เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1 ภาคสยบใต้หล้า] - ตอนที่ 327
เล่ห์รักกลกาล – ตอนที่ 327 ไป๋หลี่ซือซิว
ไม่ช้า เซียวเยว่ชิงเดินเข้ามา
เยี่ยเม่ยสั่งว่า “ไปเตรียมการ อีกไม่กี่วันจะมีศึกใหญ่! ทั้งยังอาจเป็นศึกสุดท้ายระหว่างพวกเรากับต้ามั่วด้วย!”
เยี่ยเม่ยยื่นแผนที่ให้ เซียวเยว่ชิงสั่งว่า “ต้องจบศึกที่นี่ วางกำลังดักซุ่มไว้ที่สามจุดนี้ หากศัตรูแตกพ่ายหนีทัพ ตอนที่หนีสมควรผ่านเส้นทางเหล่านี้ วางกำลังดักซุ่มเอาไว้ที่นี่ ไม่ว่าอย่างไร ต้องทำให้พวกเขามาได้แต่กลับไม่ได้!”
ครั้งนี้ที่เยี่ยเม่ยเตรียมการรัดกุม แม้แต่เส้นทางหนีของศัตรูก็กำหนดชัดเจน ต้องบอกว่าสาเหตุใหญ่ๆ มาจากบทสนทนากับเป่ยเฉินอี้ก่อนหน้านี้
ครั้งแรกที่ประลองกับเป่ยเฉินอี้ บุรุษผู้นี้ชี้แนะการใช้ทหารผิดพลาดของนาง หนึ่งในนั้นรวมถึงนางไม่เตรียมทหารดักซุ่มไว้เพื่อเก็บกวาดทหารหนีให้หมดสิ้น
ตอนนี้จิวมั่วเหอยังไม่ทันบอกแผนการศึกของพวกเขาโดยละเอียดให้นางฟัง แต่เยี่ยเม่ยก็ชิงคาดเดาเรื่องพวกนี้ไว้ล่วงหน้า เชื่อว่ากลศึกของพวกจิวมั่วเหอ จะไม่ต่างกับสถานการณ์ที่นางวางไว้ในตอนนี้มากนัก
“ขอรับ!” เซียวเยว่ชิงมองจุดที่เยี่ยเม่ยชี้ ก็รู้สึกว่าช่างวิเศษนัก
เขายิ่งรู้สึกเลื่อมใสการวางกลยุทธ์ศึกของเยี่ยเม่ยมากขึ้น
ความจริงเขาพบว่าการต่อสู้สองสามครั้งที่ผ่านมา เยี่ยเม่ยค่อยๆ เริ่มจากลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ จนมาถึงวันนี้นางใช้กลศึกอย่างล้ำลึกขึ้นจริงๆ
เยี่ยเม่ยคล้ายกับรู้ทันความคิดเซียวเยว่ชิง มองเขาถามว่า “ทำไม ท่านแปลกใจที่ข้าพัฒนาหรือ”
“ใช่!” เขาแปลกใจจริงๆ อย่างไรเสียคนที่พัฒนาได้รวดเร็วขนาดนี้ในเวลาอันสั้นก็ชวนให้คนตะลึงนัก
เยี่ยเม่ยโบกมือ หัวเราะเสียงเย็นชา “ความจริงข้าก็แปลกใจเหมือนกัน”
เซียวเยว่ชิงไม่พูดอะไรอีกก็ล่าถอยออกไป
หลังจากเขาไปแล้ว เยี่ยเม่ยกลับอดทนไม่ไหว หลุดหัวเราะขมขื่นออกมา การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของนางเป็นเพราะเป่ยเฉินอี้
คนเคยบอกว่ามีเพื่อนเป็นครู ส่วนนางกับเป่ยเฉินอี้กลับมีศัตรูเป็นครู
การที่เรียนรู้บางอย่างมาจากศัตรู ความจริงนางสมควรดีใจมิใช่หรือ แต่ศัตรูแข็งแกร่งเช่นนี้ ยากนักที่นางจะไม่ตื่นตระหนก
คิดถึงตรงนี้
เยี่ยเม่ยพลันตระหนักอะไรได้ นางลุกขึ้นตรงไปที่ห้องจงรั่วปิง
จงรั่วปิงเห็นเยี่ยเม่ยมาเยี่ยม ตะลึงไปเล็กน้อย ถามว่า “มีอะไรหรือ”
“มีเรื่องจะไหว้วานเจ้าเรื่องหนึ่ง จริงๆ ข้าอยากให้เจ้าช่วยไปที่ตั้งเดิมของราชสำนักจงเจิ้ง เอาของออกมาชิ้นหนึ่ง แต่ว่าหากรอบๆ มีสายของเป่ยเฉินอี้อยู่ เจ้าก็ถอยกลับมาก่อน อย่าให้พวกเขาพบได้เด็ดขาด เรื่องเอาของพวกเราค่อยวางแผนในระยะยาวกันใหม่!” เยี่ยเม่ยเอ่ยออกมาด้วยสีหน้านิ่งขรึม
นางกลับรู้สึกว่าหากทำได้เลยก็คงดี แต่เกรงว่าเป่ยเฉินอี้น่าจะให้คนเฝ้าที่นั่นไว้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากถูกพบเข้า ของจะเอากลับมาได้หรือเปล่ายังไม่แน่ ที่สำคัญคือพลอยจะทำให้เป่ยเฉินอี้เกิดความระแวงสงสัย
หากเป็นเช่นนี้ก็อันตรายเกินไป
จงรั่วปิงถาม “ต้องการเอาอะไรออกมา”
เยี่ยเม่ยรีบกระซิบข้างหูนางประโยคหนึ่ง
จงรั่วปิงมุ่นคิ้วจ้องเยี่ยเม่ยถามว่า “ทำไมของที่คนของราชสำนักจงเจิ้งซ่อนไว้ลับๆ เช่นนี้เจ้ายังรู้ได้อีก”
เยี่ยเม่ยฟังคำถาม นางจ้องจงรั่วปิงกลับไม่ตอบอะไร
ยามนี้จงรั่วปิงเข้าใจว่า ดูท่าเยี่ยเม่ยจะมีคำพูดที่ยากเอ่ย นางก็ไม่ชอบทำให้คนอื่นลำบากใจ ดังนั้นนางจึงไม่ซักไซ้ พยักหน้าเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะช่วยไปเอาของมา เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะไม่บอกใครทั้งนั้น!”
“เจ้าต้องระวังด้วย!” เยี่ยเม่ยกำชับ
หลังจากจงรั่วปิงรับปาก นางก็เดินออกไป จู่ๆ พลันคิดอะไรได้ มองเยี่ยเม่ย “จริงสิ มีอีกวิธีรับประกันได้ว่าจะเอาของที่เจ้าต้องการออกมาได้ เจ้าคงรู้ฐานะของบิดาข้า เขาคือต้าซือคง ในมือเขามีคนเก่งมากมาย ในจำนวนนั้นมีพี่น้องคู่หนึ่ง ถนัดการขุดเส้นทางลับมาก หากมีคนของเป่ยเฉินอี้คุ้มกันอยู่จริงๆ ข้าให้พวกเขาช่วยขุดทางลับเข้าไปในวังของจงเจิ้ง ช่วยเจ้าเอาของออกมาได้!”
เมื่อเอ่ยถึงยามนี้ จงรั่วปิงก็กล่าวว่า “แต่หากเป็นเช่นนี้ ท่านพ่อข้าก็ต้องรู้เรื่องนี้แล้ว”
เมื่อนางพูดจบ ซือหม่าหรุ่ยเดินเข้ามาพอดี
ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร พ่อเจ้ารู้ก็รู้เถอะ เจ้าไปจัดการพอ!”
เยี่ยเม่ยมองซือหม่าหรุ่ยด้วยสายตาแปลกใจ
ไม่ว่าอย่างไร จงซานคือต้าซือคงของเป่ยเฉิน เรื่องเช่นนี้หากปล่อยให้จงซานรับรู้ ไม่แน่ว่าจะก่อให้เกิดความสงสัยและเชื่อมโยงเรื่องราวได้ ไฉนอาหรุ่ยถึงเชื่อถือจงซาน
แต่เมื่อเห็นซือหม่าหรุ่ยพยักหน้าให้
ถึงเยี่ยเม่ยจะสงสัย แต่ก็มองจงรั่วปิง “อย่างนั้นก็ทำตามนี้เถอะ เรื่องนี้มอบให้เจ้าแล้ว!”
“ได้!” จงรั่วปิงรู้สึกว่าคนทั้งสองมีเรื่องบางอย่างปิดบังตน แต่ว่านางหาใส่ใจไม่ เมื่อไม่บอกก็หมายความว่ายังไม่เชื่อใจพอ แต่นี่ก็ถือเป็นเรื่องปกติของคน
นางก้าวเท้ากว้างๆ จากไป
ซือหม่าหรุ่ยค่อยมองเยี่ยเม่ย เอ่ยเสียงเบา “ถึงไม่รู้ว่าเจ้าต้องการเอาอะไร แต่ในเมื่อเป็นที่ตั้งเก่าของจงเจิ้ง ก็ไม่มีอะไรให้กังวลใจทั้งนั้น เพราะจงซาน บิดาของนางเป็นคนของพวกเรา!”
“อะไรนะ” เยี่ยเม่ยตกตะลึง
ซือหม่าหรุ่ยเล่าต่อ “ไม่รู้ว่าเจ้ายังจำได้ไหม ปราชญ์อันดับหนึ่งแห่งราชสำนักจงเจิ้ง ตามที่ได้ยินมาบรรพบุรุษของเขามาจากแผ่นดินอีกผืนหนึ่ง เป็นชนรุ่นหลังของราชวงศ์หนานเยว่ ตระกูลของเขาที่อยู่ในแผ่นดินเดียวกับพวกเราคือสกุลไป๋หลี่ ชื่อของเขาคือไป๋หลี่ซือซิว!”
“ข้าจำได้!” เยี่ยเม่ยพยักหน้า กล่าวว่า “ตอนเขาอายุสิบเก้าก็ดำรงตำแหน่งเสนาบดีแล้ว ปีนั้นเขาต้องการให้สังหารเป่ยเฉินอี้ แต่เพราะเสด็จพ่อเห็นแก่คำขอร้องของข้าจึงไม่ฟังเขา ตอนที่ราชสำนักจงเจิ้งล่มสลายเขาอายุยี่สิบเอ็ดปี ดังนั้น…ที่เจ้าหมายถึงคือ…”
“ไม่ผิด! ปีนั้นไป๋หลี่ซือซิวหนีออกจากวัง เปลี่ยนฐานะเป็นจงซานมาที่ราชสำนักเป่ยเฉิน เขาใช้ฝีมือแปลงโฉมอย่างประณีตปิดบังอายุของตนไว้ ระยะเวลาสี่ปีก้าวมาถึงตำแหน่งในทุกวันนี้ ทั้งได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้และความเลื่อมใสจากขุนนางทั้งหลาย เพื่อทำลายราชสำนักเป่ยเฉิน ตอบแทนบุญคุณของเสด็จพ่อเจ้า”
ยามนี้เยี่ยเม่ยนิ่งไปแล้ว “อย่างนั้นจงรั่วปิง…” จงรั่วปิงโตขนาดนี้แล้ว จะเป็นลูกสาวของไป๋หลี่ซือซิวได้
ซือหม่าหรุ่ยพลันยิ้มออก “จงรั่วปิงเป็นเด็กที่สหายเก่าของไป๋หลี่ซือซิวเก็บมาเลี้ยง สหายของเขาด่วนจากไปไว จึงฝากฝังจงรั่วปิงไว้กับเขา ดังนั้นไป๋หลี่ซือซิวจึงประกาศออกไปว่า จงรั่วปิงคือบุตรสาวที่ส่งไปร่ำเรียนวิชาตั้งแต่เล็ก เพิ่งจะกลับมา จงรั่วปิงเองก็ไม่รู้เรื่องนี้ นางเข้าใจผิดว่าไป๋หลี่ซือซิวเป็นบิดานางมาตลอด! ความจริงแล้ว…ใต้เท้าจงของพวกเราผู้นั้นยังไม่ได้แต่งงาน!”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” สีหน้าของเยี่ยเม่ยยามนี้สงบลง
นางมองซือหม่าหรุ่ย “แต่เจ้าก็บอกแล้วว่า ปีนั้นเพราะว่า…”