เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1 ภาคสยบใต้หล้า] - ตอนที่ 302
เล่ห์รักกลกาล – ตอนที่ 302 เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟื้นแล้ว! / ตอนที่ 303 ผลักดันให้เยี่ยเม่ยเป็นขุนนาง!
ตอนที่ 302 เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟื้นแล้ว!
เมื่อเยี่ยเม่ยฟังแล้วก็เงียบไปครู่หนึ่ง
หากเป็นสถานการณ์ปกติ จู่ๆ มีคนเอ่ยกับนางเช่นนี้ เยี่ยเม่ยย่อมรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีนิสัยเป็นสตรีเหลือเกิน เจ้ากี้เจ้าการเกินไป ทว่าเห็นหลินซูเหย่าในยามนี้ที่น้ำตาเอ่อล้น
ในใจของเยี่ยเม่ยก็เข้าใจว่าคำพูดนี้มิได้จงใจแขวะนาง แต่เป็นเพราะสงสารจิ่วหุนจริงๆ และเกิดจากความจริงใจที่อีกฝ่ายมีต่อจิ่วหุน
เช่นนั้นในฐานะพี่สาวจิ่วหุน นางย่อมไม่ละเลย
นางพยักหน้า น้ำเสียงยังคงเย็นชาเอ่ยว่า “เขาเป็นน้องชายของข้า ข้าย่อมต้องดูแลเขาให้ดี!”
“ความจริงข้าก็รู้ท่านต้องดีกับเขาแน่ ครั้งก่อนท่านทำสิ่งเหล่านั้นเพื่อช่วยเหลือเขา ข้าก็มองออกแล้วว่า เขาติดตามอยู่ข้างกายท่าน ข้าสามารถวางใจได้ ทว่าก็ยังอดไม่ได้…” หลินซูเหย่าเอ่ยถึงตรงนี้พลันคลี่ยิ้มออก
ถัดมานางค้อมเอวคารวะเยี่ยเม่ย เอ่ยเบาๆ “แม่นางเยี่ยเม่ย ข้ามองออกว่าท่านกับองค์ชายสี่รักกันจากใจจริง ขออวยพรให้พวกท่านมีความสุข!”
ความจริงนางก็รู้ว่าจิ่วหุนชอบเยี่ยเม่ย แต่ว่านางไม่มีคุณสมบัติที่จะทำลายสิ่งเหล่านี้ ไปขอร้องเยี่ยเม่ยได้
นางไม่อาจอยู่ร่วมกับคนที่ชอบได้ ในยามนี้นางกลับมีความหวังว่าผู้อื่นจะได้อยู่กับคนที่ชอบ
คิดไม่ถึงว่า เมื่อหลินซูเหย่าเอ่ยคำพูดนี้ เยี่ยเม่ยเปลี่ยนสีหน้าไปทันที เดิมทีดวงตานางมีความเย็นชาแต่ยังมีเมตตา ยามนี้เปลี่ยนไปเย็นเยียบจนหลินซูเหย่าที่มองอยู่รู้สึกตกใจ
หลินซูเหย่าถามด้วยความสงสัย “แม่นางเยี่ยเม่ย เจ้าเป็นอะไรแล้ว”
หรือว่าข่าวลือเมื่อคืน…
เยี่ยเม่ยกวาดตามองหลินซูเหย่านิ่งๆ “ไม่มีอะไร ขอบคุณคำอวยพรของเจ้า แต่ว่าคำพูดเช่นนี้ ภายหน้าอย่าได้เอ่ยอีกแล้ว! จิ่วหุนยังรอข้าอยู่ ขอตัวก่อน”
ครั้นเอ่ยจบ เยี่ยเม่ยก็เดินจากไป
หรืออาจจะเรียกได้ว่าหนีจากไป คำอวยพรของหลินซูเหย่ากลับทำให้เจ็บเหมือนถูกทิ่มแทงใจ คนทั่วหล้าต่างรู้ว่านางกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนรักกันจริงๆ แม้หลินซูเหย่าที่เป็นคนนอก ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับนาง ก็ยังมองออก
แต่นางกลับบอกกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนว่า ตั้งแต่แรกเริ่มนางทำเพื่อหลอกใช้เขา
หลอกใช้เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ทั้งทรมานตัวเอง
เยี่ยเม่ยยิ่งเดินก็ยิ่งไว ความในใจยิ่งหนักอึ้ง หลินซูเหย่ามองแผ่นหลังของนางด้วยความแปลกใจครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ถอนสายตากลับมา ไม่เอ่ยอะไรอีก ช่างเถิด…
ทุกคนต่างมีชะตาชีวิตของตัวเอง ชีวิตของแม่นางเยี่ยเม่ย ไม่จำเป็นต้องให้นางเอ่ยมากความ
……
ห้องของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
อวี้เหว่ยเฝ้ารอด้วยความร้อนรน รอมาถึงยามสายคนที่นอนอยู่บนเตียงถึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น ทำให้อวี้เหว่ยวางใจลงได้
เสี้ยวนาทีที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนลืมตาเห็นอวี้เหว่ย หาใช่เยี่ยเม่ย แววตาเขาปรากฏความผิดหวัง
อวี้เหว่ยย่อมมองเห็นความผิดหวังเพียงชั่ววูบ ในใจพลันเกิดความรู้สึกไม่เป็นสับปะรด เขารีบถาม “เตี้ยนเซี่ย ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง”
“ยังดีอยู่”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนตอบรับ จากนั้นกุมหน้าอกลุกขึ้นนั่ง ในขณะเดียวกันเขาก็ก้มหน้ามองหน้าอกตัวเองที่ถูกพันแผลเอาไว้เรียบน้อย ไม่มีเลือดไหลอีก เขาก็ไม่รู้สึกเจ็บอีก
ที่น่าแปลกก็คือ ก่อนจะสลบไป เขารู้ว่าเจ็บใจเจียนตาย หลังจากฟื้นแล้ว เขากลับไม่รู้สึกเจ็บอีก
เขาสงสัยว่า หัวใจคงตายไปแล้ว
“เตี้ยนเซี่ย…” อวี้เหว่ยเห็นเจ้านายมีท่าทางครุ่นคิด ก็อดเรียกออกไปไม่ได้
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหลุบตาลง ไม่มองอวี้เหว่ย น้ำเสียงน่าฟังของเขาถามช้าๆ ว่า “หลังจากข้าสลบไป นางเคยมาเยี่ยมไหม”
อวี้เหว่ยตะลึง รู้สึกทนไม่ไหว ทว่าก็ต้องบอกความจริง “ไม่มี! ยังไม่ส่งคนมาไถ่ถามเลย!”
ตอนที่ 303 ผลักดันให้เยี่ยเม่ยเป็นขุนนาง!
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนค่อยๆ ตอบว่า “ข้ารู้แล้ว”
เมื่อสิ้นเสียงก็ไม่มีเรื่องใดอีก ทั้งไม่พูดอะไรมากอีก เขาเพียงลุกขึ้น ยื่นมือออกมาอย่างสง่างาม เป็นสัญญาณให้อวี้เหว่ยช่วยเขาสวมเสื้อผ้า
อวี้เหว่ยปรนนิบัติเป่ยเฉินเสียเยี่ยนสวมชุดด้วยความระวัง สุดท้ายก็อดใจไม่ไหว ถามว่า “เตี้ยนเซี่ย ท่านกับแม่นางเยี่ยเม่ยเกิดอะไรขึ้นแล้ว”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟัง ไม่ตอบ
อวี้เหว่ยเอ่ยต่อว่า “เตี้ยนเซี่ย ข้าน้อยเข้าใจจิตใจความรู้สึกของคนมากกว่าท่าน ไม่แน่เมื่อท่านเอ่ยออกมา ข้าน้อยอาจช่วยแก้ไขได้!”
เมื่ออวี้เหว่ยเอ่ยออกมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนชะงักไป สุดท้ายก็เล่าออกมา
……
ค่ายทหาร
คนทั้งหมดถูกตามตัวมาเข้ามาในกระโจม เซียวเยว่ชิงและพวกหลูเซียงฮั่วต่างรู้สึกแปลกใจ ความจริงมีคนอยากรู้อยากเห็น คิดถามเยี่ยเม่ยถึงเรื่ององค์ชายสี่เมื่อคืน ว่าเป็นอะไรกันแน่ แต่ก็ไม่มีใครเอ่ยปาก
เซียวเยว่ชิงเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ทราบว่า แม่นางเยี่ยเม่ยเรียกพวกข้ามาเพื่อเรื่องอันใด”
“ข้าเพียงรู้สึกว่า ศึกนี้ของพวกเรากับต้ามั่วกินเวลานานเกินไปแล้ว!” นิ้วมือของเยี่ยเม่ยเคาะโต๊ะเบาๆ พลันพ่นคำพูดประโยคนี้ออกมา
เหล่าแม่ทัพในที่นี้มองหน้ากันไปมา
เซียวเยว่ชิงมองเยี่ยเม่ย “ความหมายของแม่นางคือ”
เยี่ยเม่ยตวัดสายตามองเขา กล่าวนิ่งๆ “ความหมายของข้าคือ ศึกนี้ต้องรีบสู้รีบจบ ชิงจู่โจมก่อน รีบจบศึกในเร็ววัน!”
เมื่อนางตอบออกมา บรรดาเหล่าแม่ทัพดวงตาวาวโรจน์ พวกเขาแต่ละคนล้วนเชื่อมั่นในความสามารถของเยี่ยเม่ยมาก หากเยี่ยเม่ยตัดสินใจชิงโจมตี พวกเขาก็เชื่อว่าพวกเขาจะเอาชนะได้
“ข้ายินดีทำตามคำสั่งของแม่นางเยี่ยเม่ย!” เซียวเยว่ชิงรีบรับคำ
หลูเซียงฮั่วก็รีบสมทบ “ข้าก็เช่นกัน!”
“แต่ว่า…” เยี่ยเม่ยชะงักไปเล็กน้อย กวาดตามองคนทั้งหมด วางป้ายคำสั่งทหารไว้บนโต๊ะ จากนั้นนางจ้องทุกคน เอ่ยปากว่า “ข้ากลับไม่อยากช่วยงานพวกเจ้าแล้ว!”
ครั้นเยี่ยเม่ยเอ่ยคำพูดนี้ บรรดาแม่ทัพทั้งหลายตะลึงงัน มองนางอย่างไม่เชื่อสายตา จากนั้นก็ตกสู่ความว้าวุ่น นี่…
หากแม่นางเยี่ยเม่ยไม่ช่วยเหลือ แล้วพวกเขาจะทำอย่างไร
เรื่องการศึกชายแดนจะทำอย่างไร หรือว่าต้องรอคอยองค์ชายสี่
ในใจคนจำนวนไม่น้อยกำลังคิดว่า หรือองค์ชายสี่มีปัญหากับแม่นางเยี่ยเม่ย นางโกรธแล้ว ดังนั้นจึงไม่คิดสนใจเรื่องชายแดนอีก
เซียวเยว่ชิงลุกขึ้น คารวะแล้วเอ่ยปากว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย! แม่นางใคร่ครวญด้วย ไม่ทราบว่าไฉนแม่นางถึงเอ่ยเช่นนี้ เพราะเรื่องอะไรทำให้แม่นางไม่พอใจหรือเปล่า หากข้าผู้เป็นแม่ทัพสามารถแก้ปัญหาได้ ข้าก็ยินยอมเป็นวัวเป็นม้าลงแรงให้แม่นาง!”
เซียวเยว่ชิงแอบคิด ขอเพียงไม่สั่งให้เขาไปสังหารองค์ชายสี่หรือว่าทำการล่วงเกินต่อองค์ชายสี่เท่านั้นก็พอ ต่อให้แม่นางเยี่ยเม่ยสั่งให้เขาไล่สังหารคนเพื่อระบายโทสะ เขาก็ยินยอม ขอเพียงแม่นางไม่ทิ้งภาระหน้าที่ หากแม่นางเยี่ยเม่ยทอดทิ้งไป ชายแดนก็คงต้องจบสิ้นแล้ว
คิดถึงเรื่องที่แม่นางเยี่ยเม่ยจากไปเมื่อสองสามวันก่อน ชายแดนเกือบถูกพวกเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่บุกโจมตีจนย่อยยับ เขายังรู้สึกว่าเหมือนฝันร้าย!
จิ่วหุนที่ยืนอยู่หลังเยี่ยเม่ย ยามนี้ยังอดไม่ไหวมองแผ่นหลังของนาง ความจริงเขาก็ไม่เข้าใจว่า เยี่ยเม่ยเตรียมทำอะไรกันแน่ เพียงแต่ไม่ว่านางทำอะไร ขอเพียงต้องให้คอยช่วยเหลืออยู่ข้างหลังก็เพียงพอแล้ว เขาจึงไม่พูดมาก
เซียวเยว่ชิงเอ่ยเช่นนี้ ความจริงเหล่าแม่ทัพต่างก็มองหน้ากัน พากันลุกขึ้น ค้อมเอวลงเช่นเดียวกับเซียวเยว่ชิง ภาพเหตุการณ์เมื่อสองสามวันก่อน พวกเขาแต่ละคนล้วนไม่อยากพบเห็นอีก “แม่นางเยี่ยเม่ย หากท่านไม่พอใจ พวกเราเหล่าแม่ทัพยินดีทำงานเพื่อท่าน!”
ภาพนี้ไม่ต่างจากที่เยี่ยเม่ยคาดคิดนัก
ยามนี้นางต้องขอบคุณเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเป่ยเฉินอี้ที่หลังจากมาถึงชายแดนแล้วต่างไม่ทำอะไร ปล่อยให้คนเหล่านี้ฝากความหวังเอาไว้ที่นาง ดังนั้นนางต้องการอะไรก็ราบรื่นมากแล้ว…
นางมองคนทั้งหมด ตอบว่า “พวกเจ้าคิดมากไปแล้ว ไม่มีใครทำอะไรให้ข้าไม่ยินดี!”
“นี่…” คนทั้งหมดมองหน้ากัน ในใจกลับไม่มั่นใจ หากเยี่ยเม่ยตอบเช่นนี้ แล้วปัญหายังจะแก้ได้อีกหรือ
เซียวเยว่ชิงรีบเอ่ย “เช่นนั้น…”
เยี่ยเม่ยเองก็ไม่เอ่ยคำพูดประเภททิ้งให้พวกเขาคาดเดากันไปเองเพื่อสร้างความลำบากให้พวกแม่ทัพ นางเพียงกวาดตามองพวกเขา เอ่ยว่า “ข้ากำลังคิดว่า ข้าเยี่ยเม่ยนับเป็นตัวอะไร อยู่ในชายแดน หนึ่งไม่มีตำแหน่งขุนนาง สองไม่มีญาติมิตร สามไม่มีฐานันดรศักดิ์ เดิมทีข้าเข้ามายุ่งเรื่องนี้ก็เพราะลู่หวานหว่านจะคิดบัญชีกับข้า ยามนี้สตรีนางนั้นไม่มีเหลือแม้แต่เงาแล้ว ราชาต้ามั่วก็ไม่เอ่ยเรื่องแก้แค้นข้าอีก ดังนั้นเรื่องของชายแดนก็น่าจะไม่เกี่ยวพันกับข้าอีกแล้ว!”
คนทั้งหมด “…”
คนทั้งหมดพากันคิดว่า นี่ท่านกำลังเอ่ยคำพูดเหลวไหลอันใด มีใครไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับองค์ชายสี่บ้าง
สองไม่มีญาติมิตรนี้ พูดออกได้อย่างไรกัน
แต่เมื่อคิดๆ ดูคล้าย องค์ชายสี่จะเกิดเรื่องแล้ว ไม่แน่ว่าคนทั้งสองทะเลาะกัน คนทั้งหมดเมื่อคิดเช่นนี้พลันไม่กล้าเอ่ยถึงองค์ชายสี่
ยังมีแม่ทัพช่างจินตนาการ ผูกเรื่องที่องค์ชายสี่กับแม่นางเยี่ยเม่ยทะเลาะกัน ทำให้แม่นางเยี่ยเม่ยไม่พอใจจึงจะจากไป อย่างนั้น…พวกเขาสมควรไปหา องค์ชายสี่เพื่อแก้ไขปัญหาหรือไม่
เซียวเยว่ชิงขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย นี่…”
เยี่ยเม่ยเอ่ยต่อว่า “มีคนกล่าวว่า รับเงินหลวง ช่วยฮ่องเต้คลายทุกข์ ข้าไม่ได้กินเงินหลวง ความกังวลใจนี้ข้าไม่สมควรแบกรับ!”
เซียวเยว่ชิงในฐานะแม่ทัพที่โดดเด่นที่สุดในช่วงนี้ แสดงออกเหมือนตัวละครประกอบมากไหวพริบเอ่ยว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยพูดถูก ข้ารู้สึกว่า หลายวันมานี้ แม่นางเยี่ยเม่ยป้องกันชายแดน มีความชอบสูงสุด ดังนั้นพวกเราเตรียมถวายฎีกา ให้ฝ่าบาททรงประทานตำแหน่งขุนนางให้แม่นางเยี่ยเม่ย รับเงินเบี้ยหวัดจากราชสำนัก แม่นางเยี่ยเม่ยถึงช่วยพวกเราได้อย่างสมเหตุสมผล!”
“หา? นี่…” หลูเซียงฮั่วตะลึงเล็กน้อย
แม่ทัพอื่นๆ ก็ตกตะลึงเช่นกัน นี่…มีสตรีเป็นขุนนางที่ไหนกัน ถึงในราชสำนักเมื่อหลายปีก่อนจะมีเรื่องเช่นนี้ไม่น้อย แต่ในราชสำนักเป่ยเฉินของพวกเขา ไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้เลย
คนทั้งหมดรีบเอ่ยปากว่า “แม่ทัพเซียว นี่ท่าน…สตรีรับตำแหน่งขุนนางได้ที่ไหนกัน”
“อย่างนั้นสตรีนำทัพออกรบได้หรือ” เซียวเยว่ชิงย้อนถาม
คนที่ถามออกมาพลันสะดุดกึกไปแล้ว
เพราะคราวที่แล้วบีบคั้นให้เยี่ยเม่ยมอบตัวจิ่วหุนออกมา เซียวเยว่ชิงรู้สึกติดค้างมาตลอด ในยามนี้จึงช่วยเยี่ยเม่ยเอ่ยวาจาอย่างไม่ลังเล “แม่ทัพเฉิน หลายวันก่อนหน้านี้พวกเราต้องให้แม่นางเยี่ยเม่ยส่งตัวคุณชายจิ่วหุนออกมาเพื่อสังหารเขา วันนี้ยังคิดว่าสตรีอย่างนางไม่อาจเป็นขุนนางได้ ยามนี้กลับไร้ยางอายหวังว่าแม่นางเยี่ยเม่ยจะช่วยพวกเราทำศึก นี่ท่านไม่รู้สึกผิดหรือ”
นี่…
คนทั้งหมดก้มหน้างุด
ก็ถูก ยามให้ผู้อื่นช่วยทำศึกไม่รังเกียจที่นางเป็นสตรี พอเอ่ยถึงเรื่องยกเป็นนางให้เป็นขุนนาง พวกเขากลับรังเกียจเพศของผู้อื่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องหลายวันก่อนที่บีบให้นางมอบตัวจิ่วหุนออกมา…