุนครั้งนี้จะล้มเหลวได้ยังไง
……………………………………………………