เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1 ภาคสยบใต้หล้า] - ตอนที่ 348
เล่ห์รักกลกาล – ตอนที่ 348 กลายเป็นสหายรู้ใจ
“คนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ยากเข้าใจว่าทำไมเจ้าถึงทำเช่นนี้ แต่ว่าข้าเข้าใจ” กูเยว่อู๋เหินเปรยขึ้นมา
พูดจบแล้ว
เขาปรายตามองเยี่ยเม่ย “เยี่ยเม่ย บางทีอย่างน้อยพวกเราอาจเป็นสหายผู้รู้ใจกันได้”
นี่เป็นครั้งแรกที่กูเยว่อู๋เหินเอ่ยความคิดแท้จริงที่มีต่อเยี่ยเม่ยออกมา
อันที่จริงเขามอบของหมั้นหมายให้นาง เขามีความชื่นชมนาง รู้สึกว่าอีกฝ่ายคู่ควรกับตน แต่กลับมีปัจจัยอีกหลายอย่าง ส่วนความรู้สึกรักนั้น กลับมีไม่มากเท่าไหร่
ในเวลานี้
เขาพลันรู้สึกว่าอารมณ์ที่สงบนิ่งไม่ไหวติงมาก่อนของตน สั่นไหวเพราะคำพูดของนางเมื่อครู่ บางทีเพราะเกิดความสงสารคนประเภทเดียวกัน บางทีอาจเพราะอย่างอื่น ในเวลานี้กูเยว่อู๋เหินจำแนกได้ไม่ชัดเจน ทั้งไม่อยากจำแนกชัดเจน
สรุปแล้วเขาโชคดีกว่าเยี่ยเม่ยที่หลังจากหลงรักคนที่ไม่ควรรักไปแล้ว โชคชะตาค่อยเปิดโปงความจริงทุกอย่างออกมา
ดังนั้นเขายังคงรักษาความเฉยชาสันโดษเอาไว้ได้
แต่ว่าเยี่ยเม่ย…
เกรงว่านางคงไม่อาจทำได้กระมัง
ครั้นได้ยินคำพูดเขาประโยคนี้ เยี่ยเม่ยที่อารมณ์ไม่สู้ดีนักมาตลอด กลับอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย หันกลับไปมองเขาทีหนึ่ง แววตาแฝงไปด้วยความเป็นมิตรไม่น้อย เอ่ยว่า “หากเป็นเช่นนี้ ก็ดีที่สุดแล้ว”
ความจริงนางไม่เข้าใจเลย ทำไมกูเยว่อู๋เหินอยากแต่งงานกับนางอย่างไร้เหตุไร้ผล
นี่เป็นสาเหตุให้ยามที่นางรับรู้ว่าขลุ่ยหยกโลหิตที่เอวเป็นของหมั้นหมาย อันที่จริงนางไม่อยากเชื่อ ยามนี้เมื่อกูเยว่อู๋เหินเอ่ยประโยคนี้ออกมา รู้ได้ว่าอีกฝ่ายหาได้เกิดความรักต่อนาง นางกลับรู้สึกสบายใจมาก
อย่างน้อย ยามเล่นละครกับอีกฝ่าย นางก็จะไม่รู้สึกอึดอัดมากนัก
ถือว่าเป็นการช่วยเหลือจากสหายก็พอแล้ว
เมื่อนางกล่าวเช่นนี้ กูเยว่อู๋เหินคล้ายไม่ยินดีนัก กวาดตามองนางนิ่ง เสียงราบเรียบเอ่ยว่า “ทำไม หากข้าชอบเจ้าจริงๆ เป็นการลบหลู่เจ้าหรือไง”
เมื่อได้ฟังว่าฐานะของนางในใจของเขาเวลานี้คือหสายผู้รู้ใจ นางจำเป็นต้องดีใจถึงขั้นนี้เชียวหรือ
“ไม่! เป็นเกียรตินัก แต่เกรงว่าจะรับไว้ไม่ไหว” เยี่ยเม่ยตอบกลับไปตามความคิด ทั้งยังอยากขำ ถูกคนอย่างกูเยว่อู๋เหินชอบ ย่อมคู่ควรให้นางดีใจ เป็นการพิสูจน์ว่าตนมีเสน่ห์ ทั้งยังทรงเสน่ห์มากด้วย แต่ว่า…
ในเวลานี้นางยังไม่มีใจพูดคุยเรื่องเหล่านี้
กลังจากเอ่ยจบ เยี่ยเม่ยก็ชิงเข้าห้องไปก่อน
ส่วนกูเยว่อู๋เหินยังยืนมองแผ่นหลังของนางอยู่ที่เดิม มุมปากยกยิ้มจางๆ เขาควรบอกนางหรือไม่ว่า ความรักลึกซึ้งที่มีต่อนางไม่เป็นความจริง แต่อยากแต่งงานกับนางกลับเป็นความจริง
มิฉะนั้นคนที่มีนิสัยชืดชาเช่นเขาคงไม่ต้องรอนแรมพันลี้มาถึงชายแดนแล้ว
เพียงแต่ว่า นางในยามนี้คงไม่อาจเดินออกมาจากความรักของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ ดังนั้นเวลานี้เขาไม่อยากพูดมาก เฝ้ารออย่างเงียบๆ ไปก็แล้วกัน
……
มู่หรงเหยาฉือรออยู่หน้าประตูเมืองเป็นเวลานานก็ไม่เห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับมา ทว่าพบเสินเซ่อเทียนที่นำเฉิงเสี่ยวจวนและเป่ยเจี้ยนเกอกลับมาแทน
ยามพบเสินเซ่อเทียน มู่หรงเหยาฉือยังคงคุกเข่าด้วยความเคารพนับถือ “จวินซ่าง”
เสินเซ่อเทียนตอบว่า “อืม” คำเดียว สายตาไม่มองนางก็เดินผ่านมู่หรงเหยาฉือจากไป หญิงสาวย่อมเข้าใจว่า เสินเซ่อเทียนไม่เห็นนางอยู่ในสายตาเลยสักนิด แม้กระทั่งกวาดตามองนางยังไม่ทำเลย
แต่นางหาได้ใส่ใจ
หลังจากหน้าง้ำไปเล็กน้อย ก็รีบเอ่ยว่า “จวินซ่าง ไม่ทราบว่าจวินซ่างทราบหรือไม่ว่ายามนี้องค์ชายสี่อยู่ที่ใด”
ไหนว่าองค์ชายสี่ไปหาจวินซ่างกับเยี่ยเม่ยแล้วมิใช่หรือ
ไฉนมีแค่จวินซ่างกับเยี่ยเม่ยที่กลับเข้าเมืองมา แต่ไม่มีเงาของคนที่ตนอยากพบผู้นั้นเพียงคนเดียว
เสินเซ่อเทียนไม่สนใจนาง
หลังจากเดินไปได้หลายก้าว กลับตระหนักได้ หากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับมู่หรงเหยาฉือผูกสัมพันธ์กัน อย่างนั้นระหว่างเขากับเยี่ยเม่ยก็มีโอกาสมากขึ้นแล้วมิใช่หรือ กำจัดศัตรูหัวใจไปได้คนหนึ่ง ทำไมเขาจะไม่ยินดีเล่า
คิดได้ดังนี้
เสินเซ่อเทียนหยุดฝีเท้า น้ำเสียงศักดิ์สิทธิ์ของเขาดังขึ้นว่า “เขากลับมาก่อนแล้ว เจ้าไม่ได้พบเขาหรือ บางทีเขาอาจใช้กำลังภายในเดินเหินเข้าเมืองไปแล้วก็ได้”
หรือบางทีเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอาจยังไม่กลับมา
แต่เสินเซ่อเทียนคิดว่าเป็นไปไม่ได้
นับจากเยี่ยเม่ยจากมา จิตใจของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนคล้ายติดตามกลับมาด้วยแล้ว ดังนั้นเขามั่นใจว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับเข้าเมืองมาแล้ว และหากเขาคาดเดาไม่ผิด เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสมควรไปหาเยี่ยเม่ยทันที
ดังนั้นหากบอกว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังไม่กลับมา เสินเซ่อเทียนยังไม่อยากเชื่อ
“นี่…” มู่หรงเหยาฉือหน้าเปลี่ยนสี
นางคิดไม่ถึงเลยว่า ตัวเองยืนอยู่ที่นี่ทนลมหนาวอยู่ตั้งนาน เพราะอยากให้องค์ชายสี่รับรู้ถึงความจริงใจของนางที่อยากพบเขา ผลคือรออยู่ครึ่งค่อนวันยังไม่ได้พบหน้า องค์ชายสี่ไม่รู้สักนิดว่านางรออยู่ที่นี่
อารมณ์ของมู่หรงเหยาฉือในยามนี้ เกิดความอยากด่าว่าคนขึ้นมาแล้ว
แต่นางไม่ลืมภาพลักษณ์กุลสตรีของตน จึงไม่เอ่ยอะไร กล้ำกลืนฝืนทนไว้ เพียงเผยท่าทีผิดหวังเอ่ยว่า “น่าเสียดายนัก คิดไม่ถึงว่าองค์ชายสี่จะไม่ได้เดินมาทางนี้ เหยาฉือรออย่างเสียเปล่าตั้งนาน”
ระหว่างเอ่ย มุมปากนางยังอมยิ้มไว้
เสินเซ่อเทียนไม่แสดงออกอะไร ไม่พูดมากอีก ก็เดินจากไป
สาวใช้ประคองมู่หรงเหยาฉือลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปในเมือง ความจริงยามนี้นางหนาวจนสั่นงก อารมณ์เลวร้ายจนสุดขีด เรียกว่าแทบจะบ้าแล้ว!
นางสัมผัสได้ว่าแขน มือ ขา และเท้าของตนเองถูกลมหนาวโกรกเสียจนไร้ความรู้สึก
ทว่านางยังคงรักษากิริยาของตนไว้
หลูเซียงฮั่วมองส่งมู่หรงเหยาฉือจากไปไกล เขาเพียงรู้สึกว่า ท่านหญิงเหยาฉือโชคร้ายนัก ดูท่าทางนางคล้ายเฝ้ารอองค์ชายสี่เป็นอย่างมาก ผลคือไม่ได้พบองค์ชายสี่ ได้พบเยี่ยเม่ยและจวินซ่าง ทั้งสองคนนี้ไม่เกรงใจนางเลยสักนิดเดียว
นี่ทำให้หลูเซียงฮั่วไม่เข้าใจ
ไฉนจวินซ่างและแม่นางเยี่ยเม่ยดูคล้ายจะไม่ชอบกุลสตรีที่หาได้ยากยิ่งอย่างท่านหญิงเหยาฉือ
บางทีคนที่มีความสามารถคงแตกต่างกับพวกเขากระมัง
หลูเซียงฮั่วแอบคิดเงียบๆ
……
มู่หรงเหยาฉือเดินเข้าเมือง หลังจากห่างออกจากฝูงชนมาได้ รอบด้านถนนไม่เหลือใครอีก นางเดินไปน้ำตาก็ไหลพราก
นางกัดฟันเอ่ยว่า “เพราะอะไรกันแน่ ข้าลำบากขนาดนี้แม้แต่หน้ายังไม่ได้พบ ทำไมสวรรค์ถึงไม่ยุติธรรมกับข้าเลย ทำไมตั้งแต่เล็กข้าต้องอดทนมากกว่าผู้อื่น แต่กลับได้รับน้อยกว่ามากนัก!”
สาวใช้เห็นนางเป็นเช่นนี้ พลันรู้สึกบอกไม่ถูก ปลอบว่า “ท่านหญิง บางทีอาจจะบังเอิญ องค์ชายสี่ไม่รู้ว่าท่านรออยู่ที่หน้าประตูเมือง คงมิได้ตั้งใจหลบหน้าท่าน!”