เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า] - ตอนที่ 91 ชดเชยให้สามีสักหน่อย
เยี่ยเม่ยเข้าใจว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยคำพูดประโยคนี้ให้ตนฟัง เขาตั้งใจประชดตน!
เป่ยเฉินเสียงแทบไม่รู้เลยว่าระหว่างพวกเขาสองสามีภรรยาเกิดเรื่องอันใดขึ้น ทั้งไม่ตระหนักเลยว่าตัวเองช่วยคลี่คลายปัญหาระหว่างคู่สามีภรรยานี้ เขาแอบรู้สึกอยู่ในใจลึกๆ ว่าเมื่อเล่าเรื่องนี้ออกไปเป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
ลองคิดดูทั้งสองฝ่ายไม่จำเป็นต้องปิดบังเรื่องที่ทำผิดต่อกัน นั่นก็เรียกว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจริงใจอย่างยิ่ง!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เป่ยเฉินเสียงก็ยิ่งดีใจ อดไม่ไหวร่ำสุราไปอีกหลายจอก
เป่ยเฉินเสียงกล่าวกับเยี่ยเม่ย “ภายหน้าเจ้าเป็นคนควบคุมกองกำลังรักษาเมืองทหารองครักษ์ ส่วนข้าเป็นผู้ช่วย หวังว่าพวกเราจะร่วมมือกันอย่างมีความสุข! ยังดีที่ตราคุมทัพอยู่ในมือเจ้า ไม่ใช่เป่ยเฉินอี้ สุดท้ายแล้ว ไปๆ มาๆ ของก็ยังอยู่ในมือของครอบครัวเรา เมื่อคิดได้เช่นนี้ ข้าก็วางใจมาก!”
“องค์ชายใหญ่กล่าวถูกต้องแล้ว!” เยี่ยเม่ยรินสุราให้เป่ยเฉินเสียงอีกจอก
ครั้นเห็นเป่ยเฉินเสียงกรอกสุราลงไปอีกหลายจอก เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เอ่ยต่อว่า “พอแล้วเสด็จพี่ ดื่มสุรามากไปทำลายสุขภาพ วันนี้พวกเราพอแค่นี้เถิด วันเวลาภายหน้ายังอีกยาวไกลนัก วันหลังพวกเราค่อยมาดื่มกันอีก!”
เดิมทีการดื่มสุราอย่างมีความสุขอยู่ดีๆ ก็ถูกขัด เป็นเรื่องชวนให้คนไม่ยินดีนัก แต่เมื่อได้ฟังเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกล่าวว่าวันเวลาภายหน้ายังอีกยาวไกลแล้วค่อยนัดดื่มสุรากันอีก เป่ยเฉินเสียงก็พลันอารมณ์ดีขึ้นมา ลุกขึ้นพยักหน้า “ได้! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้พวกเราก็พอแค่นี้แล้วกัน!”
“เดี๋ยวพวกเราไปส่งเสด็จพี่กลับจวน!” เยี่ยเม่ยรีบเสนอขึ้นมา
เมื่อนางกล่าว เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ใช้สายตายิ้มแต่ไม่ยิ้มปราดมองนางทีหนึ่ง เยี่ยเม่ยกลอกสายตาไปรอบๆ ไม่กล้าสบตาเขา
อันที่จริงสองคนต่างรู้อยู่ในใจ เวลานี้ความจริงปรากฏแล้ว เยี่ยเม่ยร้อนตัวรู้ว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนคงจะคิดบัญชีกับนางแน่ ดังนั้นไม่อาจปล่อยให้เป่ยเฉินเสียงจากไปในทันที ขอเพียงอยู่กับเป่ยเฉินเสียงนานขึ้นอีกสักนิด ก็เผชิญเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ช้าลงอีกหน่อย
เป่ยเฉินเสียงฟังแล้วก็พยักหน้า ไม่ปฏิเสธ “ดี! งั้นก็รบกวนแล้ว!”
เขาเองก็คิดว่าตัวเองดื่มมากไปแล้ว หากเกิดอะไรขึ้นระหว่างทางก็ไม่ปลอดภัย มีพวกเขาสองคนไปส่งก็ดีเหมือนกัน!
ด้วยเหตุนี้ ระหว่างทางที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเยี่ยเม่ยส่งเป่ยเฉินเสียงกลับจวน องค์ชายใหญ่เอาแต่กล่าวคำประเภทว่า ‘วันนี้ข้ามีความสุขจริงๆ’ ‘วันนี้ข้าดีใจมาก’ ‘พวกเราคนในครอบครัวร่วมแรงร่วมใจ’
เมื่อมาถึงหน้าประตูจวน
เยี่ยเม่ยยังไม่อาจปล่อยให้เป่ยเฉินเสียงจากไป ก้าวเท้าไปด้านหน้า เอ่ยว่า “เสด็จพี่…”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคว้าแขนนางไว้ ไม่ปล่อยให้เยี่ยเม่ยก้าวต่อไปอีก
เป่ยเฉินเสียงหันกลับมามองนาง ถามว่า “มีอะไรหรือ”
เยี่ยเม่ยยังไม่ทันเอ่ย เป่ยเฉินเสียเยี่ยนชิงตอบก่อนนาง “ไม่มีอะไร เยี่ยเม่ยก็แค่เป็นห่วงว่าเสด็จพี่ดื่มมากไปอาจยืนไม่มั่นนัก ดังนั้นจึงเตือนสักคำเท่านั้นเอง!”
ในระหว่างเอ่ยนั้น บ่าวภายในจวนองค์ชายใหญ่ออกมาแล้ว รีบเข้าไปคารวะเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเยี่ยเม่ยก่อนค่อยไปพยุงผู้เป็นนาย
เป่ยเฉินเสียงมองพวกเขาสองคน โบกมืออย่างไม่ยี่หระ เอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ในจวนข้าเองยังจะเกิดเรื่องอันใดได้ พวกเจ้ากลับไปอย่างวางใจเถอะ ยามนี้ก็ดึกแล้ว ข้าไม่ส่งล่ะ!”
“อืม!” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรับคำ
เยี่ยเม่ยยังคิดเอ่ยวาจารั้งเป่ยเฉินเสียงไว้ เพื่อยืดเวลาให้ถูกกล่าวโทษช้าออกไปอีก
น้ำเสียงชั่วร้ายของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนดังขึ้นที่ข้างหูนาง “ชายารัก ถึงจะหลบวันที่หนึ่งค่ำได้ ก็เลี่ยงไปไม่ถึงวันที่สิบห้า”
น้ำเสียงของเขาไม่ดังมาก มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่ได้ยินชัดเจน
เยี่ยเม่ยสีหน้าแข็งทื่อไป ลืมความคิดที่จะดิ้นรนไปชั่วขณะ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกล่าวไม่ผิด หลบได้ตอนนี้ก็ไม่อาจเลี่ยงได้ตลอด! พวกเขาคงไม่อาจพูดคุยกับเป่ยเฉินเสียงไปถึงชั่วฟ้าดินสลาย พูดคุยจนกระทั่งเป่ยเฉินเสียเยี่ยนลืมเรื่องนี้ไป
ด้วยเหตุนี้เยี่ยเม่ยจึงก้มหน้ารับชะตากรรม “เช่นนั้นก็ได้ พวกเรากลับกันเถอะ!”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหัวเราะคำหนึ่งด้วยความพอใจ จูงมือนางหมุนกายจากไป
เป่ยเฉินเสียงมองเงาหลังของพวกเขาสองคนไม่เห็นความผิดปกติอะไรก็สาวเท้ากว้างๆ กลับเข้าจวน
เพียงแต่หลังจากที่เข้าจวนไปแล้ว ท่าทางเมามายของเป่ยเฉินเสียงก็หายไปจนหมดสิ้น แววตาเขาเป็นประกายสว่างจ้า
…
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเยี่ยเม่ยเดินจากมา
เยี่ยเม่ยก็รีบเปลี่ยนประเด็นสนทนา “ท่านว่าเสด็จพี่ใหญ่ของท่านเมาจริงหรือว่าเมาหลอก”
“เมาหลอกอย่างแน่นอน!”เป่ยเฉินเสียเยี่ยนตอบคำถามนางตรงๆ ราวกับไม่ทันตระหนักว่านางจงใจเปลี่ยนเรื่อง “เขารู้ว่าพวกเราคิดหลอกถาม ถึงได้แกล้งเมาเล่าเรื่องนี้และแผนการออกมา ความจริงก็แค่อยากแสดงให้พวกเรารู้ว่าเขาจริงใจ เป้าหมายของเขาคือทำให้พวกเราติดค้างน้ำใจ!”
เยี่ยเม่ยยกมุมปากแสดงออกว่าเห็นด้วย
ความจริงนางเองก็มองออกเช่นกัน แต่ว่าด้วยสติปัญญาของเป่ยเฉินเสียงก็ทำได้แค่นี้เท่านั้น ไม่มีทางตระหนักถึงเรื่องอื่นได้อีกแล้ว มิเช่นนั้นเขาย่อมไม่เล่าเรื่องของมู่หรงเหยาฉือออกมาทั้งหมด
“คิดไม่ถึงเลยว่ามู่หรงเหยาฉือจะถูกเขาหลอกอย่างหมดเปลือก…” เยี่ยเม่ยเริ่มดึงดันหาหัวข้อสนทนา หวังว่าจะทำให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนลืมเรื่องที่จะคิดบัญชีกับนางไปซะ
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคล้ายไม่เข้าใจความคิดเยี่ยเม่ย เพียงหัวเราะด้วยเสียงน่าฟัง จูงมือนางเดินต่อไปโดยไม่เอ่ยวาจา
ฝ่ายเยี่ยเม่ยที่ทุ่มเทลงแรงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา จึงไม่สังเกตเรื่องอื่น
หลังจากพวกเขาเดินไปได้เกือบครึ่งชั่วยาม เยี่ยเม่ยค่อยตระหนักว่า “ที่นี่คือที่ไหน นี่ไม่ใช่ทางกลับจวนองค์ชายสี่นี่!”
“ใช่ ไม่ใช่ทางกลับจวนองค์ชายสี่!”
พูดมาถึงตอนนี้ พวกเขาทั้งสองก็เดินมาถึงข้างลำธาร ที่นั่นคือก็ลำธารสายน้อยที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมาดื่มสุราพอดี ริมลำธารยังมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ถัดมาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนผลักนางเข้ากับต้นไม้ ขยับตัวประชิดเข้าหา กระซิบว่า “ฮูหยิน เรื่องราวอธิบายชัดเจนแล้ว เจ้ามีอะไรจะกล่าวกับสามีหรือไม่”
อ้อ…
เยี่ยเม่ยที่เย็นชามาตลอด ไม่รู้เพราะอะไรทุกครั้งที่เขามีท่าทางเช่นนี้ นางก็มักจะหวาดกลัว
ดวงตาของนางกลอกไปซ้ายทีไปขวาที เดิมคิดแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง แต่นางเป็นคนกล้าทำกล้ารับผู้หนึ่ง ดังนั้นจึงเอ่ยปากว่า “ก็ได้ เรื่องนี้ข้าเป็นฝ่ายผิดเอง ข้าไม่สมควรไม่เชื่อใจท่าน ไม่เชื่อในคำอธิบายของท่าน อืม แบบนี้ใช้ได้แล้วกระมัง”
เมื่อนางตอบกลับมาเช่นนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเลิกคิ้วสูง เอ่ยเสียงนุ่มว่า “เท่านี้เองหรือ ไม่มีคำขอโทษ?”
เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุก “มี! ขอโทษด้วย ข้าผิดไปแล้ว”
ในเมื่อเป็นความผิดของนาง นางก็กล้ารับ
“อืม!” เขาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เลิกคิ้วขึ้นพลางเกี่ยวปอยผมตรงบริเวณหน้าอกของนาง “ในเมื่อฮูหยินยอมรับแล้วว่าเป็นความผิดของเจ้า เช่นนั้นก็สมควรชดเชยให้สามีสักหน่อย…ใช่หรือไม่”