เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1 ภาคสยบใต้หล้า] - ตอนที่ 305
เล่ห์รักกลกาล – ตอนที่ 305 เสินเซ่อเทียนย้อนกลับชายแดน
“นี่…” อวี้เหว่ยมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนทีหนึ่ง
เขากลับรู้สึกว่า ด้วยนิสัยของเยี่ยเม่ย หากเตี้ยนเซี่ยทำเช่นนี้ นางรังแต่จะยิ่งเกลียดเตี้ยนเซี่ย
……
เมืองหลวง ณ วังหลวง
ฮ่องเต้ใช้สายพระเนตรมองเสินเซ่อเทียนอย่างละเอียด ดวงเนตรทอประกายคมกริบ “เจ้าตัดสินว่าเยี่ยเม่ยไม่มีปัญหาได้เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
เสินเซ่อเทียนก้มหน้าอย่างนอบน้อม ตอบ “ฝ่าบาท นางไม่เหมือนคนร้าย อีกอย่างนอกจากกำลังทหารสองแสนที่ชายแดนแล้ว นางก็มิได้ครอบครองกำลังทหารอื่นๆ อีก พระองค์ทรงมีแม่ทัพกล้ามากมาย หรือยังต้องกลัวสตรีนางเดียวด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
แน่นอนว่าเขามิได้ดูแคลนสตรี เพียงแต่เมื่อกล่าวเช่นนี้บางทีสามารถทำให้ฮ่องเต้คลายความระแวงไปได้ หากฮ่องเต้ยังมีดำริว่าเยี่ยเม่ยเป็นอันตราย ต้องการสังหารนาง เช่นนั้นเรื่องนี้ก็จะยากขึ้นไปอีก
แล้วก็เป็นดังคาด หลังจากฮ่องเต้ทรงฟังก็พยักหน้าติดต่อกัน “เจ้าพูดก็ถูก สตรีนางเดียวจะก่อคลื่นลมอะไรได้ ในเมื่อเจ้าไปดูเอง ซ้ำมั่นใจว่าไม่มีปัญหา อย่างนั้นก็ปล่อยนางไปเถอะ!”
ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้ เสินเซ่อเทียนเอ่ยปากว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมขอพระองค์ทรงมีราชโองการให้กระหม่อมไปชายแดน หลังจากการศึกจบสิ้นค่อยกลับเมืองหลวง!”
ยามนี้ฮ่องเต้พระพักตร์คล้ำลง “เพราะอะไร หรือเจ้าทำเพื่อหลีกหนีข้า”
“ฝ่าบาททรงคิดมากแล้ว!” เสินเซ่อเทียนรีบแก้ต่าง น้ำเสียงศักดิ์สิทธิ์ของเขาเอ่ยอย่างรวดเร็วว่า “กระหม่อมไปชายแดน ก็เพราะเป่ยเฉินอี้อยู่ที่นั่นเท่านั้น เขามีเจตนาจะทำอะไรนั้นก็แสดงออกอย่างชัดเจน หากเยี่ยเม่ยและองค์ชายสี่หาใช่คู่มือของเขา ตราทัพอาจตกอยู่ในมือเขาได้!”
เมื่อเสินเซ่อเทียนอธิบาย ฮ่องเต้ก็ตื่นตัวขึ้นทันที “เจ้าพูดไม่ผิด!”
เสินเซ่อเทียนกล่าวต่ออีกว่า “ไม่เพียงเท่านี้ กระหม่อมได้รับข่าวว่า จิวมั่วเหอและเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่กลับสู่ราชสำนักต้ามั่วแล้ว จิวมั่วเหอมีใจทะเยอทะยาน คนทั่วหล้าต่างดูออก ยกเว้นแต่ราชาต้ามั่วผู้เดียวเท่านั้น กระหม่อมกังวลว่าพวกเขาจะมีการเคลื่อนไหวอะไรบางอย่าง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฝ่าบาทสมควรรับรู้ก่อน!”
นี่กลับเป็นความจริง เสินเซ่อเทียนมีความจงรักภักดีต่อฮ่องเต้จากใจ
ส่วนตัวเขาอยากไปพบเยี่ยเม่ย แต่ปัญหาที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องนี้
ครั้นฮ่องเต้ทรงฟังแล้ว ก็รีบตรัส “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ไปเถอะ!”
ความจริงฮ่องเต้ไม่กลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นทั้งนั้น แต่พระองค์ทรงกลัวว่าจะเกิดเรื่องที่ไม่อยู่ในสายพระเนตร นับตั้งแต่โบราณกาลมาสิ่งที่ฮ่องเต้กังวลมากที่สุดนั่นก็คือ มีของบางอย่างที่อยู่เหนือการควบคุม
“พ่ะย่ะค่ะ!” เสินเซ่อเทียนรับบัญชาทันที หลังจากเอ่ยก็หมุนตัวจากไป
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองแผ่นหลังเขา พลันตรัสขึ้น “หากเกิดเรื่องที่เมืองหลวง ข้าจะเรียกตัวเจ้ากลับมาทันที!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” เสินเซ่อเทียน ตอบด้วยเสียงนอบน้อม
ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรท่าทางเคารพนบนอบของเขา ในใจพลันเกิดเพลิงโทสะ แต่สุดท้ายก็ไม่ตรัสอะไร โบกพระหัตถ์ “ออกไปได้!”
“กระหม่อมทูลลา” หลังจากเสินเซ่อเทียนตอบรับด้วยความเคารพก็จากมา
ครั้นเดินมาถึงประตูใหญ่ เขาก็พบกับเซี่ยโหวเฉิน
เซี่ยโหวเฉินรีบก้มหน้าคารวะ “จวินซ่าง!”
เสินเซ่อเทียนประเมินเซี่ยโหวเฉินอย่างใช้ความคิด มองเสียจนเซี่ยโหวเฉินรู้สึกกลัดกลุ้ม อย่างไรเสียวรยุทธ์ของเสินเซ่อเทียนไม่มีใครที่ไม่รู้ หากอีกฝ่ายลงมืออย่างกะทันหัน เขาจะตกตายอยู่ที่นี่หรือไม่ก็ยังพูดยาก
แต่ว่า เคราะห์ดีที่เสินเซ่อเทียนมองเขาครู่หนึ่ง จากนั้นส่งเสียง ‘อืม’ จากนั้นก็เดินไป
เซี่ยโหวเฉินปาดเหงื่อบนหน้าผาก ค่อยวางใจลงทันที เขามีใจฝักใฝ่ในบัลลังก์ หากเสินเซ่อเทียนจับจุดนี้ของเขาได้ เกรงว่าชีวิตน้อยๆ คงยากรักษาไว้ แต่เขาเชื่อในความรอบคอบของตน ไม่มีทางปล่อยให้เสินเซ่อเทียนจับพิรุธอะไรได้
หลังจากเสินเซ่อเทียนจากไป
หัวหน้าขันทีเดินออกจากตำหนักมองเซี่ยโหวเฉิน “ท่านอ๋องน้อย เชิญ! ฝ่าบาททรงรอท่านอยู่ด้านใน!”
“ขอให้กงกงนำทางด้วย!” เซี่ยโหวเฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกรงใจ
ไม่ช้า เซี่ยโหวเฉินก็ติดตามหัวหน้าขันทีเข้าไปถึงในตำหนัก
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองเขา พระสุรเสียงทรงอำนาจดังขึ้น “ว่ามาเถอะ เซี่ยโหวเฉิน มาหาข้าเพราะเรื่องอะไร”
เซี่ยโหวเฉินรีบคารวะ ขณะกำลังจะเอ่ยปาก
ฮ่องเต้ตรัสต่อว่า “ครั้งก่อนเจ้าบอกว่า ปล่อยให้เป่ยเฉินอี้ไปชายแดน จะทำให้เขากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนควบคุมกันเอง ไม่แน่อาจช่วยข้ากำจัดตัวปัญหาไปได้หนึ่ง แต่มาถึงวันนี้เป่ยเฉินอี้ไปถึงชายแดนตั้งนานแล้ว พวกเขาสองคนไม่มีการเคลื่อนไหวสักนิด เซี่ยโหวเฉิน หากครั้งนี้เจ้ายังไม่มีวิธีการที่ทำให้ข้าพอใจได้ ข้าจะเอาผิดกับเจ้า!”
เซี่ยโหวเฉินเกือบตกใจแล้ว รีบเอ่ยปากว่า “ฝ่าบาททรงระงับโทสะด้วย ฝ่าบาททรงอยู่ไกลถึงเมืองหลวง จะทรงมั่นใจได้อย่างไรว่าชายแดนยังไม่เกิดคลื่นลมอะไรตั้งแต่แรก กระหม่อมคิดว่าบางทีระหว่างพวกเขาสองคนอาจปะทะกันหลายรอบแล้ว!”
เมื่อเขาตอบ ฮ่องเต้กลับไม่โมโหที่เขาสงสัยว่าพระองค์รู้เรื่องของชายแดนบ้างหรือเปล่า
กลับทรงพยักหน้า “คำพูดของเจ้าก็มีเหตุผล!”
อย่างไรเสีย ต่อหน้าไม่มีการต่อสู้ซึ่งๆ หน้า ลับหลังอาจประลองกันจนพลิกฟ้าพลิกดินไปแล้วก็เป็นได้ เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ชัด
จากนั้นเซี่ยโหวเฉินรีบกล่าว “กระหม่อมยังรู้สึกว่า เรื่องครั้งก่อนที่จิ่วหุนถูกเปิดโปงฐานะ รวมถึงถูกลอบสังหาร เกรงว่าจะเกี่ยวพันกับอี้อ๋อง ไม่ว่าอย่างไรการจัดการจิ่วหุนภายใต้สายตาของเยี่ยเม่ยและองค์ชายสี่ คนทั่วไปไม่อาจทำได้อย่างแน่นอน!”
ฮ่องเต้ทรงฟังแล้ว ก็รู้สึกว่ามีเหตุผล “หากเอ่ยเช่นนี้ ข้าเชื่อเจ้า ปล่อยเสือออกจากถ้ำ ก็นับว่าไม่ผิดแล้ว!”
หลายวันนี้ความจริงฮ่องเต้ทรงกังวลมาตลอด สรุปแล้วการที่พระองค์ปล่อยเป่ยเฉินอี้ออกไปถูกหรือไม่ จะเป็นการทำให้สภาพที่น่าอึดอัดของพระองค์อยู่แต่เดิม มีศัตรูเพิ่มขึ้นมาอีกคนหรือเปล่า
แต่ยามนี้ เซี่ยโหวเฉินเอ่ยออกมา ความกังวลก็พลันหายไปกว่าครึ่ง
เซี่ยโหวเฉินถอนลมหายใจ เข้าใจว่าฮ่องเต้ทรงปล่อยตนแล้ว เขาจึงเอ่ยต่อ “ฝ่าบาท ที่กระหม่อมมาครั้งนี้ มีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งจะบอกต่อพระองค์ กระหม่อมคิดว่าเมื่อฝ่าบาททรงฟังแล้วจะต้องสนพระทัยเป็นอย่างมาก!”
“เจ้าว่ามา!” ฮ่องเต้ทอดพระเนตร เซี่ยโหวเฉินด้วยความใคร่รู้
เป็นเรื่องอะไรกันแน่ เซี่ยโหวเฉินถึงตัดสินว่าพระองค์ต้องสนใจ
เซี่ยโหวเฉินรีบเอ่ย “ไม่ทราบว่าฝ่าบาทยังทรงจำจงเจิ้งซีได้หรือไม่”
“ข้าย่อมจำได้!” ฮ่องเต้ตอบ ในใจยังรู้สึกขอบใจนาง หากไม่ใช่เพราะจงเจิ้งซี ปีนั้นบัลลังก์ฮ่องเต้ของเป่ยเฉินก็คงตกเป็นของเป่ยเฉินอี้โดยมิต้องสงสัย พระองค์เคยรู้สึกขอบคุณการดำรงอยู่ของสตรีนางนั้น ทำให้เป่ยเฉินอี้ยอมทิ้งบัลลังก์เพื่อช่วยนาง
ดังนั้นชื่อของสตรีนางนี้ พระองค์ทรงจำได้อย่างแม่นยำ!
เซี่ยโหวเฉินตอบว่า “ฝ่าบาท ช่วงนี้กระหม่อมรู้เรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งมา เยี่ยเม่ยผู้นั้น…หรือก็คือคนในดวงใจขององค์ชายสี่กลับมีหน้าตาเหมือนจงเจิ้งซีไม่ผิดเพี้ยน!”
“เจ้าว่าอะไรนะ” ฮ่องเต้พลันตกตะลึง ทอดพระเนตรมองเซี่ยโหวเฉินอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
เซี่ยโหวเฉินพยักหน้า “ฝ่าบาท เป็นเช่นนี้จริงๆ! ดังนั้นกระหม่อมมีแผน!”