เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1 ภาคสยบใต้หล้า] - ตอนที่ 330
เล่ห์รักกลกาล – ตอนที่ 330 ข้าอยากกินหมูหัน
โอ้!
คิดไม่ถึงเลยว่าจวินซ่างจะมีหน้ามีตาขนาดนี้!
เซียวเยว่ชิงเคยคิดด้วยซ้ำว่า มีวันใดวันหนึ่งที่ฝ่าบาทเสด็จมา เยี่ยเม่ยก็อาจจะไม่ออกไปต้อนรับ
นี่พระอาทิตย์จะขึ้นทางตะวันตกแล้วใช่ไหม
แต่เซียวเยว่ชิงรู้สึกชื่นชมมาก อืม อย่างน้อยแม่นางเยี่ยเม่ยก็รู้จักการวางตัวเป็นขุนนางอยู่บ้าง รักษาสัมพันธ์ดีงามกับจวินซ่าง เป็นเรื่องที่สมควร!
เชื่อว่าไม่ช้าฝ่าบาทจะได้รับฎีกาเสนอให้แม่นางเยี่ยเม่ยรับตำแหน่งขุนนางของพวกเขา ยามนี้ผูกสัมพันธ์อันดีกับจวินซ่างไว้ อนาคตไปได้ไกลไร้ขอบเขตแน่นอน…ฮ่าฮ่าฮ่า
เซียวเยว่ชิงทำตัวคล้ายกับพวกนักแสดง เพียงแต่แอบจินตนาการอยู่คนเดียวเงียบๆ
เยี่ยเม่ยเดินออกไปข้างนอก
ที่ประตูเมือง รถม้าของเสินเซ่อเทียนค่อยๆ เข้ามาใกล้เรื่อยๆ คนจำนวนมากเห็นรถม้าตรงเข้ามาก็คุกเข่าลง ต้อนรับเสินเซ่อเทียน
เยี่ยเม่ยย่อมจ้องมองอยู่ ในเวลานี้ทหารนายหนึ่งด้านหลังนางเตือนว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย จวินซ่างมาแล้ว ท่านต้องคุกเข่าต้อนรับ!”
เยี่ยเม่ยเลิกคิ้ว ปรายตากลับมองเขา “ข้า? คุกเข่า? เจ้าล้อเล่นอะไรกับข้า ไม่มีใครบอกเจ้าหรือว่าข้าเป็นคนอย่างไร ดูท่าเจ้าคงโง่งมเป็นหมูกระมัง!”
ไป๋หลี่ซือซิวตำหนิเยี่ยเม่ยโง่งมเหมือนหมู นางยังจำได้ดี
นางยังค่อยๆ พบว่า ใช้คำนี้ตำหนิผู้อื่น คล้ายกับแสดงความฉลาดของตนออกไปไม่น้อย มิน่าพวกปราชญ์ถึงนิยมด่าคนว่าโง่เง่า
คิดไม่ถึงเลย
ในยามนี้เสินเซ่อเทียนถึงกับเลิกม่านออก
ดวงตาที่ทรงอำนาจกวาดไปรอบทิศ น้ำเสียงก็ดังตามมาว่า “หมูหัน ที่ไหนมีหมูหัน รสชาติเป็นอย่างไร”
คนทั้งหมด “…”
เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุก นางรู้ว่าเสินเซ่อเทียนเป็นจอมตะกละ แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นได้ถึงขั้นนี้ นี่มันจอมตะกละขั้นสูง…เฉิงเสี่ยวจวนกลอกตามองฟ้า เตือนเสียงเบาอย่างจนปัญญาว่า “จวินซ่าง เยี่ยเม่ยบอกว่าโง่งมราวกับหมู หาใช่หมูหัน…”
“อ้อ!” เสินเซ่อเทียนได้ฟังก็พยักหน้ารับ
แววตาเผยความผิดหวัง ไม่รู้สึกถึงการกระทำอันน่ากระอักกระอ่วนของตนเมื่อครู่เลยสักน้อย ทั้งยังไม่รู้สึกว่าการกระทำเมื่อครู่จะมีผลกระทบกับภาพลักษณ์เทพเทวดาของตน เขาพยักหน้ากลับไปนั่งต่อ
แต่คนทั้งหมดต่างรู้สึกว่า…อืม…
รู้สึกว่าภาพลักษณ์ของจวินซ่างในความคิดพวกเขา จวินซ่างมักถือกระบี่ ‘ผลาญเทวา’ ทรงอำนาจ เย่อหยิ่งสูงส่ง ดูแคลนโลกหล้าต่างกับที่เห็นไม่เท่าไหร่
ทำไมถึงบอกต่างกันไม่เท่าไหร่เล่า
นั่นก็เพราะว่าหลังจากจวินซ่างถามหาหมูหันแล้ว คนก็เปลี่ยนเป็นทรงอำนาจขึ้นมา นั่นคือความเย่อหยิ่งสูงส่งตามความคิดของพวกเขา
เฉิงเสี่ยวจวนกับชิงเกอได้แต่คิดในใจ เห็นจวินซ่างทำลายภาพลักษณ์ตัวเองรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน
ยามนี้เสินเซ่อเทียนมองเยี่ยเม่ย
คนทั้งหมดคุกเข่า ไม่ว่าเหล่าแม่ทัพหรือชาวบ้าน มีเพียงเยี่ยเม่ยยืนอยู่คนเดียว ดังนั้นถึงเตะตามาก
เสี้ยวนาทีที่เสินเซ่อเทียนเห็นเยี่ยเม่ยแววตาเขาปรากฏความขบขันคล้ายอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย
เยี่ยเม่ยมีสีหน้าเย็นชาเหมือนเคย จ้องเขานิ่งๆ
รอจนรถม้าเสินเซ่อเทียนมาถึงเบื้องหน้า เยี่ยเม่ยค่อยเอ่ยว่า “พบกันอีกแล้ว!”
“อ้อ เห็นข้าแล้วยังไม่ตกใจ ดูท่าเจ้าคงรู้ฐานะของข้าแล้วสินะ” เสินเซ่อเทียนเลิกคิ้ว ท่าทางอารมณ์ดีไม่เลว
ทุกคนต่างรู้ว่าเสินเซ่อเทียนเป็นคนโอหัง ไม่ยินยอมสนทนากับใครง่ายๆ ได้ฟังว่านอกจากอี้อ๋องและเป่ยเฉินเสียเยี่ยน รวมถึงฝ่าบาทแล้ว ยากนักที่เสินเซ่อเทียนจะเปิดปาดพูดกับใครสักคน อย่างมากก็แค่พยักหน้าหรือไม่ก็ตอบคำเดียว
คิดไม่ถึงว่าเมื่อเขามาถึงก็พูดคุยกับเยี่ยเม่ย กระทั่งท่าทางเหมือนรู้จักกันมาก่อนของทั้งสองคน ทำเอาเหล่าแม่ทัพทั้งหลายมองเยี่ยเม่ยด้วยความชื่นชม ในใจยิ่งทวีความเลื่อมใสนางขึ้นไปอีก
ที่แท้จวินซ่างให้ความสำคัญกับเยี่ยเม่ยเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าทุกคนมีสายตาที่ไม่เลวเลย
เยี่ยเม่ยพยักหน้า เอ่ยนิ่งๆ “ฐานะของเสินเซ่อเทียน กลับมาถามก็มีคนบอกกระจ่างแล้ว อยากรู้หาใช่เรื่องยากเย็น อย่างไรเสียเจ้าก็ไม่คิดปกปิดฐานะกับข้า!”
คำสรรพนามที่นางใช้คือ ‘เจ้า’ หาใช่ท่าน หรือจวินซ่าง
สิ่งนี้ทำให้เสินเซ่อเทียนรู้สึกน่าสนใจ
คนทั้งสองพูดคุยกันราวกับรอบข้างไร้ผู้คน หลังจากรถม้ามาถึงตรงหน้า เสินเซ่อเทียนก็ลงจากรถ กวาดสายตามองคนทั้งหลาย สั่งว่า “ลุกขึ้นเถอะ!”
เสียงเขาไม่ดังมาก แต่ผนึกกำลังภายในไว้ ในระยะหลายลี้ล้วนได้ยินชัดเจน ชาวบ้านและทหารทั้งหลายที่คุกเข่าในเมืองนี้ล้วนได้ยินชัดเจน ต่างก็ลุกขึ้นมา
“ขอบคุณจวินซ่าง!”
ยามนี้เยี่ยเม่ยเลิกคิ้ว เสินเซ่อเทียนสมกับฉายาเกราะกำบังแห่งเป่ยเฉิน เสียงที่เพิ่งเปล่งออกมาเมื่อครู่ ตามหลักแล้วเสียงที่ผนึกกำลังภายในไว้ย่อมดังมาก อย่างนั้นชาวบ้านที่ห้อมล้อมเสินเซ่อเทียนเอาไว้ ได้ยินเสียงดังเช่นนี้ย่อมรู้สึกบาดหู
จากนั้นเสียงค่อยๆ ดังส่งไปถึงหูคนอื่นๆ…
เสียงที่คนรอบนอกได้ยินจะยิ่งเบาลงๆ
แต่เสินเซ่อเทียนกลับทำได้ถึงขั้นใช้กำลังภายในควบคุมเสียงให้ทุกคนได้ฟังแล้ว รู้สึกว่าเป็นระดับเดียวกัน!
เพราะชาวบ้านด้านหน้ามิได้มีใครแสดงออกว่าแสบหู
นั่นก็พิสูจน์ความสามารถในการควบคุมกำลังภายในของเขาได้เป็นอย่างดี
เยี่ยเม่ยมองเสินเซ่อเทียนทีหนึ่ง ถามว่า “เจ้ามาทำอะไรที่ชายแดน” น้ำเสียงนางไม่เกรงใจเลย
เสินเซ่อเทียนเลิกคิ้ว เสียงทรงอำนาจแฝงไปด้วยความสนใจ “ทำไม ข้ามาไม่ได้ หรือเจ้าไม่ต้อนรับกัน”
ยามนี้ชิงเกอรู้สึกหัวใจรัดเกร็ง หากเยี่ยเม่ยมีใจเป็นอื่นจริงๆ ย่อมไม่ต้อนรับจวินซ่าง
ดังนั้นคำพูดนี้ของเยี่ยเม่ย…
ในขณะที่เขาพะว้าพะวงนั้น
เยี่ยเม่ยปรายตามองเสินเซ่อเทียน จากนั้นก็มองคนที่เพิ่งลุกขึ้นมาอย่างสบายอารมณ์ เอ่ยอย่างไม่เกรงใจว่า “เจ้าก็เห็นแล้วนี่ ทันทีที่เจ้ามาถึง ทุกคนก็คุกเข่าให้เจ้า ทุกนับถือเจ้าราวกับเป็นเทวดา ฐานะลูกพี่ใหญ่นำทัพชายแดนคงรักษาไม่อยู่แล้ว ข้ายังจะต้อนรับท่านอีกหรือ”
นางเอ่ยออกมา เซียวเยว่ชิงพลันรู้สึกดับวูบไปหมด
เมื่อครู่นี้เขาเพิ่งได้ยินว่าแม่นางเยี่ยเม่ยจะมาต้อนรับจวินซ่าง ยังหลงคิดว่าแม่นางเยี่ยเม่ยรู้จักการเป็นขุนนางบ้างแล้ว มาตอนนี้ดูท่าจะไม่มีเลยสักน้อย
ต่อให้ใจคิดเช่นนี้ ก็ไม่อาจเอ่ยกับจวินซ่างตรงๆ นี่นา! ไม่รู้ว่าเมื่อจวินซ่างได้ฟังแล้วจะเกิดโทสะหรือไม่
คิดไม่ถึงว่าเมื่อเสินเซ่อเทียนฟังคำพูดของเยี่ยเม่ย อารมณ์หยอกล้อเมื่อครู่ก็หายไปจนสิ้น กลับอารมณ์ดีจนหัวเราะออกมา
ไม่รู้ว่าเขาอารมณ์ดีเพราะความตรงไปตรงมาของเยี่ยเม่ยหรือว่าชอบนิสัยของนาง
เขาก้าวเท้าเดินมุ่งไปกลางเมือง ชุดขาวราวหิมะของเขา รวมถึงสายรัดเอวสีเงินขับเน้นความศักดิ์สิทธิ์เข้มข้นขึ้น แต่กลับเอ่ยกับเยี่ยเม่ยว่า “ไปในเมืองกันก่อนเถอะ! เมื่อครู่ได้ยินเจ้าเอ่ยว่าโง่งมราวกับหมู ความต้องการทางอาหารของข้าก็ถูกปลุกขึ้นมาแล้ว ความสามารถในการย่างนกของเจ้าเด่นล้ำเกินใคร ไม่รู้ว่าการย่างหมูเป็นอย่างไรบ้าง”
เยี่ยเม่ยมองเขา “มีอะไรก็พูดตามตรงเถอะ!”
เสินเซ่อเทียนลูบจมูก ตอบตามสัตย์ “ข้าอยากกินหมูหัน”