เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] - ตอนที่ 44
ในระหว่างที่ฮ่องเต้แปลกพระทัย
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เสริมว่า “ยามนี้ลูกจะแต่งงานแล้ว หลายปีที่ผ่านมาไม่เคยทำสิ่งใดเพื่อราชสำนักเป่ยเฉินเลย ดังนั้นลูกคิดใช้โอกาสนี้ เก็บตราพยัคฆ์ไว้เพื่อช่วยเสด็จพ่อฝึกทหาร !”
เมื่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอธิบาย เสียงดังเซ็งแซ่ทั่วท้องพระโรง
ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งท้องพระโรงนี้ต่างรู้สึกขบขันระคนแปลกใจ พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่า องค์ชายสี่ที่เมื่อก่อนไม่เคยสนใจเรื่องใด จู่ๆ ก็พลันต้องการอำนาจทางทหารขึ้นมา ซ้ำยังคิดช่วยฮ่องเต้แบ่งเบาภาระหน้าที่
พวกเขาไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม
พวกเขาคงมิได้แก่ถึงขั้นเป็นโรคหลงๆ ลืมๆ เดิมเข้ามาอยู่ผิดที่ หรือว่าเกิดภาพหลอนแล้วใช่หรือไม่ นี่เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์เสียยิ่งกว่าฝนแดงตกจากท้องฟ้าชวนให้คนครุ่นคิดเสียอีก
ฮ่องเต้เองก็รู้สึกน่าขันแล้ว
นี่มันเรื่องอันใดกัน องค์ชายผู้นี้จู่ๆ ก็เหมือนคนเสเพลกลับใจ เพราะอะไรหัวใจของพระองค์ไม่รู้สึกยินดีสักน้อย นอกจากความแปลกใจแล้ว ก็มีแต่ความแปลกใจ
หรือว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแต่งภรรยาแล้ว จึงคิดตั้งใจทำงาน ฮ่องเต้ได้แต่ไตร่ตรองเงียบๆ
ในเวลานี้
จงซานกลับก้าวออกมา “ฝ่าบาท องค์ชายสี่เอ่ยไม่ผิด ในฐานะองค์ชายสี่เป็นองค์ชายของราชสำนักเป่ยเฉิน หลายปีที่ผ่านมามิได้กระทำการอันใดเพื่อราชสำนักเลย ยามนี้เมื่อองค์ชายสี่มีโอกาสอันดีที่แบ่งเบาภาระ ฝ่าบาทสมควรรับปากองค์ชายสี่ถึงจะถูกนะพ่ะย่ะค่ะ!”
เมื่อจงซานเสนอ
ฮ่องเต้ทรงชะงักงันอีกครั้งหนึ่ง ทอดพระเนตรมองจงซานด้วยความแปลกพระทัย หลายปีที่ผ่านมานี้ไม่เคยได้ยินว่าระหว่างจงซานกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีความสัมพันธ์ใดๆ กันมาก่อน ยามนี้จงซานยังช่วยเป่ยเฉินเสียเยี่ยนพูด
เป่ยเฉินเสียงก็มองจงซานด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ
ไหนจงซานบอกว่าอยู่ข้างเขา จะทุ่มเทแรงกายแรงใจสนับสนุนเขา ช่วยให้เขาขึ้นครองบัลลังก์มิใช่หรือ ไฉนเวลานี้ถึงช่วยเป่ยเฉินเสียเยี่ยนพูดแล้วเสียเล่า
คิดไม่ถึงว่าเป่ยเฉินเสียงมองจงซานคราหนึ่ง
จงซานกลับส่งสายตาให้เขา ทำให้เป่ยเฉินเสียงหวนคิดถึงขึ้นมาได้ทันที หลายวันก่อนจงซานเคยบอกเขาว่าต้องการให้เขาร่วมมือกับจงซานทุกอย่าง เช่นนี้จงซานถึงช่วยเขาได้
เป่ยเฉินเสียงยังคงลังเลอยู่ในใจสักครู่
เขารู้สึกว่าเรื่องนี้เขาไม่ควรช่วยสนับสนุนจงซาน สนับสนุนให้ศัตรูครอบครองอำนาจทางการทหาร นี่เขาเป็นตัวตลกไปแล้วหรืออย่างไร
เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้โง่งมถึงขั้นนั้น
จากนั้นจงซานเห็นเป่ยเฉินเสียงไม่เคลื่อนไหว ก็ร้อนรนส่งสายตาให้อีกฝ่ายอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เป่ยเฉินเสียงสงสัยอยู่ในใจ คิดว่าบางทีเรื่องนี้อาจจะสำคัญมากจริงๆ ต้องให้เขาร่วมมือด้วยส่งมอบตราทัพให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนอย่างนั้นหรือ
เป่ยเฉินเสียงคิดอยู่นานก็ไม่เข้าใจเหตุผลที่ตัวเองต้องทำเช่นนี้ ทั้งไม่เข้าใจว่าเขาทำไปแล้ว นอกจากผลเสียแล้ว ยังจะได้ประโยชน์ใดอีก
แต่ว่า…
เวลานี้สีหน้าจงซานเปลี่ยนไปเป็นเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส คล้ายกับว่าเป่ยเฉินเสียงคือดินร่วนที่ไม่อาจก่อเป็นกำแพงได้ ไม่ยอมช่วยเหลือเขา ย่อมไม่มีอนาคตอันใดแน่นอน
เป่ยเฉินเสียงเริ่มลนลานแล้ว
ด้วยเหตุนี้
ต่อให้เขามีความแคลงใจ รู้สึกว่าเมื่อตัวเองเอ่ยกับฮ่องเต้ออกไปต้องกลายเป็นตัวตลกอย่างแน่นอน แต่เขาก็ยังแสดงการกระทำเขลานี้ออกไป เป่ยเฉินเสียงประสานมือคารวะฮ่องเต้ “เสด็จพ่อ ลูกคิดว่าคำพูดของใต้เท้าจงมีเหตุผล ในเมื่อน้องสี่มีใจไม่สู้เสด็จพ่อให้โอกาสเขาสักครั้งหนึ่ง!”
เมื่อเอ่ยถึงยามนี้ ในสมองของเป่ยเฉินเสียงมีแต่ภาพสายตาเมื่อครู่ของจงซานรวมไปถึงสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไป เขาคิดว่าหากไม่ใช่เพราะจงซานแสดงละครเก่ง อย่างนั้นเมื่อเขาพูดแบบนี้ไปแล้ว จึงมีประโยชน์กับตัวเองจริงๆ
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงยอมช่วยพูด…
จงซานเผยสีหน้าคลายใจออกมาทันใด มองเป่ยเฉินเสียงอย่างชื่นชม
ซือถูจ้าวรู้สึกว่าภาพเบื้องหน้าดำมืดแล้ว สายตาที่มองเป่ยเฉินเสียงคล้ายเห็นสุกรโง่งมก็ไม่ปาน เขาก้าวออกมาเอ่ยปากว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่าเรื่องนี้ไม่สมควร แต่ไรมาองค์ชายสี่ไม่เคยฝึกทหารมาก่อน ในยามนี้มอบกำลังทหารจำนวนมากให้แก่องค์ชายสี่ ก็ออกจะ…”
ความจริงฮ่องเต้ก็ทรงกลัดกลุ้ม
เหมือนกับที่พระองค์ไม่เข้าใจที่จงซานช่วยเอ่ยให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ทรงเห็นเป่ยเฉินเสียงช่วยเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เขายังรู้สึกว่าอารมณ์ในเวลานี้แปลกใจคล้ายกับกินอาจมลงไปไม่ปาน
นี่มันสถานการณ์อะไรกัน
เป่ยเฉินเสียงเกลียดเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมากแค่ไหน ต่อให้ใช้หัวแม่เท้าคิดฮ่องเต้ยังทรงคิดได้อย่างแจ่มแจ้ง คราวนี้ถึงกับช่วยเป่ยเฉินเสียเยี่ยนขอตราคุมทัพ เกรงว่าคงจะบ้าไปแล้วกระมัง
ฮ่องเต้ทรงรู้สึกว่าในท้องพระโรงแห่งนี้บางทีอาจมีเสนาบดีคนเดียวเท่านั้นที่ยังปกติอยู่ เสนาบดีไม่เพียงคอยสนับสนุนเป่ยเฉินเสียง ซ้ำยังเกลียดเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมาก ยามนี้เขาออกมาคัดค้าน ก็สมเหตุสมผลเป็นการกระทำที่ถูกต้อง
เมื่อคิดได้ ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองสีหน้าที่แตกต่างออกไปของคนหลายคนนี้ ก็เริ่มลังเล อันที่จริงความเห็นแก่ตัวในใจไม่ยินยอมให้มอบตราคุมทัพให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยน นั่นมิใช่เพราะไม่เชื่อใจ อย่างไรเขาก็เป็นบุตรชายของพระองค์ ฮ่องเต้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหาได้ฝักใฝ่ในราชบัลลังก์ มอบตราคุมทัพให้เขาก็หาใช่เรื่องใหญ่
ยิ่งไปกว่านั้นก็แค่ทัพทหารสองแสนนายเท่านั้นเอง
แต่ว่า…
อำนาจทางทหารนี้ ฮ่องเต้รู้สึกว่าเก็บไว้กับพระองค์ยังจะวางใจได้มากกว่า ดังนั้นพระองค์ทรงมองเป่ยเฉินอี้ ตรัส “อี้อ๋อง องค์ชายสี่ขอทหารสองแสนนายกับข้า ท่านมีความเห็นว่าอย่างไร”
เป่ยเฉินอี้พ่ายการแย่งชิงเยี่ยเม่ยจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ดังนั้นฮ่องเต้ดำริว่าเรื่องนี้เป่ยเฉินอี้สมควรคัดค้านอย่างแน่นอน
อีกทั้งพระองค์ยังเชื่อมั่นในการสร้างสถานการณ์รวมถึงวาทศิลป์ของเป่ยเฉินอี้ ขอเพียงเขาเอ่ยปาก พระองค์ก็จะปฏิเสธคำขอของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้อย่างสมเหตุสมผล
คิดไม่ถึงว่า
ขณะที่ฮ่องเต้กำลังวางแผนอยู่ในใจ เป่ยเฉินอี้เอ่ยถามด้วยเสียงขรึม “ความหมายของเสด็จพี่คือ ไม่ว่ากระหม่อมพูดอะไร ท่านก็จะทำตามความเห็นของกระหม่อมอย่างนั้นหรือ”
ฮ่องเต้ถูกถามจนชะงักไป
ตามหลักแล้วยังต้องวิเคราะห์อีก ทั้งยังต้องพิจารณาคำพูดของคนทั้งหมดอีกด้วย
แต่มาคิดๆ ดูแล้ว ยามนี้เป่ยเฉินอี้สมควรเกลียดเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นอย่างมาก สิ่งที่เขาเอ่ยออกมาต้องเป็นคำที่พระองค์ปรารถนาอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้ทรงพยักหน้า ตรัสอย่างมีเลศนัย “ไม่ผิด ด้วยสติปัญญาของเจ้า ทั่วหล้านี้มิอาจมีใครเทียบเคียงได้อีก ขอเพียงเจ้าคิดว่าเป็นเรื่องที่ถูก ข้าก็เชื่อ!”
คำพูดนี้เอ่ยออกมาอย่างไหลลื่น คนที่ไม่รู้พานหลงคิดว่าฮ่องเต้ทรงไว้เนื้อเชื่อใจเป่ยเฉินอี้อย่างมาก
เป่ยเฉินอี้ฟังแล้วกลับยิ้มออก
กวาดตามองเยี่ยเม่ย จากนั้นมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอย่างรวดเร็ว เอ่ยเสียงขรึมว่า “ในเมื่อเสด็จพี่ไว้ใจ เช่นนั้นกระหม่อมขอตอบตามตรง องค์ชายสี่ก็เป็นเช่นเดียวกับองค์ชายใหญ่ ล้วนเป็นองค์ชายที่เกิดจากฮองเฮา แต่ไรมาราชสำนักเป่ยเฉินของเราก็ไม่ได้เลือกใช้งานแต่ผู้เป็นพี่ ดังนั้นเสด็จพี่มอบกำลังทหารหกแสนนายให้องค์ชายใหญ่ ทหารแค่สองแสนนายให้องค์ชายสี่ มีอันใดให้เสียดายด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”