เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] - ตอนที่ 55 เข้าเรือนหอ
เมื่อเอาข้อเสียไปเปรียบกับข้อดีของผู้อื่นแล้วก็ชวนกลัดกลุ้ม เอาสามีคนอื่นมาเทียบกับสามีตัวเองแล้ว พวกนางก็โศกเศร้าเหลือเกิน
ดูองค์ชายสี่ รูปโฉมหล่อเหลายังไม่พอ ยังดีกับภรรยาถึงเพียงนี้ แต่พวกเขาเหล่านี้เล่า
เมื่อไม่เปรียบเทียบก็ไม่ถูกทำร้าย
เสียใจ! อยากร้องไห้!
หลังจากข้ามธรณีประตูไปแล้วก็พบฮ่องเต้และฮองเฮานั่งอยู่ตำแหน่งประธาน ชั่วขณะนั้นหัวใจของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันกระตุกถูกทิ่มแทง
เขารู้ว่ายามไหว้ฟ้าดินต้องมีฮ่องเต้และฮองเฮา เยี่ยเม่ยต้องไหว้ศัตรู พิธีการนี้ยิ่งตอกย้ำให้นางตระหนักชัดเจนว่าระหว่างพวกเขามีความสัมพันธ์อันใดต่อกัน งานแต่งงานของพวกเขามีความหมายว่าอย่างไรกันแน่
ภาพเบื้องหน้าที่ดูมงคลสนุกสนาน ความจริงแล้วก็แค่…
การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ฉากหนึ่งในสายตานาง
บางทีนางอาจเสียใจภายหลังในเสี้ยววินาทีถัดไปก็ได้ เมื่อเห็นว่าเสด็จพ่อและเสด็จแม่ของเขาอยู่ตรงนั้น นางอาจไหว้ไม่ลง
เขาพลันชะงักฝีเท้า
แม่สื่อเห็นภาพนี้ อดเร่งเร้าไม่ได้ว่า “องค์ชายสี่ ท่านเป็นอะไรหรือ รีบไปไหว้ฟ้าดินเร็วเข้า อย่าได้ทำให้เสียฤกษ์มงคลนะเจ้าคะ!”
ครั้นแม่สื่อเตือน
เยี่ยเม่ยเอ่ยเบาๆ “ไปเถอะ”
ความจริงนางเข้าใจสิ่งที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกังวล เวลานี้นางค่อยรู้ว่า ระหว่างพวกนางสองคนไม่จำเป็นต้องเอ่ยมากความก็เข้าใจกันโดยมิต้องสื่อสาร ใจเชื่อมถึงใจ เขาต้องสัมผัสได้ว่า ตอนที่นางทำพิธีกราบไหว้ คนที่นางต้องคารวะก็คือบิดามารดาของเขา ศัตรูที่ฆ่าล้างตระกูลนาง
ดังนั้นเขาพลันไม่กล้าเดินต่อไป
เขากำลังกลัว…ว่านางจะสำนึกเสียใจหรือ
ตั้งแต่ตอนที่เยี่ยเม่ยตัดสินใจเลือกเขานางก็คาดเดาเรื่องในวันนี้เวลานี้ได้แล้ว พวกเขาไม่มีวิธีแต่งงานกันได้ดีๆ ต่อให้สีแดงนั้นมงคลมากแค่ไหน ต่อให้รอยยิ้มของคนรอบด้านจริงใจสักเพียงใด ต่อให้งานแต่งคล้ายเรื่องราวอันแสนงดงามมากขนาดไหน
แต่โดยเนื้อแท้แล้วก็มิใช่งานแต่งที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง
เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องปกปิด เผชิญหน้ากับความจริงก็ไม่มีอะไรไม่ดี
น้ำเสียงน่าฟังของเขาค่อยๆ กล่าวว่า “หากเจ้าไม่อยากเคารพพวกเขา เยี่ยนสามารถหาเหตุผล…”
“ไม่จำเป็นแล้ว!” เยี่ยเม่ยพยักหน้า เอ่ยว่า “ไม่เป็นไรหรอก อย่าทำให้เสด็จพ่อของท่านเกิดความระแวงสงสัยขึ้นมาในยามนี้เลย เขาเพิ่งเริ่มไว้ใจท่านเอง”
พวกเขาคุยกันเสียงเบามาก นอกจากคนทั้งสองแล้วก็ไม่มีใครได้ยินอีก
ถัดมา
เยี่ยเม่ยกล่าวว่า “อีกอย่างเรื่องเหล่านี้ ไม่ใช่ว่าพวกเราเลี่ยงได้แล้วจะไม่เกิดขึ้น ต่อให้ครั้งนี้พวกเราหาเหตุผลเลี่ยงได้ แต่ว่าคราวหน้าก็หนีไม่พ้น”
สิ้นเสียงนาง เขาก็กุมปลายนิ้วของนางแน่นขึ้น
ทำเอานางรู้สึกเจ็บมือ ใจเขาก็เกิดความเจ็บปวดเช่นกัน เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยออกมาทีละคำๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ชั่วชีวิตเยี่ยนจะไม่ปล่อยมือ นอกเสียจากว่าข้าตาย!”
ใช่แล้ว ขอบเขตความสัมพันธ์ของพวกเขา ไม่ใช่ว่าทำเป็นละเลยแล้วจะไม่มีอยู่บอกว่าไม่มีก็จะมองไม่เห็น
พวกเขาต่างก็เข้าใจดี
การอยู่ร่วมกันต่อไปเป็นการทำร้ายซึ่งกันและกัน สำหรับนางแล้วนี่คือความขัดแย้งระหว่างความรักและความแค้นของตระกูล แต่สำหรับเขาแล้ว นี่คือความรักที่ไม่อาจได้รับมา ได้แต่ความเจ็บปวดทิ่มแทงใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ใครก็ไม่มีความสุขไปมากกว่ากัน
ดังนั้นถึงแม้การอยู่ร่วมกัน จะเป็นการทำร้ายกันต่อไปโดยไม่อาจหยุดลงได้ แต่เมื่อเดินมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเขาต่างก็ยังไม่มีใครยอมปล่อยมือเหมือนเดิม
เช่นนั้นก็เผชิญหน้าไปด้วยกัน
จะทุกข์ตรมก็ดี เจ็บปวดก็ช่าง จะเป็นคมดาบหรือว่าเพลิงบรรลัยกัลป์ ชั่วชีวิตนี้ก็เลือกไปแล้ว
เมื่อเดินเข้าถึงโถงพิธี
“หนึ่ง ไหว้ฟ้าดิน!”
เสียงของแม่สื่อดังขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในไม่ช้าเสียงตีกลองรัวฆ้องดังกระหึ่มไปทั่ว บรรดาแขกที่มาร่วมงานล้วนเห็นแก่ฐานะองค์ชายสี่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเหอซั่วอ๋องเยี่ยเม่ย ดังนั้นจึงไม่มีสหายของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน อย่างไรเสียคนอย่างเขาก็ไม่มีสหายอยู่แล้ว
เช่นนั้น…
คนที่มีคำอวยพรจากใจจริงในงานแต่งงานนี้ ก็มีเพียงคนจากฝั่งเยี่ยเม่ยไม่กี่คนเท่านั้นเอง
แต่ว่างานแต่งงานเดิมทีก็เป็นเรื่องของตัวเอง มิได้ทำเพื่อให้ผู้อื่นดู ไม่ว่าจะเป็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหรือเยี่ยเม่ย ล้วนไม่สนว่าผู้มาอวยพรจากใจหรือว่าในใจมีอย่างอื่นแอบแฝง
หลังจากสิ้นเสียงของแม่สื่อ พวกเขาต่างหันหน้าออกไปด้านนอกค้อมเอวคารวะ
“สอง คารวะผู้ใหญ่!”
เสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง
ฮ่องเต้และฮองเฮาล้วนเบิกบานเป็นอย่างมาก เดิมทีงานแต่งงานของเชื้อพระวงศ์สมควรจัดในวังหลวง แต่เพราะเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอยากจัดให้คึกคักสนุกสนาน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องออกมานอกวังแล้ว
ฮ่องเต้ยินดีอย่างยิ่ง ตอนนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเคารพต่อพระองค์เป็นอย่างมาก แต่ในใจของฮองเฮาเหมือนไม่เต็มใจนัก หากไม่ใช่พระราชโองการนางไม่คิดออกจากวังเลยสักน้อย
เวลานี้ได้แต่ฝืนยิ้มมองคนทั้งสอง
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฉุกคิดได้ อดไม่ไหวหันไปมองเยี่ยเม่ย เกรงกลัวว่านางจะไม่ยอมกราบไหว้ผู้ใหญ่ ไม่ยินยอมคารวะพ่อแม่เขา แต่คิดไม่ถึงเลยว่า เขากังวลมากเกินไป เมื่อสายตาเขามองปราดไป
เยี่ยเม่ยกลับชิงคารวะไปก่อนเขาแล้ว
แต่ในขณะเดียวกัน นางก็กำมือแน่น
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรีบก้มหน้าลง คารวะตามทันที ฮ่องเต้และฮองเฮาต่างก็พยักหน้าอย่างพอใจ โดยเฉพาะฮ่องเต้ตรัสคำว่า “ดี!” ติดต่อกันหลายคำ
ขุนนางทั้งหลายเห็นท่าทางเบิกบานพระทัยของฮ่องเต้ ก็คิดว่าดูท่าองค์ชายสี่จะได้รับความโปรดปรานแล้ว ดังนั้นพวกคนที่ถนัดดูทิศทางลม ช่างประจบเอาใจยามนี้กำลังวางแผนการ ภายหน้าจะหาทางเชื่อมสัมพันธ์ตีสนิทกับองค์ชายสี่ดีหรือไม่
เห็นท่าทางยินดีของฝ่าบาทเช่นนี้ ภายหน้าบัลลังก์จะตกอยู่ในมือใครก็ยังไม่แน่แล้ว!
เป่ยเฉินเสียงเห็นการแสดงออกของฮ่องเต้ สีหน้าเปลี่ยนไปเป็นไม่น่าชมอย่างใหญ่หลวง เขาเริ่มกังวลอยู่ในใจ เสด็จพ่อทรงตัดสินใจให้เขาเป็นผู้สืบทอดแต่งเพียงผู้เดียวจริงหรือไม่
เห็นมือที่เกี่ยวกุมกันไว้ของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเยี่ยเม่ย เขาเกิดความอิจฉาพลุกพล่าน สตรีอย่างเยี่ยเม่ย ทั่วหล้ามีเพียงคนเดียวเท่านั้น นางสามารถนำทัพออกศึก ทำให้บุรุษจำนวนนับไม่ถ้วนเคารพเลื่อมใส
สตรีเช่นนี้สมควรเป็นของเขาถึงจะถูก แต่กลับแต่งให้กับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เจ้าคนไร้ประโยชน์ที่ไม่เคยสร้างผลงาน ช่างเสียของนัก สิ้นเปลืองทรัพยากรโดยแท้!
จากนั้น
ไม่มีใครสนใจว่าเขาจะคิดอย่างไร แม่สื่อเอ่ยต่ออย่างรวดเร็วว่า “บ่าวสาวคารวะกันและกัน!”
เมื่อแม่สื่อกล่าว เป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเยี่ยเม่ยหันหน้าเข้าหากัน ชั่วขณะนั้นทั้งสองมองหน้ากันชะงักไปเล็กน้อย
เมื่อด้านหน้ามีผ้าแดงกั้นอยู่ ต่างก็มองไม่เห็นหน้าใครชัด
แต่ราวกับว่าพวกเขาเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายทะลุผ่านผ้าแดงนั้น
เยี่ยเม่ยได้ยินเสียงหัวเราะของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เขาเอ่ยว่า “อีกครึ่งหนึ่งของชีวิตเยี่ยน ฝากไว้กับเจ้าแล้ว! หวังว่าสามีจะไม่ทอดทิ้ง อยู่ร่วมกันจนผมหงอกขาว!”
เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ เยี่ยเม่ยก็คิดถึงตอนที่อยู่ชายแดน วันเวลาสั้นๆ ที่พวกเขาอยู่ร่วมกัน ตอนนั้นดีเหลือเกิน นางบอกให้เขาเรียกนางว่าสามี เขายังคงจำได้
นางหัวเราะเบาๆ ก้มหน้าคารวะลงไป
คนทั้งสองต่างเคารพซึ่งกันและกัน
แม่สื่อเอ่ยว่า “ส่งตัวเข้าเรือนหอ!”