เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1 ภาคสยบใต้หล้า] - ตอนที่ 347
เล่ห์รักกลกาล – ตอนที่ 347 แจกันดอกไม้ที่แสดงละครไม่เป็น
เยี่ยเม่ยเงียบไป
นางเข้าใจเจตนาดีของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน แต่ว่านางไม่เข้าใจว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไฉนเขายัง…
เยี่ยเม่ยถอนใจเบาๆ
เอ่ยเสียงนิ่งว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านไม่ควรทำอะไรเพื่อข้าอีก”
อันที่จริงเวลานี้นางไม่จำเป็นต้องให้ลั่วซิงเฉินช่วยเหลือ เพราะนางมีร่างกายที่กันพิษร้อยชนิดได้ในเวลาหนึ่งปี แต่ว่าข้างกายนางยังมีคนอื่นๆ อีก หากมีลั่วซิงเฉินอยู่ด้วย กลับช่วยคนอื่นป้องกันพิษได้
เพียงแต่ เมื่อนางกับเขาเดินมาถึงขั้นนี้ หากนางยังรับความช่วยเหลือจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอีก นางจะรู้สึกว่าตัวเองเสแสร้งเกินไป
“เยี่ยนยินดีทำอะไรก็เป็นเรื่องของเยี่ยน เจ้ารับไว้ก็พอแล้ว”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยก็เตรียมตัวจากไป
เพียงแต่ช่างไม่ประจวบเหมาะเอาเสียเลย
ในขณะที่เขาหันหน้ากลับไป เวลาเดียวกันก็เห็นกูเยว่อู๋เหินเดินเข้ามา
เสี้ยววินาทีที่เห็นกูเยว่อู๋เหิน เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหรี่ตาลง แววตาแผ่อายสังหารออกมา
ส่วนเยี่ยเม่ยในเวลานี้ ก็วิ่งไปอยู่หน้ากูเยว่อู๋เหินในทันที ทั้งยังยื่นมือไปจับแขนเขา เอ่ยถามประโยคหนึ่งว่า “ทำไมท่านเพิ่งมาตอนนี้”
ในคำพูดนี้คล้ายตำหนิที่อีกฝ่ายมาช้า ปล่อยนางคิดถึงอยู่นาน
ในเวลาเดียวกันนางก็ใช้สายตาระแวดระวังมองไปที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยน คล้ายกังวลว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะทำร้ายกูเยว่อู๋เหิน
ภาพเหตุการณ์นี้
ตกอยู่ในสายตาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนย่อมเสียดแทงใจเขานัก ไม่ว่าความกระตือร้นในแววตานางยามมองกูเยว่อู๋เหิน หรือนางที่ระแวดระวังเขาในเวลานี้ ในสายตาเขาล้วนเป็นภาพที่บาดตา
สุดท้ายภายใต้สายตาระแวงของเยี่ยเม่ย เขาก็คลายอายสังหารในแววตา เดินออกไปนอกเรือน
ลั่วซิงเฉินในฐานะคนนอก เห็นภาพนี้ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจับตนกลับมา เก้าในสิบส่วนก็เพื่อคนในดวงใจเขา ไฉนคนในดวงใจของแม่นางเยี่ยเม่ยกลับมิใช่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเล่า
ในเมื่อเป็นเช่นนี้
ลั่วซิงเฉินยากเข้าใจได้ว่า ทำไมองค์ชายสี่ยังต้องทำเรื่องให้วุ่นวายเช่นนี้อีก
เมื่อมองส่งเป่ยเฉินเสียเยี่ยนออกประตูไป
เยี่ยเม่ยส่งสายตาหาลั่วซิงเฉิน เอ่ยว่า “เจ้าออกไปก่อนเถอะ หากมีอะไรให้ช่วย ข้าจะเรียกเจ้าเอง”
“ได้!” ลั่วซิงเฉินรับคำ โบกพัดในมือเดินออกจากเรือนไป
ส่วนเยี่ยเม่ยก็รีบปล่อยมือที่จับแขนกูเยว่อู๋เหินไว้ทันที
ขณะที่เยี่ยเม่ยคลายมือ กูเยว่อู๋เหินก้มหน้ามอง น้ำเสียงราบเรียบของเขาที่ดังขึ้นช้าๆ ในเวลานั้นทำให้คนแยกไม่ออกว่ากำลังเยาะเย้ยหรือว่าประชดประชัน “เจ้าช่างมีฝีมือการแสดงจริงๆ”
หลังจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเข้ามาก็พุ่งเข้ามาจับเขาไว้ พอคนจากไปนางก็เปลี่ยนท่าทางในทันที นี่ยังไม่เรียกว่ามีฝีมือในการแสดงอีกหรือ
เยี่ยเม่ยปรายตามองเขาทีหนึ่ง สีหน้าไม่เรียกว่าเป็นมิตรเท่าไหร่ ทว่าตบบ่าเขา เอ่ยว่า “ดังนั้นขอให้ท่านร่วมมือกับข้าด้วยนะ ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าไม่อยากให้คู่แสดงของข้า เป็นเหมือนแจกันที่ไร้ฝีมือการแสดงใบหนึ่ง”
ประโยคนี้สามารถเรียกได้ว่า เยี่ยเม่ยกำลังย้อนประชดเขา แต่กูเยว่อู๋เหินฟังแล้วกลับอดคลี่ยิ้มมุมปากไม่ได้
เอ่ยว่า “ในเมื่อศิษย์น้องเอ่ยเช่นนี้แล้ว ศิษย์พี่ใหญ่ย่อมต้องพยายาม”
กูเยว่อู๋เหินเอ่ยคำพูดประเภทนี้ อันที่จริงขัดกับนิสัยเฉยชาของเขา แต่ว่าเยี่ยเม่ยหาได้มีอารมณ์ใส่ใจเรื่องพวกนี้
เพียงพยักหน้า เอ่ยเสียงนิ่ง “ขอบคุณ”
หลังจากเอ่ยจบ นางก็เดินกลับห้องตัวเอง
กูเยว่อู๋เหินมองแผ่นหลังเยี่ยเม่ย เอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า “ในเมื่อเจ้าใส่ใจเขาถึงเพียงนี้ ไฉนต้องทำร้ายเขาด้วย”
นับตั้งแต่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจากไป เขาก็มองออกว่าเยี่ยเม่ยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
มาตรว่าใบหน้านางไม่แสดงออก แต่ว่าผิดหวังในดวงตา กูเยว่อู๋เหินยังเห็นได้อย่างชัดแจ้ง เขาเป็นคนฉลาดขนาดไหน มองปราดเดียวก็รู้แล้ว อารมณ์ของนางในตอนนี้ เกิดขึ้นเพราะความใส่ใจ
แต่ว่า ทำไมนางต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า
เยี่ยเม่ยชะงักฝีเท้า แสดงอากัปกิริยาราวกับต้องการผลักไสคนออกไปพันลี้ เอ่ยเสียงเย็นว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ นี่มิใช่ปัญหาที่ต้องท่านต้องกังวล ขอเพียงท่านร่วมแสดงกับข้าก็พอแล้ว!”
กูเยว่อู๋เหินฟังแล้ว
เขาค่อยๆ เดินขึ้นหน้ามา ติดตามฝีเท้าของเยี่ยเม่ย เอ่ยเสียงนิ่ง “แต่เจ้าต้องบอกเหตุผลกับข้า แม้กระทั่งความเชื่อใจขั้นพื้นฐานยังไม่ยินยอมมอบให้ แต่ข้ากลับต้องช่วยเจ้าทำงาน ไม่ยุติธรรมเลย ไม่ใช่หรือ”
เยี่ยเม่ยหันกลับมามองเขา ถามว่า “อย่างนั้นท่านรับปากได้หรือไม่ว่า ท่านจะไม่ทำตัวเป็นยายแก่ปากมาก หรือตาแก่ปากเสีย ต่อให้ท่านรู้ความจริงแล้วจะไม่หลุดปากออกไปแม้แต่คำเดียว!”
เมื่อนางเสนอ มุมปากของกูเยว่อู๋เหินพลันกระตุกอย่างหาได้ยาก
ที่แท้ไม่อาจปล่อยให้เขารู้ หาใช่เพราะไม่เชื่อใจเขา กลัวเขาขายนาง แต่เพราะกลัวเขาปากมากเป็นยายแก่หรือตาแก่อย่างนั้นหรือ
กูเยว่อู๋เหินเงียบไป เสียงเฉยชาเอ่ยอีกว่า “เชื่อว่าเจ้ารู้ว่าข้ามีนิสัยเฉยชา”
เยี่ยเม่ยเข้าใจจุดยืนของกูเยว่อู๋เหินอย่างรวดเร็ว ความจริงแล้วเป็นคนคร้านจะเอ่ยวาจา ทั้งไม่ใคร่สนใจเรื่องราวมากมาย
คำพูดที่เอ่ยกับนางในวันนี้ ดูท่าแล้วคงเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้น้อยมาก ยามปกติเกรงว่าแม้แต่คำพูดเขาคงยังไม่อยากเอ่ย
ดังนั้นบอกกูเยว่อู๋เหินก็คงไม่เป็นอะไร ตำแหน่งฐานะของอีกฝ่ายก็ไม่อาจขายนางเพื่อผลประโยชน์ใดๆ ได้
ดังนั้น
นางเอ่ยออกไปประโยคหนึ่ง “หากข้าบอกว่า จู่ๆ ข้าก็รับรู้ว่าระหว่างข้ากับเขามีหนี้เลือดต่อกัน แบบนี้พอหรือไม่”
กูเยว่อู๋เหินเลิกคิ้ว ตะลึงไปเล็กน้อย
ฝ่ายเยี่ยเม่ยเอ่ยต่อว่า “หากข้าบอกว่า คนทั้งตระกูลของข้าตายตกในเงื้อมมือของตระกูลเป่ยเฉิน ดังนั้นข้ากับเขาก็เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว คำตอบเช่นนี้สามารถอธิบายได้หรือยังว่าทำไมข้าถึงตัดขาดกับเขา”
เมื่อเอ่ยเช่นนี้ออกมา เยี่ยเม่ยรู้สึกถึงความประชดประชัน กำหมัดแน่น “ข้าเห็นพ่อแม่ตายต่อหน้าต่อตาเพื่อปกป้องให้ข้าหนีไปคนเดียว ดังนั้น ข้ายังจะกล้าใช้ชีวิตที่รอดมาได้ไม่ง่ายนี้อยู่ร่วมกับบุตรชายของศัตรูได้หรือ”
กูเยว่อู๋เหินเงียบไปสักพัก ตอบกลับมาเสียงเรียบว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”
ในโลกนี้ไม่มีใครเข้าใจได้ดีไปกว่าเขาอีก ตอนเด็กคนในตระกูลก็ตายต่อหน้าต่อตาเขา บิดามารดาทุ่มเทแรงกายทั้งหมดถึงทำให้ผู้อาวุโสพาเขาหนีออกมาได้
ความแค้นเช่นนี้
มาตรว่ายามนี้แก้แค้นสำเร็จ กูเยว่อู๋เหินยังไม่อาจลืมได้แม้ชั่วขณะ ดังนั้นเขาถึงได้เข้าใจความรู้สึกเยี่ยเม่ย
เขาไม่ถามมากอีก
เดินตามเยี่ยเม่ยมุ่งหน้าไปทางห้องนาง น้ำเสียงราบเรียบก็ดังตามว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าคงคิดจะแก้แค้นราชสำนักเป่ยเฉินแล้ว”
ในเมื่อเป็นหนี้เลือด ใครก็ไม่อาจปล่อยวางได้
“ใช่!” เยี่ยเม่ยตอบกลับด้วยเสียงหนักแน่น