เมื่อผมโดนระบบครองร่าง - บทที่ 97 เทพแห่งระบบเสแสร้งอีกแล้ว
บทที่ 97 เทพแห่งระบบเสแสร้งอีกแล้ว
ระบบแจ้งเตือน: ระบบใช้คะแนนประสบการณ์ 700 คะแนนเพื่อเรียนรู้การก่อตัว ‘ค่ายกลกระบี่สี่สภาพ’
เอฟเฟกต์: ล้อมรอบช่องว่างเพื่อป้องกันไม่ให้วัตถุแปลกปลอมเข้าและออก
ข้อกำหนดการเปิดใช้งานค่าย: คนที่มีทักษะคล้ายกันสี่คน, แผน ‘ค่ายกลกระบี่สี่สภาพ’
ฟางหนิงยื่นปากเมื่อเห็นข้อความแจ้งเตือน หากต้องการใช้สิ่งนี้ ยังต้องมีค่ายกล หากไม่มีค่ายกลก็จะไม่สามารถจัดเรียงได้ เพียงแต่หลวงจีนเฒ่าภิกษุอาวุโสยังเอื้อเฟื้อแสดงค่ายกลให้กับคนอื่นๆ ได้ดู ด้วยเชื่อมั่นว่าในอุปนิสัยของคนทั้งสามคงไม่มีใครขโมยของเขาไป
“สหายเต๋าทั้งสาม สถานที่ที่ฝูงแมลงกำลังลอยตัวลงสู่พื้นเป็นพื้นที่ที่ค่ายของเราจะทำการกักกันมันไว้ ตอนนี้ข้ากำลังจะเตรียมการก่อร่าง สามสหายเต๋าโปรดเลือกตำแหน่งทิศที่ท่านจะพิทักษ์ด้วยเถอะ”
พระโพธิสัตว์ปีศาจ “ใต้”
อัศวิน A “ตะวันออก”
นักพรตเฒ่าท่าทางลังเลเล็กน้อย “เหนือ”
“งั้นข้าประจำทิศตะวันตก”
ไม่นานหลวงจีนเฒ่าก็เห็นว่าฝูงแมลงขนาดใหญ่กำลังบินต่ำใกล้เข้ามาแล้ว โดยอยู่ห่างจากพื้นดินไม่ถึงห้าเมตร จากนั้นเขาจึงแสดงค่ายกลแนวป้องกันลมทันที
หลวงจีนเฒ่าร่ายคาถา “ค่ายกลกระบี่สี่สภาพ ตรึงพื้นปิดช่องว่าง เริ่ม!”
ค่ายกลลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือฝูงแมลงในทันใด พุ่งขึ้นสูงและขยายออกอย่างรวดเร็ว จนฝูงแมลงทั้งหมดถูกปกคลุมไว้ พวกมันหยุดการเคลื่อนไหว จากนั้นรังสีหลายแสนดวงก็สะท้อนลงมาบนค่ายกล ปิดกั้นพื้นที่ด้านล่างทั้งหมดไม่ให้ต่อยักษ์ออกไปได้แม้แต่ตัวเดียว
“สหายเต๋าทั้งสาม โปรดเข้าไปในค่ายเถอะ ค่ายถูกเปิดผนึกแล้วและต้องใช้กำลังคนสี่คนเพื่อรักษาค่ายในระยะยาว”
ทันทีที่เขาพูดจบ ร่างกายของเขาก็ขยับไปทางทิศตะวันตกของค่าย จากนั้นก็นั่งลงพลางวางมือทั้งสองทับลงเข้าหากันพร้อมกับแสดงท่าทางเคร่งขรึม
พระโพธิสัตว์ปีศาจหันหลังกลับ เดินไปยังทางใต้ของค่ายแล้วทรุดตัวลงเช่นกัน ใบหน้ายิ้มอ่อนพลางถือดอกไม้ไว้ในมือ
อัศวิน A ยังคงไม่ทุกข์ร้อน นั่งลอยตัวยู่ทางทิศตะวันออกด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
ด้านหม่าเถ้าฉ่างลูบเคราด้วยท่าทางสงบ แต่ในใจกลับคิดว่า “เวรเอ๊ย ถ้าวิธีการที่ท่านบอกมาไม่ได้ผลล่ะก็ รอดูได้เลยว่าข้าจะจัดการกับท่านอย่างไรเมื่อกลับไป…”
เขาสะบัดแส้ไม้หนึ่งทีแล้วนั่งลงประจำทิศเหนือ
…………
ในเวลานี้กลุ่มเครื่องบินที่เฝ้าติดตามฝูงบินและได้ถ่ายทอดสดสถานการณ์ด้านล่างไปยังฐานบัญชาการลับแล้ว
เซวียเฟิงดาบไร้ปรานีเอ่ย “ผู้เฒ่าไห่ เราจำเป็นต้องส่งคนของเราไปร่วมด้วยไหม?”
ผู้เฒ่าไห่ตอบกลับ “ให้อันผิงและคนอื่นๆ ชะลอพลทหารก่อน เตรียมความพร้อมไว้ ตอนนี้ใช้โอกาสนี้ดูภูมิหลังของปรมาจารย์แห่งเสินโจวทั้งสี่คน คนภายนอกสามคนและนักเวทประจำถิ่นว่าความสามารถอยู่ในระดับไหนกันแน่? แจ้งหน่วยตรวจสอบทุกหน่วยว่าต้องวิเคราะห์ บันทึกภาพ เสียง และพลังลมปราณทั้งหมดให้ดี”
เซวียเฟิง “ทราบแล้วครับ”
ผู้เฒ่าไห่กล่าวกับคนรอบตัวเขาว่า “ดูให้ดี นี่ถือว่าหาได้ยากนักในรอบยี่สิบปีนับตั้งแต่ก่อตั้งสำนักสัจธรรม นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นฉากที่สี่ผู้แข็งแกร่งแสดงฝีมือพร้อมกัน อย่าพลาดโอกาสนี้ไปเชียว”
ทุกคนต่างตะโกนขานรับพลางจ้องหน้าจอใหญ่ชมฉากตรงหน้าอย่างตั้งใจ
…………
ในค่ายกลกระบี่สี่สภาพ หลวงจีนเฒ่าที่เห็นว่าเห็นว่าทั้งสี่คนนั่งอยู่ในตำแหน่งเหมาะสมแล้วจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ตามวิธีการใช้งานที่เพิ่งเห็นไป ให้ใส่พลังของตนเองลงในค่ายกลด้วย เมื่อค่ายก่อตัวหมุนมันจะผสานกันและกันเพื่อรักษาพื้นที่กักกันนี้ไว้”
หลังจากที่เขาพูดจบก็ลูบสายประคำ จากนั้นแสงสีทองก็โผล่ออกมาจากร่างกายของเขาแล้วสะท้อนลงในค่ายกลที่อยู่ด้านล่าง รังสีของแสงนับแสนที่สะท้อนลงมาบนค่ายกลพลันถูกย้อมเป็นสีทองในทันที
พระโพธิสัตว์ปีศาจยังคงนิ่งงัน ไอสีขาวลอยออกมาจากนิ้วที่คีบดอกไม้ สะท้อนเข้าไปในค่ายกลเช่นเดียวกัน แสงระยิบระยับผสมปนเปกับสีขาวคละคลุ้ง
ในขณะที่คนทั้งสองสงบนิ่งมาก
เมื่อถึงตาของอัศวิน A ทุกคนได้ยินเพียงเสียงคำรามของมังกร ก่อนที่พวกเขาจะตกใจปราณแท้รูปมังกรที่พุ่งออกมาจากทางด้านหลังเขา ก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วโฉบปะทะลงมาบนค่ายกล
ปราณแท้พรั่งพรูจนทำให้รูปร่างของมังกรเกือบจะเหมือนกับร่างจริงของมัน น่าตกตะลึงมาก
ทั้งทรงพลังและสง่างาม
พวกเขายังรีบมือกับสถานการ์ณตอนนี้ได้ดี ด้วยเพราะพวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นกลุ่มคนที่แข็งแกร่งที่สุด
ผู้คนจำนวนมากในกองบัญชาการลับสั่นสะเทือน
เมื่อมองผ่านหน้าจอแทบจะเหมือนกับการดูภาพยนตร์ระดับมหากาพย์ เสียงคำรามของมังกรท่วมท้นและทะลุทะลวง ไม่เพียงแต่ภาพเท่านั้นแต่ยังบันทึกเสียงแบบเรียลไทม์ได้อีกด้วย ทำให้มหากาพย์นี้ยิ่งสั่นสะเทือนเข้าไปใหญ่
แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องตกใจกลับเป็นเรื่องหลังจากนี้…
ทว่า ฟางหนิงในพื้นที่ของระบบกลับเอามือก่ายหน้าผาก เขาเห็นเทพแห่งระบบมานาน รู้ดีว่าสิ่งที่เทพแห่งระบบกำลังทำคือการแสร้งทำ…
ตามที่คาดการณ์ไว้
ไม่นานหลังจากนั้น ปราณรูปมังกรที่โกรธเกรี้ยวก็เอ่ยขึ้น
“ปีศาจแมลง! ภายใต้กลางวันแสกๆ กลับกินมนุษย์เป็นอาหาร พวกเจ้าช่างบาปหนานัก! ข้าผู้รับอาณัติของสวรรค์และผู้คน เมื่อบทลงโทษจากสวรรค์ถูกบังคับใช้ ข้าจะฆ่าเจ้าและคนอื่นๆ ที่นี่ด้วยกำลังทั้งหมดของข้า เพื่อประกาศศักดาของหลักแห่งสวรรค์และความชอบธรรม!”
หลังจากพูดจบ ท่ามกลางสายตาที่ตะลึงงันของทุกคน ปราณรูปมังกรโกรธเกรี้ยวก็คำรามเหนือท้องฟ้าอีกครั้งก่อนจะพุ่งเข้าใส่ฝูงแมลง
ภายใต้ค่ายกลปราณสีทองแสงสะท้อนลงมาผสานเข้ากับปราณแท้รูปมังกรที่ลอยอยู่เหนือมัน
ใบหน้าพระโพธิสัตว์ปีศาจเรียบนิ่ง แต่หลวงจีนเฒ่ากลับตื่นตกใจ พลังของคู่ต่อสู้หลั่งไหลเข้ามา ทว่าค่ายกลก็เสริมกำลังแข็งแกร่งขึ้นตาม จนพลังของมันเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า
แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับร่างมังกรจริงของอีกฝ่าย พลังระดับนี้ย่อมสมควรแล้ว ไม่มีอะไรให้ต้องประหลาดใจเลยสักนิด กุญแจสำคัญคือคำสำคัญที่อีกฝ่ายเพิ่งพ่นออกมาต่างหาก ทำไมเจ้ามังกรจริงตัวนี้ถึงพูดอย่างเป็นธรรมชาติต่อหน้าผู้คนจำนวนมากได้นะ?
หลวงจีนเฒ่าไม่ใช่คนหัวโบราณ เขาเข้าใจวิธีการทางเทคนิคของมนุษย์ในโลกนี้แล้ว เมื่อฝูงแมลงปรากฏตัวขึ้น เครื่องบินที่ตามมาคงจะกำลังถ่ายทอดสถานการณ์ปัจจุบันนี้อยู่
ตอนนี้มีคนดูแค่สี่คนเท่านั้น แต่ไม่รู้ว่าหลังจอจะมีทั้งหมดกี่คนกัน
เมื่อเทียบกับเขาแล้ว แม้จะมีชีวิตอยู่มาหลายปีแต่ก็ไม่มีทางพูดอะไรแบบนี้ได้แน่นอน น้อยคนนักที่จะพูดคำแบบนี้ได้…
ราวกับหม่าเถ้าฉ่างถูกเขย่าออกจากโลกใหม่…เขานึกถึงประสบการณ์ในการปราบปีศาจและกำจัดปีศาจของตัวเองในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เมื่อเทียบกันแล้ว ช่างด้อยกว่าเกินไปจริงๆ!
ไม่น่าแปลกใจที่จนถึงตอนนี้จื่อซานกวนก็ยังไม่เป็นที่รู้จัก
เขาก้มศีรษะให้กับชายร่างใหญ่ ไม่มีคำพูดใดๆ นอกจากปราณสีเหลืองที่ลอยผ่านเข้าไปในค่ายกล
ไม่รู้ว่าทำไมหลังจากที่เขาส่งพลังของเขาไปจนหมด ปราณสีทองและสีขาวเหล่านั้นกลับเต็มไปด้วยรูปมังกรและไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก มีเพียงแสงสีเหลืองเล็กน้อยเท่านั้นที่ปรากฏขึ้น
เมื่อผู้คนจากสำนักสัจธรรมที่อยู่ด้านหลังเห็นสถานการณ์นั้นเข้า พวกเขาก็ตกใจพลางส่งเสียงฮือฮา เพราะพวกเขาแทบทุกคนเคยดูคลิปเกี่ยวกับอัศวิน A มาก่อนแล้ว นี่จึงเป็นเรื่องธรรมดามากที่อีกฝ่ายจะทำเช่นนั้นได้ และยังคงเป็นการกระทำที่คุ้นเคย เป็นบทพูดที่คุ้นเคย…
มีเพียงผู้เฒ่าไห่เท่านั้นที่ไม่สนใจเรื่องนี้ เขาเพียงส่ายหัว “ดูเหมือนว่าหม่าเถ้าฉ่างผู้หลอมรวมชาวบ้านในท้องถิ่นจะไม่ได้จบจากหลักสูตรของสำนักสัจธรรมสินะ เมื่อถึงโอกาสเหมาะสมข้อบกพร่องนี้จะถูกเปิดเผยอย่างไม่ต้องสงสัย ดูจากภาพที่เกิดเหตุแล้ว หม่าถ้าฉ่างผู้โด่งดังคงกลัวจะถูกเปรียบเทียบกับคนอื่นแน่นอน ปอดแหกเกินไปแล้ว จำไว้ว่าย้อนกลับไปลดระดับการประเมินพลังในประวัติของเขา 1 ระดับ ทั้งการจัดอันดับหน่วยความร่วมมือในปีนี้ของจื่อซานกวนก็จะต้องปรับลดลงเช่นกัน อย่าคิดว่างานที่เสี่ยงอันตรายพวกนี้จะทำให้เขารอดตัวไปได้”
คนข้างๆ รีบจดบันทึกทันที
หม่าเถ้าฉ่างผู้ซึ่งถูกดูหมิ่นอย่างรุนแรงก็กำลังบ่นอยู่ในใจเช่นกัน ‘เจ้าเด็กนั่นนับวันมัวแต่ห่วงเล่น ไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องสูญเสียความสามารถอันยอดเยี่ยมในการใช้ค่ายกลแน่นอน ผลการวิเคราะห์ในครั้งนี้ บอกกับฉันว่าค่ายกลกระบี่สี่สภาพมีวิธีการทำงานอย่างไรและทำให้ได้รู้ว่าเมื่อใช้งานแล้วจะให้ความรู้สึกกระตุกอยู่ตลอด
พลังที่สะท้อนลงในค่ายกลกระบี่สี่สภาพ ขัดแย้งกับพลังที่เหลืออีกสามพลังอยู่บ่อยครั้ง ท้ายที่สุดคนส่วนใหญ่ที่อยู่ข้างนอกไม่สามารถรับรู้อะไรได้ เพียงแค่คิดว่าตนเองมีกำลังต่ำและนั่นก็น่าอับอายนัก’
…………
เวลาเดียวกันภายในถ้ำลึกที่ปีศาจแมลงและพญาแมลงซ่อนตัวอยู่กลับมีเพียงความเงียบงัน และเสียงหยดน้ำที่หยดลงมาจากกำแพงหินเป็นครั้งคราว
พญาแมลง “ตอนนี้พวกเขามีปรมาจารย์ที่เก่งกาจที่สุดถึงสี่คน ทั้งยังเป็นผู้แข็งแกร่งสูงสุดในสำนักสัจธรรมถึงสามคน ไม่ว่าฉันและคุณจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่อาจต่อกรกับสามคนนั้นได้ เราไม่สามารถรับมือกับคนพวกนี้ได้ในคราวเดียว เราทิ้งเด็กพวกนี้แล้วถอยกันก่อนดีไหม?”
เห็นได้ชัดว่าพญาแมลงจะล่าถอยอีกครั้ง ฝูงแมลงบินไปทางทิศตะวันตก แม้ว่าพวกมันจะดึงดูดมังกรตัวจริง แต่ก็ดึงดูดปรมาจารย์ด้วยเช่นกัน
ปีศาจแมลงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าสีเข้มเต็มไปด้วยความหงุดหงิด ความโลภและความลังเลปรากฏขึ้นสลับกันในดวงตาของเขา
“เฮ้อ เป็นความผิดของข้า หากรู้อย่างนี้คงปล่อยให้เจ้าควบคุมฝูงแมลงแล้วบินตรงออกจากเสินโจว คนของสำนักสัจธรรมต้องไม่มีทางไล่ตามมันออกไปแน่นอน แต่แบบนั้นมังกรตัวจริงอาจไม่สนใจชีวิตและความตายของบุคคลภายนอก อาจจะไม่ไล่ตามไป คิดหาหนทางฆ่ามันช่างลำบากจริงๆ! แค้นนัก หากมีแค่สี่คนนี้ ข้ายังพอมีทาง ค่ายกลกระบี่สี่สภาพที่พวกเขาก่อขึ้นไว้นั้นดูมีพลังและสามารถผนึกพื้นที่ได้ก็จริง ทว่ากลับมีช่องโหว่ใหญ่โตมาก”
ตอนนั้นเองก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในหูของเขา
“ถ้าข้าสามารถช่วยเจ้าล่อคนของสำนักสัจธรรมได้ เจ้ามั่นใจไหมว่าจะสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อฆ่ามังกรตัวจริงได้?”
“ใครกัน?” ปีศาจแมลงตกใจผุกลุกขึ้นยืนทันที
พญาแมลงดิ้นไปมาพยายามหลบซ่อน แต่มันตัวใหญ่เกินไป หากไร้ความช่วยเหลือจากสหายแล้ว การดิ้นพล่านพวกนี้ก็เปล่าประโยชน์
“ฮิฮิ เดาไม่ออกเชียวเหรอว่าข้าเป็นใคร? ปีศาจแมลงเพื่อนเก่า วิธีซ่อนตัวของเจ้านั้นช่างฉลาดเหลือเกิน ซ่อนมันได้แนบเนียนจริงๆ ถ้ามันไม่ได้ซ่อนอยู่บนฐานที่ซ่อนเดิมอันสำคัญนี้ของข้า ข้าที่เคยอยู่ใต้ดินก็คงจะไม่พบ นับประสาอะไรกับอัศวิน A ที่อยู่เหนือพื้นดินล่ะ”
“ที่แท้ก็เป็นท่านนั่นเอง ผู้อาวุโสตระกูลไป๋” ปีศาจแมลงสงบลงครู่หนึ่งพลางครุ่นคิดแผนการในหัว เขาเอ่ย “หึหึ ถ้าสหายเก่าเต็มใจที่จะทำแบบนั้น ก็คงจะดีไม่น้อย เรามาทำสิ่งที่ต่างคนต่างก็ต้องการกันเถอะ”
…………………………………………………………