เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1 ภาคสยบใต้หล้า] - ตอนที่ 137
“หืม” เกี่ยวข้องอะไรกับจิ่วหุน
เยี่ยเม่ยประเมินแม่นางที่อยู่เบื้องหน้า รู้สึกสงสัยอยู่บ้างว่าตนเองฟังผิดไป
ระยะนี้เจ้าหนูจิ่วหุน ก็ติดตามอยู่ข้างหลังนางตลอด โดยทั่วไปแล้วแทบไม่ได้ไปข้างนอกเลย
อีกทั้งนิสัยของเจ้าเด็กนั่น เยี่ยเม่ยเข้าใจเป็นอย่างมาก นิสัยที่ไม่มีทางเข้าไปพูดคุยกับใครก่อน ดังนั้น ไฉนจู่ๆ ถึงมีสตรีนางหนึ่งโผล่มาออกหน้าให้จิ่วหุนเล่า
นี่คือปัญหา
แต่เมื่อคิดถึงใบหน้างามไร้ที่ติ หญิงก็รักชายก็ชอบของจิ่วหุน ทั้งยังมีวรยุทธ์สูงส่ง รวมไปถึงท่าทางองอาจสง่างาม หากบอกว่ามีคนสองคนโผล่ออกมารักชอบเขา ก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้
เห็นสายตาของเยี่ยเม่ยทวีความล้ำลึก
หลินซูเหย่าในยามนี้ก็รู้ว่าเรื่องที่ตนเองชอบคุณชายเสี่ยวจิ่วเปิดเผยต่อคนเบื้องหน้าแล้ว
นางหน้าแดงเรื่อ
แต่หน้าแดงไม่ทันไร หลินซูเหย่าเอ่ยปากว่า “คุณชายเสี่ยวจิ่วดีต่อเจ้าถึงขนาดนั้น แต่หลังจากที่เขาประมือกับองค์ชายสี่แล้ว เจ้าก็ไปหาเพียงแค่องค์ชายสี่ ไม่ไปหาคุณชายเสี่ยวจิ่ว จึงทำให้เขาหนีออกไป ตอนนี้เจ้าไม่สำนึกบ้างหรือ”
เยี่ยเม่ยจ้องหน้าแม่นางที่พูดพร่ำเหตุผลอยู่ตรงหน้าไม่หยุดหย่อน ใบหน้าไร้อารมณ์ใดๆ เพียงสนับสนุนให้หลินซูเหย่า “ยังมีอะไรอีก เจ้าพูดต่อไป”
หลินซูเหย่าเอ่ยต่อไปจริง ๆ “ที่น่าโมโหที่สุดคือ คุณชายเสี่ยวจิ่วจากไปแล้ว เจ้าถึงกลับนั่งอยู่ในห้องตัวเอง ไม่ไถ่ถาม เจ้าไม่รู้สึกผิดต่อความภักดีของเขาบ้างหรือ”
หลินซูเหย่าถามด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด
เยี่ยเม่ยไม่พอใจขึ้นมาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะพูดอย่างไร จิ่วหุนติดตามนางมา ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับจิ่วหุน ก็ยังไม่ถึงขั้นให้คนนอกสอดเท้าเข้ามายุ่ง
เยี่ยเม่ยจ้องหลินซูเหย่า จนกระทั่งทำให้หลินซู่เหย่าหวาดหวั่น ค่อยเอ่ยถามเสียงเย็นชาว่า “ข้าอยากรู้ว่าเจ้ามีฐานะอะไรถึงได้มายุ่งเรื่องของข้ากับเสี่ยวจิ่ว”
“ข้า เจ้า…” หลินซูเหย่าพูดไม่ออก
เยี่ยเม่ยมองใบหน้าตรงหน้า ราวกับนางมองไม่เห็นความประหม่าของอีกฝ่าย เอ่ยต่ออย่างรวดเร็วว่า “ขอถามหน่อย เจ้ากับเสี่ยวจิ่วมีความสัมพันธ์อะไรกัน เขาอนุญาตให้เจ้ามาถามข้าอย่างนั้นหรือ”
หลินซูเหย่ายิ่งชะงักนิ่งพูดไม่ออก
ความจริงแล้วเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองเลยสักน้อย
นางชอบคุณชายเสี่ยวจิ่วอยู่ฝ่ายเดียว ส่วนคุณชายเสี่ยวจิ่วก็มิได้อนุญาตการตามจีบของนาง แม้กระทั่งเป็นสหายทั่วไปก็ยังไม่อนุญาตด้วย
แล้วตัวนางยังมีคุณสมบัติอะไรมาเรียกร้องแทนคุณชายเสี่ยวจิ่วกัยเยี่ยเม่ยด้วย
ในขณะที่หลินซูเหย่าตกอยู่ในความประหม่า น้ำเสียงของเยี่ยเม่ยเย็นเยียบอย่างไม่พอใจ “หากเจ้าเบื่อ ก็กลับไปปักผ้าให้ดี อย่างไรเสียก็เป็นความถนัดเดียวของเจ้า และยังมีความอดทนมากกว่าข้าด้วย อย่ามัวแต่ยืนอยู่ข้างๆ ทำตัวเป็นยายแก่ลิ้นยาวพร่ำวาจาไร้สาระ ไม่ใช่ว่าใครจะอารมณ์ดีเหมือนข้าทุกคน”
ฉับพลัน คำพูดของเยี่ยเม่ยปลุกเพลิงโทสะของหลินซูเหย่าขึ้นมา
แต่ที่น่าโมโหที่สุดคือ โมโหแต่ก็ระบายออกไปไม่ได้
เยี่ยเม่ยพูดไม่น่าฟังถึงขั้นนี้ ยังจะบอกว่าตัวเองเป็นคนอารมณ์ดีอีก
หลินซูเหย่าเอ่ยเสียงสูง “ต่อให้เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า ก็ถือว่าข้ายุ่งไม่เข้าเรื่องก็แล้วกัน”
คำพูดนางเอ่ยถึงดอนนี้ เยี่ยเม่ยก็ตัดบทว่า “ไม่ใช่นับว่า แต่เป็นความจริง”
ยามนี้หลินซูเหย่าหน้าซีดเซียว
ความหมายของเยี่ยเม่ยชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับหลินซูเหย่า ทั้งไม่ใช่ว่านางยุ่งเรื่องชาวบ้าน
แต่คือ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวนางและตัวนางก็ยุ่งเรื่องชาวบ้านจริงๆ
หลินซูเหย่ากัดฟันแน่นพยายามบังคับตัวเองไม่ให้ใส่ใจคำพูดของเยี่ยเม่ย เอ่ยปากต่อไป “ไม่ว่าเจ้าจะพูดอย่างไร สรุปแล้ว เจ้าไม่รู้สึกว่าเจ้าทำเกินไปหรืออย่างไร การจากไปของคุณชายเสี่ยว เจ้าไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด ไม่รู้สึกอยากไปตามเขากลับมาบ้างเลยหรือ”
“ข้าส่งคนไปแล้ว เจ้าไม่รู้หรือ” เยี่ยเม่ยปรายตามองนาง ถามขึ้น
“เอ๋” หลินซูเหย่าอึ้งไปชั่วขณะ นางรู้แค่ว่าหลังจากเสี่ยวจิ่วจากไป เยี่ยเม่ยก็กลับห้องตัวเอง แต่ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายส่งคนออกไปหา
ในระหว่างที่หลินซูเหย่าอยู่ในความตะลึง เสียงเย็นชาของเยี่ยเม่ยก็ดังขึ้นอีกครั้ง “เสี่ยวจิ่วไปที่ไหน ใครก็ยังไม่รู้ ข้าออกไปตามหาเพียงคนเดียว จะมีกำลังมากแค่ไหนเชียว ยามนี้เหล่าทหารออกไปตามหาแล้ว เจ้าคิดว่ายังมีปัญหาอะไรอีกหรือไม่”
“นี่…” หลินซูเหย่าพูดไม่ออกไปชั่วครู่
เยี่ยเม่ยมองสีหน้าอีกฝ่ายก็รู้แล้วว่า หลินซูเหย่าไม่รู้เรื่องที่นางส่งคนออกไปตามหา
เยี่ยเม่ยมองหลินซูเหย่านิ่งๆ เอ่ยเสียงเย็นชา “แม่นางผู้นี้ ข้าขอเตือนเจ้า ก่อนที่จะระบายอารมณ์ ไปทำความเข้าใจกับเรื่องให้ชัดเจนก่อนค่อยพูด ข้าก็เกลียดคนที่ใส่ร้ายข้า ทั้งยังเกลียดคนที่สอดเรื่องของครอบครัวข้าอีกด้วย”
สำหรับเยี่ยเม่ย เสี่ยวจิ่วเป็นเหมือนน้องชาย
เรื่องระหว่างพี่น้อง ยังไม่ถึงคราวที่คนนอกจะมาพูดมาก
หลินซูเหย่าพูดไม่ออก เดิมคิดมาสั่งสอนเยี่ยเม่ย ทว่าคิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นตัวเองที่ถูกสั่งสอน
“ข้า…ข้ารู้แล้ว” หลินซูเหย่าเอ่ยจบ เตรียมตัวจากไป
นางพลันคิดอะไรขึ้นมาได้ หันมองเยี่ยเม่ยเอ่ยว่า “แต่ว่าแม่นางเยี่ยเม่ย ในเมื่อเจ้ากับองค์ชายสี่เป็นคู่กัน เจ้าควรรักษาระยะห่างกับคุณชายเสี่ยวจิ่ว”
เยี่ยเม่ยทั้งฉิวทั้งขำ เอ่ยว่า “แม่นางผู้นี้ ในเมื่อเจ้าเป็นคุณหนูใหญ่ เป็นสตรีนางหนึ่ง อย่าได้เอาแต่พูดเรื่องบุรุษกับคนอื่น”
หลินซูเหย่าหน้าซีด
เยี่ยเม่ยเอ่ยต่อ “เจ้ามาหาข้าถึงที่นี่ เจ้าเมืองหลินรู้บ้างหรือเปล่า เจ้าเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าคำพูดพวกนี้ของเจ้า เจ้าเมืองหลินจะคิดอย่างไร เจ้าเคยคิดถึงหน้าตาของตระกูลหลินและหน้าตาของสตรีอย่างตัวเจ้าเองบ้างหรือไม่”
หลินซูเหย่าหน้าซีด นิ้วมือสั่นเทาชี้เยี่ยเม่ย เอ่ยว่า “นี่คือเรื่องของข้า เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
“ใช่ เรื่องของเจ้า ไม่เกี่ยวกับข้า” เยี่ยเม่ยพยักหน้า มองอีกอย่างเย็นชา “อย่างนั้นเรื่องของข้ากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นอย่างไร ข้ากับเสี่ยวจิ่วเป็นอย่างไร ก็เป็นเรื่องของข้า เกี่ยวอันใดกับเจ้า”
เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยออกมา หลินซูเหย่าพูดไม่ออก สีหน้าเดี๋ยวคล้ำเดี๋ยวขาว
หลินซูเหย่าคิดไม่ถึงว่าคำพูดของเยี่ยเม่ยหลายประโยค ไม่ใช่เพื่อเอาผิดตัวนาง แต่เพื่อใช้คำที่นางเอ่ยว่า “เกี่ยวอะไรกับเจ้า” ตบหน้านาง
เยี่ยเม่ยเอ่ยคำว่า “เกี่ยวอะไรกับเจ้า” ก่อน เพื่อทำให้นางเสียหน้า
ส่วนตัวเองที่ไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไร เพราะเมื่อครู่ตัวนางเองเพิ่งจะใช้วิธีนี้ต่อว่าเยี่ยเม่ย
ในขณะที่หลินซูเหย่าตะลึงและอยู่ในความกระอักกระอ่วน เยี่ยเม่ย สาวเท้ากว้างเข้ามาเบื้องหน้านาง ยกมือขึ้น “เพี๊ยะ” ก่อนที่หลินซูเหย่าจะได้สติ เยี่ยเม่ยตบลงที่หน้าหลินซูเหย่าอย่างแรง
หลินซูเหย่าตะลึงไปทันที
เยี่ยเม่ยอธิบาย “เรื่องที่เจ้าไม่ชอบอย่าทำกับผู้อื่น ไม่อยากให้ผู้อื่นยุ่งเรื่องของเจ้า เจ้าก็อย่าได้สอดมือสอดเท้าเรื่องคนอื่น ไม่อยากถูกผู้อื่นตบ ก็อย่าคิดตบหน้าคนอื่น”
คำพูดเช่นนี้ หลินซูเหย่าก็เข้าใจ
เยี่ยเม่ยตบนาง ก็เพราะว่าตอนที่หลินซูเหย่าเข้ามา ก็เงื้อมือจะตบเยี่ยเม่ย
ใบหน้าของหลินซูเหย่าเริ่มชา คนก็นิ่งอึ้งกุมใบหน้าตัวเองพูดไม่ออก
รอความเจ็บปวดจนชานั้นผ่านไปอย่างไม่รู้ตัว เป็นความเจ็บปวดอย่างรุนแรงขึ้นมาแทนที่
ใบหน้าของหลินซูเหย่าเกิดโทสะ นางยกมือขึ้น เตรียมตบลงไปที่เยี่ยเม่ย
เยี่ยเม่ยจ้องมองอีกฝ่าย เอ่ยเสียงเย็นเยียบ “ข้าขอเตือนให้เจ้าคิดให้ดีก่อน ฝ่ามือนี้เจ้าตบลงมา จะรับผลลัพธ์ไหวหรือไม่”
หลินซูเหย่าชะงักงัน
นางคิดไม่ถึงเลยว่า หลายปีที่ผ่านมานางถูกคนเลี้ยงดูพะเน้าพะนอเอาใจ วันนี้คิดตบตีคนไม่สำเร็จก็ช่างเถอะ กลับเป็นฝ่ายถูกตี ยามนี้ยังถูกข่มขู่ถึงขั้นไม่กล้าแม้แต่จะลงมือกลับ
เยี่ยเม่ยเห็นนางหวาดกลัว ไม่กล้าลงมืออีก
เยี่ยเม่ยแค่นเสียงเย็นชา “ดูถูกผู้อื่นก็ถูกผู้อื่นดูถูก คิดทำร้ายผู้อื่น ตัวเองถูกทำร้าย แม่นางเชิญกลับไปเถอะ ฉวยโอกาสยามที่ข้ายินยอมให้เจ้ากลับไป”
เพราะเยี่ยเม่ยไม่แน่ใจว่า หากหลินซูเหย่ายังอยู่ต่อไป นางไม่แน่ใจว่าจะระบายอารมณ์เรื่องจิ่วหุนหายตัวไปและปัญหาในในการฝึกกำลังภายในกับอีกฝ่ายหรือไม่
หลินซูเหย่าเห็นท่าทางดุร้ายของเยี่ยเม่ย พลันไม่กล้าเอ่ย มือนางกุมแก้ม หมุนตัวจากไป
หลังจากเดินออกจากประตู นางยังเอ่ยปากว่า “วันนี้ข้าไม่ประมาณตนมาท้าทายเจ้า แต่ต้องมีสักวันที่ข้าเอาชนะเจ้าได้”
พูดจบ หลินซูเหย่าก็จากไป
ทั้งนางยังสาบานอยู่ในใจ วันนี้นางเอาชนะไม่ได้ แต่ภายหน้าต้องมีสักวันที่นางจะทวงเอาศักดิ์ศรีที่เสียกลับคืนมา
หลังจากนางไปแล้ว เยี่ยเม่ยกำลังจะหมุนกายกลับ
ในเวลานี้บนหลังคามีเสียงฝีเท้าสายหนึ่งดังขึ้นมา เยี่ยเม่ยแค่นเสียงเย็น “วันนี้ช่างคึกคักเชียว”
สิ้นเสียงนาง เยี่ยเม่ยล้วงพัดที่ข้างเอว สะบัดไปที่หลังคา
พัดกระแทกหลังคาแตกออก
ไม่ช้านางก็เห็นใบหน้างดงามที่ไม่คุ้นตา บุรุษผู้นั้นกระพริบตาให้นาง ยิ้มร่าเอ่ยว่า “คนงาม อย่าโกรธไป ข้ามาที่นี่เพื่อหาความสุข มิได้มาเพื่อต่อสู้”
สีหน้าเยี่ยเม่ยเย็นเยียบ
บุรุษผู้นั้นเห็นสถานการณ์ ใบหน้ายังมีท่าทีทะเล้นไม่เปลี่ยน ทั้งยังไม่ถอยหนีกลับโดดลงมาจากหลังคา เข้าใกล้เยี่ยเม่ย “คนงาม เจ้าเรียกข้าเสี่ยวมั่ว หรือเสี่ยวเหอก็ได้ ข้อดีของข้าคือ สนิทกับผู้อื่น เข้ากับคนง่าย เชื่อว่าเจ้าจะชอบข้าอย่างแน่นอน”