เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ - ตอนที่ 1165 จุมพิตต่อหน้าผู้คน / ตอนที่ 1166 สีหน้าเปลี่ยนในทันที
- Home
- เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ
- ตอนที่ 1165 จุมพิตต่อหน้าผู้คน / ตอนที่ 1166 สีหน้าเปลี่ยนในทันที
ตอนที่ 1165 จุมพิตต่อหน้าผู้คน
ซูหลีถูกฉินเย่หานโอบกอดไว้เช่นนี้ นางถึงไม่เห็นสีหน้าของบุรุษทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลังของนาง
ฉินเย่หานที่เผชิญหน้าอยู่กับทั้งสองคน ทว่าเขาไม่แม้แต่ชายตามองสักนิด เหมือนกับความสนใจทั้งหมดของเขาอยู่ที่ซูหลีคนเดียวเท่านั้น
สีหน้าของเซี่ยอวี่เสียนกับฉินมู่ปิงดูไม่น่าดูเป็นอย่างมาก เซี่ยอวี่เสียนยังสามารถรักษาภาพลักษณ์คุณชายผู้อ่อนโยนดุจหยกเอาไว้ได้ ทว่าสีหน้าของฉินมู่ปิงกลับดำทะมึนตึงในทันที
เขาเม้มริมฝีปากแน่น จากนั้นจ้องไปทางซูหลีกับฉินเย่หานตาไม่กะพริบ สีหน้าดูย่ำแย่อย่างที่ไม่เห็นเป็นมาก่อน
อย่างน้อยก็ตลอดเวลาเกือบสองปีที่เขาเข้ามาอยู่ในเมืองหลวง ก็ไม่เคยปรากฏท่าทีเช่นนี้มาก่อน
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” เวลาที่โอบกอดกันอยู่นานพอแล้ว แม้ซูหลีจะไม่เห็นสองคนนั้น ทว่าก็รู้ว่ามีคนมองอยู่ด้านข้าง นางไม่ได้มีหนังหน้าที่หนามาก ถึงขนาดที่จะกระทำเรื่องแบบนี้กับฉินเย่หานโดยทำเหมือนไม่มีใครอยู่ตรงนี้ได้
ถูกเขากอดในอ้อมอกเช่นนี้ นางรู้สึกได้ถึงความเห่อร้อนที่ใบหน้าของตนระลอกหนึ่ง รู้สึกว่าตนไม่เป็นตัวของตัวเองอย่างมาก นางอยากที่จะผละออกจากเขา
“หืม” น้ำเสียงของฉินเย่หานยังคงทุ่มต่ำน่าหลงใหล
ซูหลีอดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปาก นางมักจะได้ยินผู้คนใช้คำประเภทปีศาจสาวมาบรรยายลักษณะของนาง บัดนี้ดูเหมือนว่า คนที่เป็นปีศาจที่แท้จริงนั้นไม่ใช่นาง แต่เป็นฮ่องเต้ที่อยู่ตรงหน้าท่านนี้ต่างหาก
ขอเพียงเขาสมัครใจ เขาก็สามารถทำให้สตรีในใต้หล้าทุกคน มีชีวิตที่ถลำเข้าไปสู่ความชั่วร้ายเพื่อเขา!
ฟังน้ำเสียงนี้สิ ฟังแล้วหัวใจของนางอดไม่ได้ที่จะวูบไหว
“ฟู่!” ในขณะที่ซูหลีกำลังครุ่นคิดด้วยความสับสน และผลักฉินเย่หานไปพลาง ฉินเย่หานก็ไม่ยื้อต่อไป ก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ทว่ามือใหญ่คู่นั้นยังคงรัดที่เอวของซูหลีอย่างแนบแน่น
ในขณะที่ซูหลียังไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ เขาพลันเข้าไปใกล้ซูหลีมาก สูดลมหายใจเข้าลึกตรงบริเวณช่วงลำคอของนาง
ซูหลี…
ปัง!
ใบหน้าของนางพลันเห่อแดงขึ้นมาทันที จะว่าไปช่วงเวลาที่นางอยู่กับฉินเย่หานก็ถือว่านานมากแล้ว เรื่องที่ใกล้ชิดขนาดไหนทั้งสองคนล้วนกระทำด้วยกันมาหมดแล้ว ทว่าอย่างไรก็เป็นเรื่องส่วนตัว
การกระทำที่เปิดเช่นนี้…
หัวใจดวงน้อยของนางทนรับไม่ไหวจริงๆ!
ใครจะเข้ามาช่วยนางไม่จำเป็นต้องทำอะไรมาก ขอเพียงแค่สามารถทำให้ฉินเย่หานกลับมาเป็นปกติ หากทำได้นั้นนางจะขอบคุณเป็นพันครั้งหมื่นครั้ง!
“เจ้าดื่มสุราหรือ” ฉินเย่หานชำเลืองมองนาง สายตาของเขาเริ่มเคร่งขรึม
ซูหลีตื่นตระหนกในทันที รีบดึงสติกลับมาอย่างเร็วไว นางกะพริบตาปริบๆ ที่จริงกลิ่นสุราในหลานฮวาเซียงนั้นไม่แรงสักนิด ไยเขาเข้าใกล้ก็สามารถได้กลิ่นสุรากัน?
ซูหลียังรู้สึกมึนงง ที่มากกว่านั้นก็คือมีท่าทีตอบสนองไม่ทัน
สิ่งนั้นทำให้ฝ่าบาทกับของบางสิ่งที่ทำให้พระนาสิกไวต่อกลิ่นพัวพันกัน คงเป็นความผิดต่ออฮ่องเต้อันใหญ่หลวงกระมัง!?
ซูหลีเริ่มควบคุมความคิดของตนเองไม่ได้ ทว่านางไม่ได้สังเกตเห็นแววตาของฉินเย่หานที่เปลี่ยนเป็นลุ่มลึกขึ้นกว่าเดิม
“หืม” เขาพลันยกมือช้อนคางของนางอย่างแผ่วเบา
เส้นสายตาเคลื่อนไปด้านบนในชั่วพริบตา เมื่อพบกับดวงตาที่ล้ำลึกดุจมหาสมุทรของเขา ในดวงตาของเขาประหนึ่งน้ำทะเลมิปาน ซึ่งสามารถทำให้ซูหลีตกอยู่ในห้วงความสุขอย่างฉับพลัน
“เอ๊ะ!” ในเวลาซูหลีนั้นเริ่มมึนงง เมื่อถูกเขาจ้องมองเช่นนี้ สมองของนางพลันว่างเปล่า
ทว่าริมฝีปากที่เผยอออกมาเล็กน้อย เมื่ออยู่ภายใต้แสงไฟ กลับให้ความรู้สึกลุ่มหลงอย่างบอกไม่ถูก หลังจากที่ฉินเย่หานมองอย่างลึกซึ้งปราดหนึ่ง พลันโน้มตัวเข้าไปใกล้ จากนั้น…
“อื้อ!” ซูหลีเบิกตากว้างมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ความร้อนที่แผ่ซ่านออกมาจากริมฝีปาก บอกนางอย่างชัดเจนว่า นางกำลังถูกจูบ!
อีกทั้ง!
ยังจุมพิตต่อหน้าคนจำนวนมากอีกด้วย!
ตอนที่ 1166 สีหน้าเปลี่ยนในทันที
ตูม!
ซูหลีรู้สึกว่ามีบางสิ่งระเบิดในสมองที่ความว่างเปล่าของตน
ทุกครั้งที่นางจูบกับฉินเย่หาน ที่จริงสามารถทำให้หัวใจของนางสั่นไหวได้เสมอ ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน
ซูหลียังรู้สึกได้ถึงสายตาที่กำลังจะแผดเผาทั้งสองจากด้านหลัง
นะ นางรู้สึกว่าแข้งขาอ่อนแรงเป็นอย่างมาก
ฝ่าบาท…
นี่พระองค์กำลังจะเล่นไม้ไหนกัน นางรู้สึกว่าทั้งร่างของตนกำลังถูกเล่นสนุกจนจะตายแล้ว!
“ที่แท้ก็เป็นสุราคุณภาพดี” ซูหลียังไม่ทันมีท่าทีตอบสนอง ฉินเย่หานก็ถอนออกไปแล้ว จูบในวันนี้กับเมื่อก่อนนั้นมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง แม้จะไม่ลึกซึ้งขนาดนั้น ทว่ากลับรู้สึกสั่นสะท้านกับทุกครั้งที่เคยมี
ท่าทีที่เขาปฏิบัติต่อซูหลีนี้แสดงออกมาอย่างชัดเจน!
ซูหลีเบิกตากว้าง มองที่ใบหน้าอันหล่อเหล่างามลออของเขา ในเวลานี้นางไม่รู้ว่าตนควรเอ่ยอะไรออกมาดี
“เสด็จลุง!” น้ำเสียงที่ทุ้มต่ำเกินจะเปรียบดังขึ้นจากด้านหลัง
ร่างของซูหลีสั่นเทิ้มครู่หนึ่ง นางพลันดึงสติกับมาก นางหันศีรษะกลับไปก็พบกับฉินมู่ปิงที่มีใบหน้าดำคล้ำจนถึงที่สุด
ซูหลีชะงักค้างไปครู่หนึ่ง
“หลานเพิ่งนึกได้ว่ามีเรื่องบางอย่างต้องไปทำ ขอตัวลาก่อนพ่ะย่ะค่ะ!” มือที่ฉินมู่ปิงปล่อยมือลงข้างกายกำแน่น เส้นเลือดสีเขียวบนหน้าผากของเขาแทบจะระเบิดออกมา
ท่าทางที่ส่อให้เห็นเช่นนี้ เห็นได้อย่างชัดเจนถึงความไม่สงบภายในจิตใจของเขา
ทว่ายามที่เสด็จลุงที่ผู้สูงส่งของเขาท่านนี้มองที่เขา ใบหน้ายังคงเรียบเฉย เสมือนมิได้สังเกตเห็นความผิดปกติของเขามิปาน
ฉินมู่ปิงหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่ง เขาไม่แม้กระทั่งสนใจมารยาทของตนและก้าวหน้าเดินออกไป
สวรรค์เท่านั้นที่รู้ ยามที่ฉินเย่หานประทับริมฝีปากลงบนกลีบริมฝีปากงดงามของนาง ทำไมในใจของพลันรู้สึกว่ากำลังเผชิญเรื่องราวที่โหดร้าย เขาแทบจะกระโจนเข้าไปลากฉินเย่หานออกมา
อีกทั้งในใจยังมีเพลิงโทสะที่เพิ่มสูงขึ้น จนเกือบจะแผดเผาสติสัมปชัญญะของเขาจนสิ้น!
เขาต้องใช้กำลังทั้งหมดถึงจะควบคุมตนเองเอาไว้ได้ ทว่าการกระทำของร่างกายที่ถูกครอบงำเหล่านั้น เขาไม่สามารถควบคุมไว้ได้
หากยังอยู่ในลานกว้างแห่งนี้ เขาไม่รู้ว่าตนจะทำเรื่องอะไรออกมาอีก
จึงต้องถือโอกาสที่สมองของเขายังมีสติสัมปชัญญะดี หนีออกไปจากที่นี่!”
“กระหม่อมทูลลา” ทันทีที่ฉินมู่ปิงเอ่ยปาก เซี่ยอวี่เสียนที่อยู่ด้านข้างก็ดึงสติกลับมา เมื่อเปรียบเทียบแล้ว ท่าทีของเขาดีกว่าฉินมู่ปิงไม่น้อย ทว่าบนใบหน้าอ่อนโยนดุจหยก ประหนึ่งมีเงาดำตะคุ่มปกคลุมชั้นหนึ่งมิปาน
เขาก็ทนดูต่อไปไม่ไหวเช่นกัน จึงรีบตามหลังฉินมู่ปิงไป เดินออกไปพร้อมๆกับฉินมู่ปิง
เวลานี้ภายในลานกว้าง จึงเหลือเพียงซูหลีกับฉินเย่หานสองคนเท่านั้น
ข้ารับใช้ข้างกายที่ติดตามพวกเขามา ต่างพากันเดินออกไปอย่างไร้ร่องรอยตั้งแต่ที่ทุกคนเดินออกไปแล้ว
รอจนซูหลีดึงสติกลับมา ก็สบกับดวงตาที่เยียบเย็นดุจน้ำแข็งคู่นั้นของฉินเย่หาน
ซูหลีกระตุกมุมปาก อารมณ์ลึกซึ้งดุจมหาสมุทร ท่าทีที่เสมือนเห็นซูหลีเพียงคนในเดียวในสายตา ไยเมื่อทุกคนออกไป เขาถึงได้มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปในทันที?
ที่กล่าวว่าดวงใจสตรีล้ำลึกยากที่จะเข้าใจ จากที่นางดูแล้ว หัวใจของบุรุษผู้นี้ถึงเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยากที่สุด
โดยเฉพาะฉินเย่หาน หัวใจของเขาเกรงว่าจะมีขนาดเท่ากับตากุ้งยิงเท่านั้น ไม่สิ ไม่แน่อาจจะมีขนาดเล็กกว่าตากุ้งยิงเสียอีก!
“เฮ้อๆๆ…” นางได้แต่วิพากษ์วิจารณ์ในใจไม่หยุดหย่อน ทว่าทันทีนางเงยหน้าขึ้นก็ฉีกยิ้มอย่างทึ่มทื่อแล้วเอ่ยขึ้น
ฉินเย่หานเห็นท่าทีของนางเช่นนี้ จึงแค่นเสียงเย็นออกมาแล้วเอ่ย “ในวันที่หนาวเหน็บขนาดนี้ เจ้ายังมีอารมณ์เอ้อระเหยเป็นอย่างมาก!”
คำพูดนี้ไม่ใช่การชื่นชม ทว่าเป็นความนัยประชดประชันซึ่งแตกต่างกับคำพูดที่เอ่ยออกมา!