เมื่อผมโดนระบบครองร่าง - บทที่ 166 พิธีเก็บเกี่ยวสมุนไพร
บทที่ 166 พิธีเก็บเกี่ยวสมุนไพร
หลังจากที่ระบบแกล้งบาดเจ็บและเก็บตัวไปหนึ่งวันก็โทรหาเจิ้งต้าวอีกครั้ง
เสียงของอัศวิน A ราบเรียบ “พ่อบ้านเจิ้ง เมื่อวันก่อนคุณบอกว่าประธานจ้าวและคนอื่นๆ จะจัดงานเก็บเครื่องยาสมุนไพรครั้งยิ่งใหญ่นี่ คุณช่วยแจ้งพวกเขาหน่อยว่าข้าจะเข้าร่วมด้วย”
เจิ้งต้าวตกตะลึง “ท่านเทพ เมื่อวานท่านบอกว่าได้รับบาดเจ็บต้องปลีกตัวไปพักฟื้นสักสองสามวันไม่ใช่เหรอ นี่เพิ่งจะพักฟื้นได้หนึ่งวัน ให้ผมไปปฏิเสธพวกเขาดีกว่า”
ฟางหนิงคิดในใจ ‘ระบบทุ่มเทมากกว่าที่แกจินตนาการเยอะ ยังไม่ต้องพูดถึงตอนนี้แกล้งเจ็บ ถึงตอนที่เจ็บจริงๆ มันก็ยังตามจับปีศาจตามปกติ ถึงยังไงนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของกลอุบาย’
อัศวิน A “เพราะแบบนี้ข้าถึงต้องออกงาน ไม่ให้บุคคลภายนอกเห็นพิรุธยังไงล่ะ คุณไปจัดการเถอะ”
สีหน้าของเจิ้งต้าวค่อนข้างเคร่งขรึม เขาลังเลมากแต่ก็ไม่ได้เกลี้ยกล่อมอีก ก่อนจะออกไปแจ้งข่าวให้พวกประธานจ้าวทราบ
…
สามวันต่อมา เดิมทีหุบเขาลึกลับในเมืองฉีเป็นสถานที่อันสงบสุข ทว่าในเวลานี้มีผู้คนขวักไขว่ไปมากำลังตระเตรียมพิธีการอันยิ่งใหญ่
บนกําแพงหินฝั่งตะวันตกของหุบเขาเจาะประตูโค้ง ภายในประตูโค้งมีอุโมงค์ ภายในประตูอุโมงค์นั้นประดับไฟสว่างไสวและปูพรมแดง ขณะนี้บรรดาเศรษฐีผู้มีชื่อเสียงพาสมาชิกในครอบครัวหรือคู่ควงทยอยกันเดินเข้ามา
บนพื้นที่ราบกว้างขวางในหุบเขาได้มีการจัดสถานที่อยู่ก่อนแล้ว ที่นั่งถูกจัดเรียงเป็นระเบียบ บนโต๊ะประดับด้วยดอกไม้และผลไม้ บริเวณโดยรอบจัดวางบอนไซ ตรงกลางของสถานที่จัดงานคือเวทีหินสีเขียวแกมน้ำเงิน แม้ว่าจะเป็นเวลาฤดูหนาวอันหนาวเย็น แต่ด้านล่างของหุบเขากลับอบอุ่น ราวกับช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิเข้าฤดูร้อน
ประธานหลิวซื่อเหลียงแห่งหอการค้าเมืองฉีแบกพุงอ้วนพลุ้ยและใบหน้ายิ้มแย้มต้อนรับแขกแต่ละคนที่ประตูโค้ง คนเหล่านี้มีศักยภาพจะเป็นลูกค้ารายใหญ่และแน่นอนว่าเขาจะต้องต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
บริษัทปลูกพืชสมุนไพรพลังชีวิตในหุบเขามีชื่อเต็ม ‘บริษัทปลูกพืชสมุนไพรฉีเซิ่งซิน’ ผู้ถือหุ้นที่ลงทุนในบริษัทส่วนใหญ่มาจากหอการค้าเมืองฉี แต่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดกลับไม่ใช่ผู้ถือหุ้นรายใดเลยในหอการค้า แต่เป็นอัศวิน A ที่ไม่เคยวางเงินเลยสักแดงเดียว
ประธานจ้าวกับประธานหลิวซื่อเหลียงได้สละหุ้นของบริษัทใหม่ร้อยละ 25 เป็นการตอบแทนที่อัศวิน A ช่วยเลือกทำเลที่ตั้งและช่างเทคนิคหนูกลุ่มนั้น จุดประสงค์สำคัญอีกประการหนึ่งที่ทุกคนรู้กันโดยปริยายนั่นคือการดึงอัศวิน A มาเป็นผู้สนับสนุน
ส่วนตัวจริงของฟางหนิงที่ลงทุนไป 20 ล้าน แต่กลับถือหุ้นไม่ถึงร้อยละห้า มันคือพลังของสองฝ่ายที่ทำให้แตกต่างกัน…
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งเจ้าสำนักหม่า หากท่านบอกล่วงหน้าก่อนว่าจะมา ผมคงจะไปรับเองถึงที่” ตาอ้วนหลิวมองเห็นชายชราผมมวย หนวดเคราผมเป็นสีขาวและสวมเสื้อคลุมยาวสีดำทั้งตัวกำลังเดินผ่านอุโมงค์เข้ามาก็รีบกระวีกระวาดไปต้อนรับ
ชายชราสุภาพมาก เขาเข้าไปโค้งคำนับเช่นกัน “นักพรตมาโดยไม่ได้รับเชิญ ขอท่านประธานได้โปรดอย่าถือสา”
ตาอ้วนหลิวรีบกล่าวอย่างถ่อมตัว “มิบังอาจๆ ท่านเจ้าสำนักพิธีรีตองเกินไปแล้ว”
ในเวลานี้เขาเห็นว่ามีอีกสี่คนกำลังติดตามชายชราเข้ามาในหุบเขาด้วยกัน
คนที่นำหน้าคือชายหนุ่มและหญิงสาวสองคนที่เขารู้จัก
ชายหนุ่มสวมแว่นกรอบทองอายุราว 30 ปีก็คือฉีเย่ ประธานบริษัทเภสัชกรรมสกุลฉี
ส่วนหญิงสาวที่มีบุคลิกสง่าผ่าเผยก็คือฉีเยียนผู้สืบทอดวิชาการแพทย์ของตระกูลฉีทั้งหมด ได้ยินมาว่าอีกฝ่ายได้รับการถ่ายทอดกำลังภายในจากอัศวิน A ดูเหมือนทั้งคู่จะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน
ด้านหลังยังมีเด็กชายที่รูปลักษณ์อ่อนวัยดูเหมือนจะอายุไม่ถึง 20 ปี ตาอ้วนหลิวคิดดูแล้วก็แน่ใจว่าเขาไม่เคยเห็นทั้งสองมาก่อน
“ประธานฉี หมอเทวดาฉีต้า โอกาสหาได้ยากๆ แม้ว่าจะส่งเทียบเชิญท่านไปแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าทั้งสองท่านจะสละเวลามาถึงที่นี่ เป็นเกียรติแก่ผู้น้อยหลิวจริงๆ” ตาอ้วนหลิวทักทายคนคุ้นหน้าทั้งสองก่อน แล้วค่อยทักทายเด็กแปลกหน้าสองคน “ไม่ทราบว่าประธานฉีจะช่วยแนะนำเด็กหนุ่มปราดเปรื่องทั้งสองคนนี้ได้ไหม”
ฉีเย่ยิ้มแย้ม “พูดได้ดีๆ ทุกคนอยู่ในแวดวงธุรกิจของเมืองฉีด้วยกันทั้งนั้น ฉันจะไม่ให้เกียรติประธานหลิวได้ยังไงกัน เด็กหนุ่มสองคนนี้ คนหนึ่งเป็นลูก… ไม่ใช่สิ ศิษย์คนแรกของเจ้าสำนักหม่าชื่อหม่าผิง น้องชายคนนี้มีพรสวรรค์สูงด้านค่ายกล ส่วนคนนี้ก็คือเสิ่นซิงเฉิน เจ้าสำนักหม่าเพิ่งรับมาเป็นศิษย์คนที่สอง คุณสมบัติการฝึกฝนนั้นสูงมาก สองวันมานี้เจ้าสำนักหม่าชมเขาไม่ขาดปากทีเดียว”
หม่าผิงมองไปรอบๆ แววตาเป็นประกายระยิบระยับ กลับกันเสิ่นซิงเฉินดูสงบนิ่ง มองไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
ตาอ้วนหลิวเอ่ยยกยอสั้นๆ แล้วนำทุกคนเข้าไปในงาน
ไม่นานก็มีเสียงดังขึ้น “ดูสิ อัศวินแห่งเมืองฉีมาแล้ว”
ตาอ้วนหลิวพอเงยหน้าขึ้นเห็นเขามาก็ละความสนใจจากเจ้าสำนักหม่าและพรรคพวก เขารีบไปทักทายบุคคลมาใหม่ที่ประตูโค้ง
อัศวิน A ที่ก้าวย่างสง่างามเหมือนล่องลอยเดินนำหน้าสุด
ยังมีประธานจ้าว พ่อบ้านเจิ้งและสุนัขเหลืองที่สายตาไม่วอกแวกเดินตามหลังเข้ามา
สุนัขดำได้รับคำสั่งให้ทบทวนบทเรียนอยู่ที่บ้านเพราะไม่ตั้งใจเรียน ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ ส่วนเหตุผลที่แท้จริงคือฟางหนิงสั่งให้มันเปิดการ ‘อัญเชิญมังกร’ ต่อเนื่องตลอดเวลา
สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่อัศวิน A รูปลักษณ์ที่ไม่ธรรมดาและสง่าผ่าเผยด้วยท่วงท่าของอัศวินใหญ่
หลายคนที่ได้เห็นอัศวิน A เป็นครั้งแรกต่างชื่นชมไม่หยุด มันช่างเป็นการเดินทางที่คุ้มค่าสำหรับพวกเขาที่จะได้เห็นบุคคลที่มีท่วงท่าเช่นนั้นกับตาของพวกเขาเอง
ทว่าบางคนที่รู้จักอัศวิน A มานานกลับมีปฏิกิริยาที่ต่างกันออกไป
เจ้าสำนักหม่ามองสำรวจครู่หนึ่งแล้วขมวดคิ้ว
เขารู้สึกได้ว่าลมปราณของอีกฝ่ายไม่ค่อยคงที่ ดูเหมือนพลังจะอ่อนแอกว่าครั้งก่อนที่พบหน้ากันไม่น้อยเลย พูดไปแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะตอนนี้ความเข้มข้นของพลังชีวิตเพิ่มขึ้นตลอด ทั้งการฝึกฝนของเขาเองก็พัฒนาขึ้นมาก อัศวิน A เป็นมังกรตัวจริงย่อมก้าวหน้าได้เร็วกว่า ไม่น่าจะอ่อนแอลงถึงจะถูกสิ
เมื่อหม่าผิงเห็นอัศวิน A เขาก็นึกถึงเรื่องหนึ่งจึงเอ่ยกระซิบเตือนบิดา “จริงสิ เรื่องปีศาจแมลงเมื่อคราวก่อน ท่านอัศวินได้ฆ่าปีศาจแมลง ถือว่าเป็นผู้มีบุญคุณของลูก หลายวันมานี้ท่านพ่อยุ่งอยู่กับงานเลยไม่ได้พูดถึงเรื่องการตอบแทนบุญคุณสักที”
เมื่อเจ้าสำนักหม่าได้ยินก็จ้องมองลูกชาย “ต่อหน้าคนนอก อย่าเรียกฉันว่าพ่อ เรื่องการตอบแทนบุญคุณฉันจำได้แม่น เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาก็เท่านั้น”
เสิ่นซิงเฉินที่อยู่ข้างหม่าผิงเมื่อเห็นว่าอัศวิน A ยังคงมีท่าทางสง่างามเหมือนวันก่อนและยิ่งได้เห็นสีหน้าชื่นชมจากผู้คนมากมาย ร่องรอยความริษยาเคียดแค้นพลันฉายในแววตา ทว่าเพียงชั่วครู่ก็หายไปโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
เขาหันไปกระซิบกับหม่าผิง “ศิษย์พี่ ท่านอัศวินผู้นี้มีฝีมือสูงมากไหม เทียบกับท่านอาจารย์ของพวกเราแล้วเป็นยังไงบ้าง”
หม่าผิงมองใบหน้าบิดาของตนที่แสร้งทำเป็นไม่แยแสก่อนฝืนใจเอ่ย “ท่านอัศวินผู้นี้ครั้งหนึ่งเคยปราบปีศาจแมลงบ้าคลั่งเพียงลำพัง ฝีมือของเขาย่อมสูงมาก แต่เมื่อเทียบกับอาจารย์ของเราแล้วนับว่ายังด้อยกว่าหน่อย เพียงแต่ท่านอาจารย์ของเราฝึกปฏิบัติลึกซึ้ง จิตใจไม่ปรารถนาชื่อเสียง ไม่เคยหวังผลประโยชน์เฉพาะหน้า ชื่อเสียงจึงอาจไม่โดดเด่นนัก แต่ทุกคนในแวดวงนี้ต่างทราบดี”
เสิ่นซิงเฉินพยักหน้า ดูจากท่าทางซื่อตรงของพ่อบ้านคนนี้แล้ว เขาเป็นคนจริงใจและไม่ได้โกหกเขาอย่างแน่นอน ตัวเขาคิดถูกแล้วที่ขอฝากตัวเป็นศิษย์อาจารย์คนนี้ เพราะในอนาคตไม่แน่เขาอาจจะชนะอีกฝ่ายได้
ฉีเย่มองอัศวิน A เขาดันแว่นตาขึ้นจดจ่อสังเกต นับเป็นครั้งแรกที่พวกเขาพบหน้ากันอย่างเป็นทางการ แต่ครั้งหนึ่งทั้งสองเคยได้แอบร่วมมือกันสังหารฉีเทา ซึ่งต่างฝ่ายก็ได้ผลประโยชน์ตามที่ตนต้องการ ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีผู้ใดสั่นคลอนตำแหน่งภายในตระกูลฉีของเขาได้อีก
นับเป็นอีกครั้งที่ฉีเยียนได้พบกับอัศวิน A เมื่อพบว่าอีกฝ่ายยังคงมีท่วงท่าอันสง่างามดังเดิม อารมณ์ค่อนข้างสับสน ‘กว่าครึ่งปีแล้วที่อีกฝ่ายทำตัวลึกลับ ส่วนเธอมัวแต่มุ่งฝึกฝนกำลังภายในจึงไม่เคยได้เจอเขาอีกเลย แต่ทุกครั้งที่ฝึกฝนก็อดคิดถึงอีกฝ่ายไม่ได้
สมแล้วที่อีกฝ่ายเป็นอัศวินที่รักษาคำพูด กำลังภายในชุดนั้นที่ได้รับถ่ายทอดอาจดูเหมือนตื้นเขิน ทว่ากำลังภายในที่ฝึกฝนได้ดีเยี่ยมไร้ที่ติ เมื่อผสานเข้ากับการแพทย์ฟื้นฟูลมปราณเข็มทองที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษแล้ว ไม่นึกเลยว่ามันจะเสริมกันและกัน ทั้งผลที่ได้ก็ดีกว่าเมื่อก่อนมาก
ในช่วงเวลาสั้นๆ เธอก็ได้รับฉายาใหม่ว่า ‘หมอเทวดาตระกูลฉี’ และได้สืบทอดเส้นสายทางด้านการแพทย์ที่ตระกูลฉีสั่งสมมาในอดีต
ไม่อย่างนั้นหลังจากพบเธอแล้ว ตาอ้วนหลิวคงไม่เกรงใจมากขนาดนี้ หากวัดกันทางฐานะ ถึงเธอเป็นทายาทเพียงลูกหลานของตระกูลฉีคนหนึ่งเท่านั้น เทียบไม่ได้กับประธานหอการค้าเมืองฉีผู้มีความมั่งคั่งหลายพันล้าน
ท่ามกลางสายตาของทุกคน ประธานจ้าวและตาอ้วนหลิวไปต้อนรับอัศวิน A แล้วพาไปยังเวทีหินสีเขียวแกมน้ำเงินที่ตั้งตรงกลางสถานที่จัดงาน
“ทุกท่าน ท่านผู้นี้คืออัศวินแห่งเมืองฉี ท่านมังกรแห่งจิตวิญญาณ ทุกท่านได้ทราบข่าวกันมามากแล้ว ผมเชื่อว่าคงได้ยินชื่อเสียงและวีรกรรมของท่านจอมยุทธ์กันนักต่อนักแล้ว ผู้น้อยหลิวจะไม่สาธยายให้มากความ หากมีท่านอัศวินผู้นี้อยู่ พวกเราแผ่นดินเมืองฉีจะยังมั่นคงดั่งหินผาท่ามกลางยุคใหม่ที่แสนวุ่นวายนี้ กระทั่งยามกลางคืนนอนหลับได้โดยไม่ต้องลงกลอน หากทุกท่านมาที่นี่เพื่อลงทุนและลงหลักปักฐาน ผู้น้อยหลิวขอผายมือต้อนรับด้วยความยินดียิ่ง บัดนี้รบกวนทุกท่านช่วยปรบมือให้ท่านเทพกล่าวอะไรสักหน่อยแก่พวกเราด้วยครับ”
ทันทีที่เขาพูดจบ ผู้ชมก็ปรบมืออย่างอบอุ่น สำหรับพวกเขาที่เคารพกฎหมายและต้องการสร้างรายได้อย่างมั่นคง การดำรงอยู่ของอัศวิน A นั้นนับว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพที่หาได้ยากในยุคสมัยใหม่นี้
บุคคลสำคัญในเมืองฉีหลายคนต่างให้เกียรติเต็มที่ จึงปรบมืออย่างกระตือรือร้นที่สุด ชื่อเสียง ‘ความนับถือ’ ที่อัศวิน A ได้รับในพื้นที่เมืองฉีนั้นไม่ใช่สิ่งจอมปลอม
ในเวลานี้ฟางหนิงที่ใช้อัตลักษณ์ของอัศวิน A กำลังเผชิญหน้ากับเศรษฐีผู้มีชื่อเสียงเกือบหนึ่งพันคนจากทั่วประเทศ แต่เขาก็ไม่รู้สึกประหม่าเลยแม้แต่น้อย
ในช่วงครึ่งปีกว่ามานี้ เขาร่วมศึกกับระบบหลายครั้ง ไม่รู้ว่าได้เห็นฉากนองเลือดมาเท่าไรต่อเท่าไร ต่อหน้าสายตาคนเหล่านี้ มีเพียงค่าพลังต่อสู้ของเจ้าสำนักหม่าเท่านั้นที่น่าดู ส่วนคนอื่นๆ ไม่มีค่าที่จะกล่าวถึง ในเวลานี้เขาจึงสามารถรับมือได้ดีและแน่นอนว่าทำได้อย่างง่ายดาย
เขาพูดอย่างฉะฉานบนเวที “ครั้งนี้ข้ามาตามคำเชิญของประธานจ้าวเสียงเหวินและประธานสมาคมหลิวซื่อเหลียง ข้าได้เข้าร่วมพิธีเก็บเกี่ยวสมุนไพรเป็นครั้งแรกของฐานเพาะปลูกสมุนไพรแห่งนี้ และได้พบกับวีรบุรุษแห่งเสินโจวมาพร้อมหน้ากันยังที่แห่งนี้ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบทุกท่าน
การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่มาถึงแล้ว ทุกท่านล้วนเป็นอัจฉริยะ ท่ามกลางยุคสมัยใหม่ล้วนมีเรื่องที่ควรค่าต้องทำ อีกทั้งยังหวังว่าทุกท่านจะใช้โอกาสนี้แสดงพลังที่มีเพื่อรับใช้ประเทศชาติ ประชาชนและครอบครัว
“พิธีเก็บสมุนไพรพลังชีวิตในครั้งนี้เป็นสัญลักษณ์การทะยานขึ้นของอุตสาหกรรมเอกชนในยุคใหม่ หวังว่าทุกท่านจะเข้าร่วมการจัดงานอันยิ่งใหญ่นี้เพื่อสร้างประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนสืบต่อไป”
ทันทีที่ฟางหนิงพูดจบ ทุกคนก็ปรบมือกึกก้อง อย่าเห็นว่าเขาเป็นเพียงคนหนุ่ม แต่งกิริยาท่าทางของเขากลับทำให้รู้สึกเกรงขาม แม้จะได้ยินว่าอีกฝ่ายทำตัวค่อนข้างเหมือนอัศวินยุคโบราณ แต่เมื่อได้ฟังสุนทรพจน์นี้แล้ว เขามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับสังคมสมัยใหม่ ต่อไปเวลาไปมาหาสู่กันก็ไม่ต้องกังวลมากเกินไป
ฉีเยียนมองอัศวิน A ที่รู้จักกันมาระยะหนึ่งแล้ว บนเวทีเวลานี้เขาดูดีมีเสน่ห์และมีความเป็นตัวของตนเอง ทุกคนต่างชื่นชมยกย่องเขามาก ชั่วขณะหนึ่งแววตาของเธอพร่าเลือน
ฉีเย่ที่อยู่ข้างๆ เธอ แม้ว่าสีหน้าจะสนใจลูกพี่ลูกน้องแต่กลับครุ่นคิดในใจ ‘ดูเหมือนว่าอัศวิน A คนนี้จะเป็นเหมือนกับที่หน่วยข่าวกรองบอก แท้จริงแล้วเขาไม่ใช่อัศวินยุคโบราณอะไรขนาดนั้น ที่ผ่านมาเพราะคอยระมัดระวังและขณะเดียวกันก็ไม่มีความจำเป็นมากนักจึงไม่ได้ใกล้ชิดกับอัศวิน A มากเกินไป
นับจากวันนี้ควรจะติดต่อกันมากขึ้น เจ้าสำนักหม่ามีความสามารถก็จริงแต่ยังพึ่งพาไม่ค่อยได้มากนัก เขาทุ่มเงินทองมากมายเพื่อปลูกสมุนไพรตั้งหลายเดือน ฐานการปลูกสมุนไพรของบริษัทตนเองกลับดำเนินงานได้ไม่ราบรื่นเท่าไหร่ พวกตาอ้วนหลิวเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมนี้ทีหลังกลับแซงหน้าไปแล้ว มองปราดเดียวก็ทราบถึงความแตกต่างของสองฝ่าย’
……………………………………………….