เมื่อผมโดนระบบครองร่าง - บทที่ 4 ระบบยังผดุงคุณธรรมต่อ
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตแสนสงบของฟางหนิงที่เขารู้สึกแบบนี้ มันเป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่อย่างมาก เขาเดาว่านี่น่าจะเป็นพลังภายในที่ใช้ยามทำสมาธิของระบบ
ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าระบบจะฆ่าอาชญากรที่ถูกประกาศจับหรือว่าค้นศพ วิทยายุทธ์ที่มันใช้นั้นน่าทึ่งมาก แต่กลับแสดงออกมาเร็วเกินไปจนเขาแทบไม่รู้สึกอะไรเลย และการฝึกปราณกำลังภายในตอนนี้ก็คือการโคจรลมปราณสินะ ในที่สุดเขาก็มีเวลาสัมผัสความมหัศจรรย์ของระบบอย่างละเอียดแล้ว
ฟางหนิงค่อยๆ ค้นพบว่ากระแสปราณในร่างกายของเขากำลังไหลเวียนไปทั่วร่างกาย มีเพียงศีรษะเท่านั้นที่ไม่ข้องเกี่ยว อาจเป็นเพราะระบบไม่ได้ควบคุมสมองของเขา ก็เลยไม่กล้าเข้ามายุ่ง?
จะว่าไป กระแสปราณเหล่านี้กำลังไหลเวียนไปทั่วร่างกายจากภายในสู่ภายนอก ร่างกายรู้สึกอุ่นสบายไปทุกส่วน แม้แต่หมอนวดชั้นสูงก็อย่าคิดว่าจะทำอย่างนี้ได้ ความรู้สึกของมันคล้ายกับการได้แช่ตัวอยู่ในบ่อน้ำพุร้อน แต่ก็สบายกว่านั้นมาก เพราะถึงยังไงมันก็แค่ซึมผ่านเข้าสู่ผิวหนังเท่านั้น ไม่ได้เข้าสู่กระดูกและอวัยวะภายใน
ทว่า ความรู้สึกแปลกใหม่ของฟางหนิงคงอยู่เพียงชั่วครู่เท่านั้น หลังเที่ยงคืนไป เขาที่นอนดึกไม่ได้ก็เริ่มง่วงงุน เขาต้องการนอนบนเตียงและหลับให้สบาย
เพราะปริมาณการออกกำลังกายของเขาในคืนนี้แทบจะเท่ากับครึ่งเดือนก่อนอยู่แล้ว แม้ว่าเขาจะไม่ได้ควบคุมร่างกายตัวเอง แต่ความรู้สึกเหนื่อยล้าจากร่างกายก็ยังส่งตรงมาสู่สมองอยู่ดี
แต่ระบบก็ไม่สนใจคำบ่นของเขาเลยสักนิด มันยังคงนั่งขัดสมาธิบนเตียงราวกับไม้สลัก และดูท่าทางแล้วคงจะนั่งสมาธิแบบนั้นจนถึงเช้า
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเจ้าระบบนี่ไม่มีวันเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว หลังจากมันครองร่างของเขาแล้ว ทุกเรื่องที่ระบบทำล้วนมีเป้าหมายและมีความหมาย มันไม่ยอมให้มีเวลาพักเลยแม้แต่น้อย นับประสาอะไรกับการเสียเวลาไปเล่นล่ะ
ถ้ากลายเป็นเขาที่ควบคุมระบบเอง คิดว่าคงจะใช้เวลาแบบนี้ได้แค่หนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น
อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ถ้าเป็นเวลานี้เขาคงผล็อยหลับไปนานแล้ว การเก็บตนฝึกตนนั้นเป็นสิ่งจำเป็นมาก แต่มันสำคัญกว่าการนอนตรงไหน?
ฟางหนิงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับเจ้าระบบนี่ดี แม้ว่าเขาจะไม่ชอบที่อีกฝ่ายเข้าครอบครองร่างของตนโดยไม่ปรึกษากันก่อน แต่พอเทียบกันแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองน่าอับอายมาก
แต่ถึงจะอายแค่ไหน สุดท้ายฟางหนิงก็ผล็อยหลับไปพร้อมกับความละอาย…
สำหรับฟางหนิงแล้ว การนั่งหลับไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเวลาโดนลงโทษให้ยืนสมัยเรียน เขาก็ยังหลับได้…
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เพิ่งจะตีห้าเท่านั้น ฟ้าเพิ่งจะสาง ‘ฟางหนิง’ ก็ลืมตาและลุกขึ้นจากเตียงแล้ว
เขาเห็นตัวเองเดินเข้ามาที่ห้องครัว มองหาวัตถุดิบและเครื่องปรุง จากนั้นก็เปิดเตาแก๊สและเริ่มทำอาหาร ใช้เวลาไม่นานอาหารเช้าน่าอร่อยที่เต็มไปด้วยสีสัน รสชาติ และคุณค่าทางโภชนาการก็ออกมาจากเตาร้อนๆ
ฟางหนิงที่กำลังหลับอยู่ถูกปลุกให้ตื่นด้วยกลิ่น เขาจึงค่อยๆ ฟื้นคืนสติ
“อร่อยมากจริงๆ รสชาติแบบนี้แม้แต่ซูเปอร์เชฟที่ได้รับเชิญให้มาทำอาหารในงานแต่งครั้งที่สองของบอสของฉันก็ยังทำไม่ได้เลย ฉันว่านะคุณระบบ ถ้าคุณมีความสามารถแบบนี้ ทำไมไม่ไปเป็นเชฟชื่อดังเสียล่ะ ในเมืองนี้ ขอแค่แสดงทักษะนี้ออกมา เงินเดือนเริ่มต้นไม่ต่ำกว่าห้าหมื่นหยวนแน่นอน แถมยังได้เป็นหุ้นส่วนร้านอาหารอีก ทั้งหมดนี้ทำได้ง่ายๆ เลย หรือจะเปิดแผงขายอาหารเองก็ได้เหมือนกัน ฉันรับรองได้ว่าไม่ถึงปีครึ่งก็เก็บเงินซื้อหน้าร้านได้แล้ว” ฟางหนิงยอมรับรสชาติอันสุดยอดที่แพร่มาสู่ลิ้นและจมูกของเขา เขาประหลาดใจมาก จึงรีบเสนอคำแนะนำทันที
แต่ระบบกลับไม่สนใจเขาเลยสักนิด เพียงแค่ค่อยๆ เพลิดเพลินกับอาหารเช้า
สุดท้ายแล้วเหมือนจะทำอาหารเยอะไปหน่อย ระบบจึงนำกับข้าวบางส่วนใส่ลงไปอุ่นในหม้อหุงข้าว จากนั้นเมื่อล้างจานเสร็จก็ลงไปชั้นล่างและเริ่มการออกกำลังกายช้าๆ
เห็นภาพนี้เข้า ฟางหนิงก็รู้สึกอายยิ่งกว่าเดิม แต่ก่อนเขาเคยทำอาหารเป็นประจำ แต่หลังจากที่เดลิเวอรี่เริ่มเป็นที่นิยมขึ้นมา เขาก็ไม่เคยทำอาหารเองอีกเลย เพราะคิดว่าการเก็บกวาดทำความสะอาดมันวุ่นวาย
เดี๋ยวสิ วัตถุดิบในครัวนี่น่าจะเป็นของผู้หญิงบ้านเดียวกันคนเมื่อวานหรือเปล่านะ?
การออกกำลังกายตอนเช้าสิ้นสุดลงภายในสองชั่วโมง พอรวมกับเวลากินอาหาร นี่ก็เพิ่งจะแปดโมงเช้าเท่านั้น หลังจากที่ระบบไปอาบน้ำ สิ่งที่ทำให้ฟางหนิงกลัวก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เจ้านี่ไม่ได้พิจารณาถึงการเป็นเชฟเลยสักนิด
“ระบบกำลังพิจารณา…”
“ระบบกำลังพิจารณา…”
“ระบบตัดสินใจจะไปผดุงคุณธรรม…”
‘ไม่ใช่สิ คุณระบบ ยังไม่ทันข้ามคืนก็จะเอาอีกแล้วเหรอ นี่คิดจะเล่นบทศาลเตี้ยหรือไง เห็นอยู่ชัดๆ ว่ามีความสามารถในการหาเงินสุจริตได้ตั้งเยอะแต่ดันไม่ใช้ กลับชอบใช้วิถีอันธพาล’ ฟางหนิงคิดอย่างขมขื่น ระดับการต่อสู้ของระบบน่าจะเทียบได้กับจอมยุทธ์กัวในตำนาน แต่ไอคิวของมันอาจไม่ดีเท่ากับจอมยุทธ์กัว
เขาอ่านนิยายมาหลากหลายประเภท และรู้ดีที่สุดว่าภายใต้การโจมตีบ่อยครั้งเช่นนี้ การที่ตัวตนจะถูกเปิดเผยออกมาก็เป็นแค่เรื่องของเวลา เรื่องแบบนี้หลอกลวงได้แค่คนธรรมดาเท่านั้น และมันก็ไม่ปลอดภัยนัก
“เดี๋ยวนะ ฉันยังต้องไปทำงาน ถ้าไม่ไปจะโดนหักเงินนะ!” ฟางหนิงตะโกนอย่างไร้ผล
แต่ระบบก็ไม่ได้สนใจคำบ่นและเสียงตะโกนของฟางหนิงเลย ดูเหมือนว่าหลังจากผ่านเรื่องเมื่อวานมา มันก็กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการผดุงคุณธรรมไปแล้ว (วิถีอันธพาล) และคิดว่าตัวเองไม่ต้องการคำแนะนำ (จู้จี้จุกจิก) จากโฮสต์อีกต่อไป…
สุดท้ายมันก็ไปที่ห้องน้ำสาธารณะ เปลี่ยนร่างเป็นพี่ชายสุดหล่อแบบก่อนหน้านี้ ก่อนจะมองไปรอบๆ แล้ววิ่งไปยังทิศทางหนึ่ง
…
มีพลังเหนือธรรมชาติแล้วจะทำอะไรดี? แน่นอนว่าต้องหาเงินไงล่ะ! หรืออยากจะเป็นกบฏในโลกที่เจริญแบบนี้?
แต่จะทำเงินได้อย่างไรในสภาพมีไฟลุกทั่วตัว ไปขายศิลปะข้างถนนเหรอ?
เหอหมิงหลี่ผู้มีความคิดเรียบง่ายนอนงงอยู่ทั้งคืน เขาเลี้ยงชีพด้วยการขนอิฐในไซต์ก่อสร้างและขโมยของเล็กๆ น้อยๆ อยู่ทุกวี่วัน เขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะสร้างรายได้จากพลังเหนือธรรมชาติอย่างการเผากายได้อย่างไร
มอบพลังให้คนอื่น สุดท้ายได้มา ห้าร้อยหยวนพร้อมใบรับรองสีแดงขนาดใหญ่อย่างนั้นเหรอ?
ประเด็นคือมันมอบให้ไม่ได้นี่สิ
แต่จะให้เขาขนย้ายอิฐอยู่ในไซต์ก่อสร้างอย่างแข็งขันต่อไปก็เป็นไปไม่ได้หรอก พวกยอดมนุษย์ในหนังเขาหาเงินกันยังไงนะ
เขาทั้งหงุดหงิดและเจ็บใจ สุดท้ายจึงตัดสินใจทำงานพาร์ทไทม์ต่อไป
เขามาที่ลานจอดรถใต้ดินที่อยู่ใกล้ๆ ที่แห่งนี้เงียบเชียบ นอกจากจะไม่สะดุดตาแล้ว การรักษาความปลอดภัยก็หละหลวมมาก เพราะตอนนี้ที่จอดรถในเมืองใหญ่นั้นแออัด ในเวลาเข้างานแบบนี้จึงยังมีรถหรูจำนวนมากจอดอยู่
รถหรูมักมีสิ่งดีๆ มากมาย โทรศัพท์มือถือ และแล็ปท็อประดับสูงนั้นถือว่าเป็นของธรรมดา เพราะของมีค่าที่แท้จริงก็คือนาฬิกาข้อมือแบรนด์เนมที่บางคนมักจะลืมทิ้งไว้ เมื่อเจอนาฬิกาแบรนด์หรูระดับท็อป ราคาก็แพงกว่ารถทั่วไปแล้ว
ครั้งที่แล้วเหอหมิงหลี่เห็นนาฬิกา ‘ลองจีนส์’ เรือนหนึ่งวางอยู่บนที่นั่งคนขับในรถเบนซ์ ทั้งเรือนหุ้มด้วยเพชร ดูก็รู้ว่ามันเป็นของสั่งทำ หลังจากเขาถ่ายรูปแล้วถามราคากับผู้เชี่ยวชาญขายของโจรดูแล้ว ผู้เชี่ยวชาญก็รับที่ราคาสามแสนแปดหมื่นหยวน
เขาอยากได้มันมาก แต่น่าเสียดายที่ไร้วิธีการ ระบบล็อกของรถหรูเปิดออกยาก เขาในสมัยก่อนจึงทำได้เพียงถอนหายใจ
แต่ตอนนี้ เขามองไปที่เปลวไฟสีแดงเข้มที่พุ่งออกมาจากมือของตน มันสามารถเผากระจกจนเป็นรูได้อย่างง่ายดาย เขาอดยิ้มไม่ได้
เป้าหมายแรกคือรถออดี้ A8 เขาเผาหน้าต่างกระจกได้อย่างราบรื่นจนเกิดรูขนาดเท่าแขนของเขาหนึ่งรู จากนั้นเขาก็ยื่นแขนทั้งข้างเข้าไปข้างในรถ
โทรศัพท์ไอโฟนหนึ่งเครื่องและกระเป๋าตังค์หนึ่งใบถูกหยิบไปอย่างง่ายดายเหมือนปอกกล้วย เขามองโทรศัพท์แล้วยิ้มเหยียดให้มันทีหนึ่งก่อนโยนมันทิ้งไป
จากนั้นก็หยิบธนบัตรไม่กี่ร้อยหยวนออกจากกระเป๋าเงิน ที่เหลือนั้นเป็นบัตร นั่นทำให้เขาหงุดหงิดมาก คิดว่าจะมีอะไรดีๆ อยู่ในกระเป๋าเงินเสียอีก เพราะแบบนั้นเขาจึงโยนมันทิ้งไปเช่นกัน
เขาไม่รู้เลยสักนิดว่ากระเป๋าเงินที่ถูกทิ้งใบนี้จะมีราคาถึงหกหมื่นแปดพันหยวนหากซื้อจากร้านค้าเฉพาะ
เป้าหมายที่สองคือปอร์เช่คาเยนน์ ซึ่งได้แหวนเพชรที่วางไว้บนเบาะผู้โดยสารวงหนึ่ง เป็นเพชรเม็ดใหญ่ทีเดียว เหอหมิงหลี่ไม่รู้ว่ามันกี่กะรัต แต่คาดว่าน่าจะราคาหลายหมื่น หัวใจจึงเต้นรัวด้วยความยินดี
ส่วนเป้าหมายที่สามเป็นรถคาดิแลค รถคันนี้ไม่ได้โดดเด่นมาก แต่กลับมีกระเป๋าหนังที่มีเงินสดอยู่ล้นทะลัก เงินสดมูลค่าไม่ต่ำกว่าสองหมื่นหยวน เป็นสิ่งที่เขาชอบที่สุด มันไม่มีความเสี่ยง สามารถใช้ได้ทันที และไม่จำเป็นต้องขายของโจรให้ถูกเอาเปรียบอีกด้วย
เขายื่นแขนเข้าไปและใช้ความพยายามอย่างมากจนก้นกระดกสูง ท่าทางนั้นน่าอายมาก แต่สุดท้ายเหอหมิงหลี่ก็สามารถหยิบกระเป๋าหนังมาไว้ในมือได้
ความจริงแล้วเขายังคิดจะเผาประตูรถให้วอดวายจนหมดไปด้วย แต่ก็จนใจกับพลังที่เพิ่งจะได้รับมา ยังไม่มีพลังแข็งแกร่งขนาดนั้น กระจกอาจเผาได้ง่าย แต่หากคิดจะเผาโลหะก็ยังยากเกินไป
เหอหมิงหลี่ลูบกระเป๋าเงินที่หนาตุงแล้วเปิดมันออกก็พบว่าในนั้นเต็มไปด้วยธนบัตรร้อยหยวน เขาดีใจสุดๆ คิดว่าช่วงนี้ชีวิตคงจะสบายขึ้นมาก
เขามองรถเหล่านั้นอีกครั้ง ในสายตาของเหอหมิงหลี่ พวกมันคือกระเป๋าเงินเคลื่อนที่ดีๆ นี่เอง แม้ว่าเขาจะยังไม่พอใจนัก แต่เขาก็รู้สึกว่าพลังในร่างกายเริ่มอ่อนกำลังลงแล้ว เพราะฉะนั้นคิดว่าเก็บไว้ก่อนดีกว่าแล้วค่อยมาใหม่คราวหลัง จึงเตรียมตัวจากไป
แต่เมื่อก้าวเท้าออกไปได้ไม่กี่ก้าวและขณะที่กำลังจะออกจากลานจอดรถ ทันใดนั้นก็มีเสียงเข้มๆ และเปี่ยมด้วยความชอบธรรมของชายคนหนึ่งดังขึ้นข้างหู นั่นทำให้เขาตกใจจนล้มลงกับพื้น
“กลางวันแสกๆ กลางจักรวาลกว้างใหญ่ไพศาล มือเท้ามีครบ แต่กลับทำเรื่องโจรกรรมเช่นนี้ ไม่รู้สึกละอายใจต่อพ่อแม่ตัวเองบ้างหรือไง!”
เมื่อหันกลับไปมอง ในใจก็เกิดความอิจฉาขึ้นมา พี่ชายสุดหล่อคนนี้โผล่มาจากไหนกัน? อ๋อ คงจะเป็นเจ้าของรถหรูสักคันล่ะมั้ง แบบนี้ยิ่งทำให้ไฟอิจฉาของเขาลุกโหมกว่าเดิม ทั้งมีตังค์และหน้าตาหล่อเหลา จะไม่ให้ทางรอดกับคนอย่างเขาหน่อยเหรอ?
เขากำลังจะหันหลังหนีตามความเคยชิน แต่แล้วก็หยุดและส่ายหัว บัดซบ ฉันในตอนนี้เป็นผู้ใช้พลังเหนือมนุษย์ คิดว่าฉันจะเผาแกให้ตายไม่ได้หรือไง!
เขาพยายามให้กำลังใจตัวเองสุดๆ จากนั้นเปลวไฟก็ลุกท่วมร่าง มันปกคลุมตัวเขาจนเหมือนกับมนุษย์เพลิง จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปหาฟางหนิงอย่างดุดัน พร้อมตะโกนคำรามออกมา “ไสหัวไป!! กล้ามาแส่เรื่องของฉัน คอยดูแล้วกันว่าฉันจะเผาแกให้เป็นเศษขี้เถ้ายังไง!”
ในความคิดของเขา สิ่งนี้ต้องทำให้อีกฝ่ายตกตะลึงอย่างแน่นอน
ถูกต้อง ฟางหนิงเองก็ตกตะลึงจริงๆ
อาชญากรก่อนหน้านี้เป็นคนธรรมดา แต่ครั้งที่สองกลับได้พบกับคนที่สามารถเล่นกับไฟได้ อยู่ไกลๆ ยังรู้สึกถึงความร้อนของเปลวไฟที่แผดเผาได้เลย รับมือไม่ง่ายแน่ๆ ความเสี่ยงจากการผดุงคุณธรรมก็มีไม่น้อยเลย
ฟางหนิงคิดอยู่ในใจ ดูเหมือนว่าหลังจากดาวตกเพลิงเมื่อวาน เขาคงจะไม่ใช่คนเดียวที่ได้รับนิ้วทองคำสินะ ตอนนี้เรามาดูกันว่าระหว่างทั้งสองคนนี้ ขาใหญ่ของใครจะหนากว่ากัน
แต่ก่อนที่ฟางหนิงจะได้เริ่มกระบวนการเปรียบเทียบ ระบบที่ควบคุมร่างกายของเขาอยู่ก็มีฝีเท้าเปลี่ยนไปทันที มันลอยไปอยู่ด้านหลังมนุษย์เพลิงด้วยพลังอันรวดเร็วราวสายฟ้าฟาดดังลั่นจนต้องอุดหู จากนั้นก็ตบเข้าที่ท้ายทอยไปหนึ่งฝ่ามือ
‘เพียะ!’ มนุษย์เพลิงท่าทางดุดันล้มลงกับพื้นทันที ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
เอาล่ะ ไม่ต้องเปรียบเทียบหรอก เพราะตอนนี้ได้ผู้ชนะแล้ว! ฟางหนิงเฝ้าดูระบบใส่ถุงมือพลาสติกอย่างชำนาญและเริ่มตรวจสอบศพ เขากลอกตาอยู่ในใจ
ตอนนี้เอง การแจ้งเตือนของระบบที่ห่างหายไปนานก็เริ่มปรากฏขึ้นทีละรายการ
……………………………………………