เมื่อผมโดนระบบครองร่าง - บทที่ 16 ระบบไม่หวั่นกลัวผี
สำนักงานใหญ่ของหน่วยกิจการพิเศษเมืองฉีตั้งอยู่ในหุบเขาลึกแถบภูเขาทางใต้ของเมือง สถานที่แห่งนี้มีเทือกเขาป่าไม้เขียวขจีและสายน้ำลำธารชุ่มฉ่ำ ภูมิทัศน์เหมาะกับการใช้ชีวิต แต่กลับมีน้อยคนนักที่เคยมาเยือน เพราะบริเวณนี้มีฐานทัพทหารตั้งอยู่ จึงจัดเป็นเขตหวงห้ามทางทหาร
รถที่มาส่งหลี่ว์เอ้อร์เคลื่อนผ่านไปบนถนน หลังจากผ่านด่านตรวจหลายขั้นจึงจะผ่านเข้าไปในสำนักงานใหญ่ได้
ทว่า ถึงตรงนี้แล้วก็ยังมีอีกหลายขั้นตอน เจ้าหน้าที่ของหน่วยกิจการพิเศษเอ่ยอะไรบางอย่างที่ทำให้หลี่ว์เอ้อร์ได้สติขึ้นมา จากนั้นก็พาเขาเข้าไปทางปีกตะวันออกใกล้ภูเขาที่มีกำแพงสูงล้อมรอบสามด้าน
เจ้าหน้าที่พาเขาเดินมาถึงหน้าประตูที่มีการรักษาความปลอดภัยแน่นหนา ตรงนั้นมีใครบางคนรออยู่ก่อนแล้ว
ตอนนั้นเอง หลี่ว์เอ้อร์ก็พลันได้ยินเสียงวิ่งจากด้านในกำแพงสูงและเสียงคำขวัญอันคุ้นหู “หนึ่ง สอง หนึ่ง หนึ่ง สอง หนึ่ง หนึ่ง สอง สาม…สี่”
ไม่นานนักก็มีอีกเสียงหนึ่งตะโกนนำ จากนั้นเสียงตะโกนคำขวัญก็ดังออกมาอย่างพร้อมเพรียง
“ปราบให้สิ้นซาก…ภูตผีปีศาจ!!”
“ปกป้องมนุษยชาติ…ใต้หล้ารุ่งโรจน์!!”
“รักษาสังคม…สงบเรียบร้อย!!”
“สนุกกับชีวิต…ชีวิตอิสระ!!”
หลังจากได้ยินเนื้อหาในคำขวัญชัดเจน หลี่ว์เอ้อร์พลันตัวสั่นสะท้าน ในใจคิดว่าไอ้อัศวิน A สมควรตายจริงๆ ที่ทำให้เขาต้องเข้ารับโปรแกรมเรียนซ้ำ รอฉันออกไปได้ก่อนเถอะ แกตายแน่
“อาจารย์ใหญ่จาง นักเรียนเข้าใหม่ หลี่ว์เอ้อร์ ตอนนี้ดำเนินการส่งตัว!”
เจ้าหน้าที่หน่วยกิจการพิเศษที่นำตัวหลี่ว์เอ้อร์มาส่งทำความเคารพเสียงหนักแน่นต่อชายชราคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าประตู
เวลานี้ มือและเท้าของหลี่ว์เอ้อร์ยังคงถูกสวมกุญแจมือและล่ามโซ่ตรวนเอาไว้ รอบด้านยังมีพลซุ่มยิงประจำการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เขารู้กฎของที่นี่ดี เมื่อครู่ชื่อของเขาถูกประกาศออกไปอย่างเป็นทางการแล้ว ถ้าหากคิดจะหลบหนีล่ะก็…ให้โอกาสเตือนแค่สองครั้งเท่านั้น ครั้งที่สามเด็ดหัวทันที
เขาชั่งน้ำหนักแล้วว่าพลังพิเศษยังไม่ได้พัฒนาไปถึงขั้นว่องไวกว่าความเร็วของกระสุนปืน เพราะฉะนั้นแล้วการให้ความร่วมมือย่อมเป็นความคิดที่ดีกว่า ได้แต่หวังว่าโปรแกรมเรียนซ้ำครั้งนี้จะไม่น่าสะพรึงกลัวอย่างที่พวกฮัมมิ่งเบิร์ดเคยเล่าให้ฟัง
พวกฮัมมิ่งเบิร์ดเล่าว่าประสิทธิภาพของโปรแกรมเรียนซ้ำไม่ธรรมดา ห้องมืด + ไฟฟ้าบำบัด + การล้างสมองเข้มข้น ซึ่งรับประกันได้ว่าคนถูกปลุกพลังพิเศษส่วนใหญ่จะมีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับยุคใหม่ได้ดีเยี่ยมหลังจากที่พวกเขาออกมา นั่นคือปฏิบัติตามหลักนิติธรรมและใช้พลังพิเศษของตนเองที่ถูกปลุกขึ้นอย่างสันติ…
หลี่ว์เอ้อร์รู้ว่าเขาทนไหว เขาไม่อยากใช้พลังพิเศษอย่างสันติเพราะธรรมชาติของเขาไม่ใช่คนที่ชอบทำตามกฎ
ขณะที่หลี่ว์เอ้อร์กำลังคิดเรื่อยเปื่อยนั่นเอง อาจารย์ใหญ่จางก็กวาดตามองเขาแล้วเหยียดยิ้มให้ ก่อนจะหันไปหาเจ้าหน้าที่พวกนั้นแล้วเอ่ย “ทำไมใบหน้าหมอนี่ถึงได้ยับเยินขนาดนี้ อัศวิน A อัดจนน่วมแล้วพวกนายก็ไปเก็บกลับมาอีกแล้วงั้นเหรอ”
“ฮ่าๆ คอยติดตามอัศวิน A แล้วย่อมได้ประโยชน์เสมอ อาจารย์ใหญ่จาง สายตาของท่านเฉียบแหลมยิ่ง แค่มองแวบเดียวก็รู้แล้ว เกรงว่าสายตาคนของสำนักงานสัจธรรมจะไม่ดีเท่ากับท่าน” เจ้าหน้าที่หน่วยกิจการพิเศษเยินยอ
“ฮ่าๆ แค่พอใช้ได้เท่านั้นแหละ น่าเสียดายที่ฉันแก่เกินเกณฑ์รับสมัครของพวกเขา แต่ว่าเมื่อไหร่พวกนายจะพาอัศวิน A มาเรียนด้วยล่ะ ปล่อยให้เขาตระเวนอยู่ข้างนอกแบบนั้นไม่น่าจะดี”
เจ้าหน้าที่หน่วยกิจการพิเศษอึกอักแล้วอธิบายว่า “มันค่อนข้างยากน่ะครับ เขาไม่มีที่มาที่ไป จนถึงตอนนี้ยังไม่สามารถยืนยันตัวตนที่แท้จริงของเขาได้ แต่ถึงอย่างนั้น เขายังยึดถือหลักการมาก ไม่เหมือนกับคนที่ถูกปลุกพลังพิเศษทั่วไป เขาไม่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อสังคม”
หลังจากนั้นเขาก็เล่าถึงตอนที่เพิ่งจับหลี่ว์เอ้อร์ได้ รวมถึงรายละเอียดที่อีกฝ่ายชดเชยเงินบางส่วนให้ร้านค้าด้วย
อาจารย์ใหญ่จางได้ฟังแล้วก็พยักหน้า “ดูท่าเขาคงไม่ใช่คนหนุ่มที่ทำไปเพื่อชื่อเสียง ฉันอ่านสถานการณ์ของเขาในรายงานสถิติแล้ว ช่วงสองเดือนที่ผ่านมา เขาจับอาชญากรทุกประเภททั้งหมดเจ็ดร้อยยี่สิบสามคน และใช้กำลังรุนแรงเกินไปถึงแปดครั้ง แต่ได้รับการยืนยันภายหลังว่าไม่มีผู้บริสุทธิ์ได้รับอันตราย ฉันพูดถูกใช่ไหม”
“ครับ ความจำของท่านดีจริงๆ ไม่ขาดตกเลยสักนิด”
“งั้นคนแบบนี้เจ้าหน้าที่หน่วยพิเศษก็ควรจะชักชวนและแต่งตั้งเขาสิถึงจะถูก” อาจารย์ใหญ่จางไม่เข้าใจนัก
เจ้าหน้าที่หน่วยกิจการพิเศษค่อนข้างอึดอัด ผู้อาวุโสจางเป็นคนซื่อตรงและดื้อรั้น ไม่รู้จักเทคนิคยืดหยุ่นอะไรทั้งนั้น เจ้าหน้าที่ครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ได้ยินว่าคนของสำนักสัจธรรมเคยตัดสินศักยภาพของเขาในขั้นต้น เขาเป็นเพียงยอดฝีมือด้านศิลปะการต่อสู้ ระดับพลังของเขาคือ F เท่านั้น และอนาคตของเขามีขีดจำกัด เบื้องบนอาจจะพิจารณาเรื่องนี้แล้วกระมัง”
อาจารย์ใหญ่จางกลับส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “ศักยภาพของคนที่ไหนจะดูออกง่ายๆ ขนาดนั้นล่ะ ฉันคิดว่าหัวหน้าพวกนายคิดมากเกินไปแล้ว เพราะคิดว่าสถานะไม่ชัดเจน การตรวจสอบใบหน้าด่านแรกไม่ผ่าน ไม่คิดอยากจะรับผิดชอบใช่ไหม”
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงหัวหน้าของตัวเอง เจ้าหน้าที่หน่วยกิจการพิเศษก็ไม่กล้าจะเออออตามอีก เขาเริ่มโต้แย้ง
“ผู้อาวุโสจาง ไม่แปลกที่ผู้อำนวยการโม่จะไม่รับผิดชอบเขา เขาไม่ใช่อัจฉริยะที่ไหน ควรค่าหรือที่จะใช้ข้อกำหนดอัจฉริยะ อย่าคิดว่าตอนนี้เขาน่าเกรงขามไร้เทียมทาน ไม่มีคู่แข่งในเมืองฉีเลย รอกระทั่งพลังพิเศษของผู้ที่ถูกปลุกเติบโตขึ้นในวันหน้า เขาอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้อีกต่อไปแล้ว มาพูดถึงเจ้าหนูเหาะตัวนี้กันดีกว่า ตอนที่เราจับได้ เขาวิ่งแข่งกับอัศวิน A มาสี่ชั่วโมงแล้วก่อนที่จะถูกอีกฝ่ายไล่ทัน แค่หนูตัวเล็กๆ ต้องออกแรงจับขนาดนี้เลยเหรอ
“นี่ใช้เวลาแค่เพียงสองเดือนเท่านั้น เกรงว่าวันที่ยิ่งใหญ่ของเขาอย่างมากสุดก็อีกไม่เกินสองเดือน เมื่อพวกที่ปลุกพลังพิเศษแปลกประหลาดเติบโต ก็เหมือนกับพลังพิเศษทางจิตในบันทึกของพวกเรา บ้างก็ฆ่าคนในความฝันได้ บ้างก็ขับไล่ผีและทำร้ายผู้คนได้ เขาจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรล่ะ”
“หืม พวกนายต้องการให้เขาจัดการกับอะไร นั่นไม่ใช่สิ่งที่พวกนายควรทำหรอกหรือ ทุกอย่างเปิดเผยหมดแล้ว พวกนายประจบแต่คนมีอำนาจ ก็แค่ต้องการเอาเปรียบคนอื่น ไม่จริงใจต่อกัน วันหน้าพวกนายจะต้องเสียใจแน่นอน หลี่ว์เอ้อร์คนนี้ ฉันจะพาตัวเขาออกไปก่อน อีกสามเดือน ฉันจะคืนกำลังสำคัญให้พวกนาย” อาจารย์ใหญ่จางส่ายหัวอีกครั้ง แล้วทำท่าให้หลี่ว์เอ้อร์ตามเขาไป
เจ้าหน้าที่คนนั้นเพียงรับคำ ไม่โต้แย้งอะไรทั้งสิ้น เขาไม่คิดจะยั่วโมโหอาจารย์ใหญ่จาง เพราะเขาไม่อยากมีชะตากรรมเหมือนกับหลี่ว์เอ้อร์ที่ถูกจัดชุดโปรแกรมสอนซ้ำให้
หลี่ว์เอ้อร์ลากโซ่ตรวนและกุญแจมือออกเดินไปพลางก็ก้มหน้าก้มตา เพิ่งจะเดินไปได้เพียงสองก้าว อาจารย์ใหญ่จางที่เห็นเขาเดินด้วยความเชื่องช้ายากลำบากแบบนั้นก็ยื่นมือออกมาแล้วสะบัดมาทางเขา
หลี่ว์เอ้อร์สัมผัสได้ถึงสายลมแผ่วเบาที่พัดเข้ามา จากนั้นเขาก็พบว่ากุญแจมือและโซ่ตรวนซึ่งทำจากเหล็กพิเศษได้แตกละเอียดทันที ร่างกายของเขารู้สึกผ่อนคลาย เพราะได้ลิ้มรสของอิสรภาพอีกครั้ง
นอกจากจะผ่อนคลายแล้วก็ยังรู้สึกหวาดหวั่นอีกด้วย หลี่ว์เอ้อร์คิดในใจ มิน่าชายชราที่ดูแสนจะธรรมดาคนนี้ถึงได้เป็นอาจารย์ใหญ่ของโปรแกรมเรียนซ้ำทั้งหมด ดูจากพลังปราณเมื่อครู่แล้ว เกรงว่าอัศวิน A ที่ไล่ตามเขาเกือบตายก็น่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้เช่นกันกระมัง
ผู้อาวุโสจางมองหลี่ว์เอ้อร์ที่หน้าเปลี่ยนสี ขณะเดินนำหน้าไป ใบหน้าของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มลึกล้ำอีกครั้ง ในใจคิดว่าข่มขู่ได้อยู่หมัดอีกคนแล้ว การฝึกบำเพ็ญของสำนักงานสัจธรรมเมื่อหลายปีก่อนเยี่ยมจริงๆ น่าเสียดายที่ตัวเขาแก่ชราแล้ว คิดจะต่อสู้กับคนอื่นคงไม่ไหวแน่นอน แต่หากแค่ข่มขู่เด็กพวกนี้ก็ยังพอทำได้
…
มีคนเอ่ยถึงอัศวิน A ที่เป็นอีกสถานะหนึ่งของระบบขึ้นมา แต่ตัวฟางหนิงเองกลับอยู่ในพื้นที่ของระบบ แอบพลิกดูของรางวัลที่ระบบเพิ่งจะได้กลับมาจากการผดุงคุณธรรม
ยาเม็ดนั้นมาจากตระกูลฉี เขากวาดตามองมัน ก่อนจะใช้ความคิดอย่างหนัก
ตั้งแต่เขามีระบบเข้ามาในชีวิตก็มีเรื่องหนึ่งที่ติดค้างอยู่ในใจมาโดยตลอด แน่นอนว่าระบบไม่ใช่ผู้ช่วยของเขา เรื่องนั้นก็ยุ่งยากมากด้วย แต่เขาก็เพิ่งจะรู้สึกว่าสถานะของตนเพิ่มขึ้นอย่างมาก หลังจากได้รับการยอมรับจากระบบว่าเป็นคุณค่าที่ขาดไม่ได้ ถึงค่อยกล้าคิดที่จะใช้ระบบแก้ไขปัญหา
หลังจากพิจารณามาได้สักพักแล้ว ฟางหนิงก็พอจะมองออกแล้วว่าในยาเม็ดนี้มีพลังภายในถูกผนึกอยู่จริงๆ แต่มันอ่อนแอมากเมื่อเทียบกับพลังภายในร่างกายของเขาเอง
แม้ว่าทุกวันเขาจะหมดเวลาส่วนใหญ่ไปกับการเล่น แต่ระบบก็ควบคุมร่างกายของเขาให้นั่งสมาธิฝึกพลังภายใน ฟางหนิงรู้สึกได้ว่าตัวเขาคุ้นเคยกับพลังภายในและปราณแท้มากแล้ว อีกอย่างระบบมักจะฝึกฝนในรูปแบบต่างๆ นั่นทำให้เขาคุ้นเคยกับพลังภายในมากทีเดียว
น่าเสียดายที่แม้จะเห็นวิธีการในตัวยาแล้ว แต่ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากนัก เว้นแต่จะมอบให้ใครสักคนกินมันเข้าไปถึงจะเห็นผลอย่างชัดเจน อีกทั้งไม่รู้ว่าที่แท้แล้วมันจะมีประโยชน์กับเรื่องนั้นหรือไม่ โชคดีที่เขาไม่รีบร้อน เพราะวันนั้นก็ได้ยินพ่อของฉีเยียนพูดเองว่าธุรกิจครอบครัวของพวกเขาจะนำออกจำหน่ายในตลาดเร็วๆ นี้
อย่างเขาที่ตอนนี้มีรายได้ปีละหลายร้อยล้าน ถ้ามันแพงจนเขาซื้อไม่ไหวจริงๆ ที่บอกว่าการจำหน่ายในตลาดก็คงเป็นเรื่องตลกแล้ว…
แต่ปัญหาก็คือ เมื่อถึงเวลานั้นจะหลอกล่อระบบงี่เง่าให้ยอมจ่ายเงินได้อย่างไร
ขณะที่ฟางหนิงกำลังคิดเรื่องนี้ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นข้างหู
“คิๆ…”
“ฮิๆ…”
“ข้าตายอย่างทรมาน…”
ชิบหาย! บทสนทนาคลาสสิคขนาดนี้ มันคือจังหวะเจอผีหรือไง ฟางหนิงได้ยินเสียงนั้นดังขึ้น ความกลัวก็ก่อตัวทันที เขาขนลุกซู่ เขาเหลือบมองพื้นที่ระบบแล้ววิ่งตรงไปที่ร้านขายเหล็กสีแดงฉาน ที่นั่นมีระบบที่กำลังสร้างทหารเทพอย่างสง่าผ่าเผยอยู่ นั่นทำให้เขารู้สึกปลอดภัยขึ้นมาบ้าง
สวรรค์รู้ว่าเขากลัวผีพวกนี้มากที่สุด ตอนเรียนชั้นมัธยมปลายที่ดูซาดาโกะ[1] ก็ตกใจขวัญหนีดีฝ่อจนนอนไม่หลับเป็นเดือน ไม่กล้ารับสายโทรศัพท์จนกลายเป็นตัวตลกของใครบางคนตั้งปีกว่า
หลังจากซ่อนตัวเรียบร้อย ฟางหนิงก็คอยจับตามองสถานการณ์ภายนอกผ่านมุมมองของระบบ
เขากวาดสายตามองรอบด้านที่มืดไปแล้วตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เดิมทีฟ้ากำลังจะสว่าง แต่เวลานี้ไร้แสงยามเช้า และมีแสงดวงไฟสีเขียวปรากฏขึ้นแทน ราวกับดวงตาของหมาป่า แต่มันก็ดูคล้ายกับดวงไฟลึกลับกำลังล่องลอยไปมา
“ระบบ เป็นไปได้ไหมที่พวกเราน่าจะเจอผี” ฟางหนิงเอ่ยถามด้วยความหวาดกลัว
“ไม่ใช่” ระบบตอบกลับสบายๆ
“งั้นก็ดี” ฟางหนิงถอนหายใจโล่งอก
“ไม่ใช่น่าจะ แต่ใช่ผีแน่นอน” ระบบแก้ไขความเข้าใจผิดของฟางหนิง
“หา! เฮ้ย!!!” ฟางหนิงได้ยินคำตอบก็ขวัญหนีดีฝ่อ รีบเข้าไปซ่อนตัวในร้านตีเหล็กของระบบทันทีไม่ยอมโผล่หน้าออกมา
“โฮสต์กลัวอะไร ภูตผีตนนี้น่ากลัวตรงไหน ผีเร่ร่อนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลตอนนี้ความสามารถของมันมีเพียงทำให้จิตใจคนสับสนเท่านั้น มันเข้าใกล้เราไม่ได้สักนิด หลอกเราก็ไม่ได้ด้วย” ระบบไม่เข้าใจพฤติกรรมน่าขันของโฮสต์ตอนนี้เลย จะกลัวผีไปทำไม เห็นชัดๆ ว่าผีตัวนี้รับมือง่ายกว่ากระต่ายเมื่อครู่ตั้งเยอะ…
……………………………………………………..
[1] ผีในภาพยนตร์เรื่องเดอะริง