เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] - ตอนที่ 36
ก็ดี สรุปแล้วเยี่ยเม่ยไม่อยากพบเขา
เช่นนั้นก็ปล่อยไปตามนี้ก่อนแล้ว
รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวจากจวนแม่ทัพใหญ่มา
……
หลังจากเยี่ยเม่ยกลับเข้าในจวน ก็เห็นข้าวของเปล่งประกายวางอยู่กลางห้องโถง
ใบหน้าซือหม่าหรุ่ยเต็มไปด้วยความพูดไม่ออก มองเยี่ยเม่ย “เจ้ากลับมาได้เสียที นี่! ของเหล่านี้ มีที่องค์ชายสี่ส่งมา มีที่เสินเซ่อเทียนส่งมา ข้าตรวจสอบหมดแล้วล้วนเป็นเครื่องประดับ อัญมณี ผ้าไหมแพรพรรณมีค่าควรเมืองทั้งนั้น ทั้งยังมีของบำรุงความงาม กล่องนี้คือผงไข่มุกหนานไห่ ข้าช่วยเจ้าเก็บไว้แล้ว!”
ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยไปพลางยกกล่องเล็กๆ ในมือขึ้นมา จากนั้นก็ยัดใส่แขนเสื้อตนไปอย่างว่องไว
โดยนิสัยของเยี่ยเม่ยไม่มีความสนใจต่อทรัพย์สินเงินทองของมีค่า แต่ว่านางก็รู้ดี ตนเองกำลังเตรียมรับคนตั้งทัพ ซื้ออาวุธเพื่อเตรียมกองกำลังทหารจำเป็นต้องใช้เงิน ถึงเงินในท้องพระคลังจะมีไม่น้อย แต่มีมากไว้ก่อนก็ยิ่งดี เพียงแต่ของที่ไม่ควรรับ นางก็จะไม่รับไว้
ดังนั้นเยี่ยเม่ยพยักหน้า เอ่ยนิ่งๆ ว่า “ของพวกนี้รับไว้ชั่วคราวก่อนเถอะ”
สำหรับเครื่องประทินโฉม นางเป็นคนที่ไม่ชอบแต่งเนื้อแต่งตัวก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผงไข่มุกหนานไห่แล้ว แม้แต่สรรพคุณของมันนางยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ
เยี่ยเม่ยเสนอว่า “ของที่แม่นางทั้งหลายชอบ หากเจ้ากับซินเยว่เยี่ยนและจงรั่วปิงชอบ ก็เอาไปเถอะ ข้าไม่ชอบของพวกนี้”
ซือหม่าหรุ่ยเหลียวมองเยี่ยเม่ย “ถึงเจ้าจะสวยโดยธรรมชาติ แต่ว่าเจ้าก็อย่าเหิมเกริมไปนัก สตรีน่ะ รักษารูปโฉมของตัวเองไว้บ้าง ก็เป็นเรื่องสมควร! ผงไข่มุกหนานไห่หายากมาก เสินเซ่อเทียนมอบมาให้เพียงกล่องเดียว แต่กลับมีมุกล้ำค่าถึงสิบลัง เลือกเม็ดที่ดีที่สุดไม่กี่เม็ดออกมา บดจนเป็นผงใช้บำรุงผิวพรรณ ของดีแบบนี้เงินทองพันตำลึงยังยากจะหาซื้อมาได้ เจ้าไม่ต้องการ ข้าจะช่วยเจ้าเอง!”
อย่างไรเสียซือหม่าหรุ่ยก็เอ่ยออกไปแล้ว จะเอาหรือไม่ก็เป็นเรื่องของเยี่ยเม่ย ส่วนของที่นางเก็บเข้าแขนเสื้อไปแล้ว ต่อให้เยี่ยเม่ยต้องการนางก็ไม่เอาออกมาอีก
เยี่ยเม่ยยิ้มมองอีกฝ่ายไม่อยากต่อความมาก นางเอ่ยปากอีกครั้งว่า “ของจำพวกมีราคาล้ำค่ากองนี้ แยกให้ดีว่าอันใดเป็นของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหรือเสินเซ่อเทียน รอจนข้าเลือกได้แล้วว่าจะแต่งกับใคร ข้าวของอื่นๆ ก็จะได้ส่งคืนเจ้าของไป”
ในเมื่อไม่คิดยอมรับผู้อื่น ก็ไม่อาจรับของกำนัลมีค่าจากผู้อื่น นี่คือมารยาทพื้นฐานของสตรีผู้หนึ่งที่พึงปฏิบัติต่อความรักและการรับไมตรี
ไม่ว่าในยุคโบราณหรือยุคปัจจุบัน เยี่ยเม่ยก็ยึดมั่นในหลักการนี้
ซือหม่าหรุ่ยมีสีหน้าขมขื่น “อ๋า? ไม่นะ! ถ้าเป็นแบบนี้ เจ้าต้องไม่แต่งกับเสินเซ่อเทียนแน่ ผงไข่มุกของเสินเซ่อเทียนก็ต้องคืนกลับไปด้วยน่ะสิ”
นางไม่ได้พบเซียวชินมาหลายปีแล้ว เบื้องลึกของจิตใจหวังว่าวันใดที่เซียวชินปรากฏกายต่อหน้านางอีก นางยังคงมีรูปโฉมงดงามที่สุดเช่นเดียวกับวันวาน
ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่อาจต้านทานเครื่องบำรุงผิวพรรณชั้นสูงได้จริงๆ
เยี่ยเม่ยหัวเราะ เอ่ยว่า “ข้าบอกแล้ว ของที่พวกเจ้าทั้งสามชอบก็เลือกไปใช้ เมื่อถึงเวลาข้าไม่เลือกเขา ก็เลือกของขวัญล้ำค่าหลายชิ้นส่งกลับไปก็พอแล้ว”
“แบบนี้ก็ดี!” ซือหม่าหรุ่ยรีบพยักหน้าเห็นด้วยกับวิธีการของเยี่ยเม่ย
เยี่ยเม่ยไม่พูดมากความอีก มุ่งตรงกลับห้องตัวเอง
……
คืนวันนี้
จวนองค์ชายสี่
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถามอวี้เหว่ย “ของที่ส่งไปให้เยี่ยเม่ย นางรับไว้แล้วหรือยัง”
“รับไว้แล้ว” อวี้เหว่ยพยักหน้า จากนั้นเอ่ยต่อ “จวินซ่างก็ส่งของประเภทเดียวกันไป แต่จวินซ่างหาได้เข้าใจแม่นางเยี่ยเม่ยเช่นท่าน ดังนั้นเขาจึงส่งผ้าไหมแพรพรรณไปด้วย ท่านรู้ว่าแม่นางเยี่ยเม่ยไม่ชอบพวกผ้าไหมหลากสี ดังนั้นพวกเราจึงไม่ได้ส่งของไป ยามปกติแม่นางเยี่ยเม่ยมิได้ชอบการแต่งตัวมากนัก แต่ไรมาก็ไม่แต่งหน้า ดังนั้นพวกเราจึงไม่ส่งเครื่องประทินโฉม อืม…”
อวี้เหว่ยวิเคราะห์ ในที่สุดก็สรุปว่า “ดังนั้นข้าคิดว่าของขวัญของพวกเราต้องถูกใจแม่นางเยี่ยเม่ยมากกว่าจวินซ่างอย่างแน่นอน”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า ค่อยๆ ถามขึ้นว่า “แต่ ไม่มีจดหมายตอบกลับมาเลยหรือ”
“ไม่มี!”
อวี้เหว่ยเงียบสงบลง รู้สึกเหมือนก้อนหินจมลงในมหาสมุทร สรุปแล้วแม่นางเยี่ยเม่ยชอบหรือไม่ชอบกันแน่นะ
……
ตำหนักเขาหลินซาน
เสินเซ่อเทียนมองเฉิงเสี่ยวจวนด้วยความสงสัย ถามว่า “เจ้ามั่นใจจริงๆ ว่า สิ่งที่ส่งไปล้วนเป็นของที่สตรีชมชอบอย่างนั้นหรือ”
“มั่นใจ!” เฉิงเสี่ยวจวนพยักหน้าจริงจัง
เสินเซ่อเทียนครุ่นคิดครู่หนึ่ง กลับถามว่า “แล้วไฉนไม่มีการตอบรับกลับมาเลย อย่างน้อยฝากคำพูดมาก็ยังดี ทำให้ข้ารู้ว่านางชอบหรือไม่ชอบกันแน่”
เฉิงเสี่ยวจวนก็งุนงงเช่นกัน ตามหลักแล้วเมื่อส่งของขวัญออกไป ยามนี้เยี่ยเม่ยก็สมควรมีปฏิกิริยาตอบรับกลับมาบ้าง ต่อให้เป็นคำพูดขอบคุณตามมารยาทก็นับว่าเป็นการตอบกลับ มิใช่หรือ
แต่นี่เหมือนกับหินจมดิ่งในมหาสมุทร ไม่มีการตอบรับสักนิดเดียว
หลังจากเฉิงเสี่ยวจวนคิดแล้วคิดอีก ก็ตอบว่า “บางทีแม่นางเยี่ยเม่ยเป็นคนเย็นชาเป็นพิเศษ จึงไม่ชอบเอ่ยคำขอบคุณ!”
เฉิงเสี่ยวจวนเอ่ยด้วยความจริงจังอย่างยิ่ง
หลังจากเสินเซ่อเทียนนิ่งไปสักพัก ถามว่า “เจ้ามั่นใจว่าข้าไม่สมควรส่งอาหารไปแล้วจริงๆ ? วันนี้ไก่ป่าตัวนั้น…”
เฉิงเสี่ยวจวนตอบ “…จวินซ่าง ท่านอย่าได้เน้นย้ำถึงไก่ป่าตัวนั้นแล้ว ข้ารู้ว่าไก่ป่าอร่อยมากจริงๆ ทำให้ท่านไม่อาจลืมได้ ทั้งท่านยังคิดอยู่ลึกๆ ว่า ทำอาหารจานนี้ให้แม่นางเยี่ยเม่ย ต้องทำให้นางเห็นท่านต่างออกไปจากเดิมแน่ อืม… สิ่งที่ท่านคิดจะพูด ข้าล้วนเข้าใจดี แต่หวังว่าท่านจะเข้าใจด้วยเช่นกัน ว่ามันไม่มีประโยชน์ห่าเหวอันใดทั้งนั้น”
ชิงเกอส่งสายตาให้เฉิงเสี่ยวจวน เอ่ยอย่างทนไม่ไหวว่า “เจ้าใช้คำพูดอะไรของเจ้า”
ประโยชน์ห่าเหว?
ใช่คำที่สตรีสมควรพูดหรือ
เฉิงเสี่ยวจวนหันกลับไปมองเขา “หุบปากไปเลย!” นึกว่านางอยากพูดคำหยาบนักหรือไง ยังไม่ใช่เพราะจวินซ่างช่าง…ทำให้คนจนปัญญาจริงๆ ด้วยแนวคิดจำพวกว่าข้าชอบกินไก่ป่าของจวินซ่าง แล้วคิดว่าเจ้าจะต้องชอบเหมือนข้า ทั้งเจ้าต้องดีใจมากที่ข้ายอมแบ่งปันของรักกับเจ้า ชั่วชีวิตนี้ก็อย่าคิดตามจีบสตรีอีกเลย
มีก็แต่จะสตรีที่เข้าหาเพราะเงินมาเท่านั้นแหละ
เสินเซ่อเทียนไม่สนใจคำพูดหยาบคายของเฉิงเสี่ยวจวน เขารู้อยู่ในใจว่าเฉิงเสี่ยวจวนก็หาได้เคารพเขาเท่าไรนักอยู่แล้ว นางก็แค่แตกตื่นมากไปเท่านั้น
เห็นนางเอ่ยอย่างมีหลักการ
เขาครุ่นคิดแล้วพยักหน้า “อย่างนั้นก็ดี ข้าเชื่อเจ้า ให้เจ้าส่งของขวัญต่อไปเป็นการชั่วคราว”
เฉิงเสี่ยวจวนเอ่ยด้วยความจนปัญญา “ก็ทำได้แค่นี้แล้ว จวินซ่าง ข้าจะบอกท่านไว้ ของขวัญที่องค์ชายสี่ส่งมอบไปไม่ต่างจากท่านมาก ส่วนพวกเรายังของออกไปมากกว่าองค์ชายสี่ มีผ้าไหมแพรพรรณ เครื่องประทิมโฉม คาดว่าแม่นางเยี่ยเม่ยต้องชอบของของพวกเรามากกว่าแน่!”
ลองถามดูเถิด ในโลกนี้มีสตรีสักกี่คนที่ไม่ชอบเสื้อผ้าสวยยาม ไม่รักถนอมรูปโฉมของตัวเองบ้าง
“เจ้าพูดก็ถูก!” เสินเซ่อเทียนพยักหน้า
……
ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างมีใจหลงตัวเองว่าตนส่งของออกไปดีกว่า กลัดกลุ้มกังวลใจจนเกินเหตุข้ามคืน…