เสน่ห์คมดาบ - เสน่ห์คมดาบ - ตอนที่ 102
เสน่ห์คมดาบ – ตอนที่ 102
“พี่ ข้าพูดจริงๆ นะ มีสัตว์เทพ กำลังจะถือกำเนิดขึ้นจริงๆ พี่เชื่อข้าสิ สัตว์เวทย์เหล่านั้นรออยู่ที่นั่นเพื่อจะกินสัตว์เทพที่กำลังจะถือกำเนิด เราต้องรีบหน่อยแล้ว ไม่อย่างนั้นมันจะสายเกินไป” เสียงนั้นเบามากแต่แคลร์ได้ยินอย่างชัดเจน
แคลร์ลุกขึ้นและเดินตรงเข้าไปในบ้าน นาง เห็นลีอาห์กำลังดุเด็กชายร่างกายอ่อนแอที่กำลังนอนอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าโกรธเคือง เด็กชายยังคงพยายามอธิบาย เมื่อลีอาห์เห็นแคลร์เดินเข้ามา ลีอาห์ก็หยุดความโกรธของนางทันทีและพูดด้วยความลำบากใจ “ผู้มีพระคุณ ทำไมถึงเข้ามาล่ะ ในนี้มันรกมากๆ เลย ข้าต้องขอบคุณเพื่อนของท่าน ที่ช่วยน้องชายคนเดียวของข้าด้วย”
แคลร์โบกมือเบาๆ ไม่ตอบคำพูดของลีอาห์ แต่มองไปที่เด็กชายบนเตียงแล้วพูด “เจ้าบอกว่าสัตว์เทพจะถือกำเนิดขึ้นหรือ?”
เด็กชายมองแคลร์และเงียบไป
“ผู้มีพระคุณถามเจ้าอยู่นะ! ถ้าวันนี้ไม่ได้ผู้มีพระคุณช่วยข้าไว้ เจ้าจะยังได้เจอข้าหรือ? ผู้ที่ช่วยเจ้าไว้เมื่อกี้ก็เป็นเพื่อนของผู้มีพระคุณเช่นกัน!” ลีอาห์มองอย่างกังวลและดุเด็กชายด้วยความโกรธ
“เจ้าพยายามจะตามหาสัตว์เทพเพื่อขายมันหรือ? พวกเจ้าขาดแคลนเงินมากหรือ?” แคลร์ขัดคำตำหนิของลีอาห์ แล้วถาม
“ไม่มีใครอยู่ที่นี่หรอก ข้าอยากจะหาเงินก้อนหนึ่ง และพาพี่สาวของข้าไปตั้งรกรากที่อื่น” เด็กชายมองแคลร์แล้วพูด หลังจากคำพูดนี้จบลงใบหน้าของลีอาห์ก็ดูซับซ้อน สถานที่แห่งนี้ไม่เหมาะสำหรับพวกเขาสองพี่น้องจริงๆ วันนี้ก็มีเกิดเรื่องนี้ขึ้น โชคดีที่พวกเขา ได้รับความช่วยเหลือจากคนตรงหน้า หากมีอีกคราวหน้าล่ะ? ใครจะมา ช่วยเหลือพวกเขาได้ทันเวลาอีก?
“สัตว์เทพอยู่ที่ไหน? สิ่งนี้ข้าให้พวกเจ้า พวกเจ้าไปปักหลักอยู่ที่เมืองเนียร์และ ทำการค้าเล็กๆ ข้าจะมอบจดหมายแนะนำตัวให้ พวกเจ้าไปที่คฤหาสน์ของเจ้าเมืองนะ ไปหาผู้รักษาการเจ้าเมืองและมอบจด หมายนี้ให้เขา เขาจะจัดการให้เอง” แคลร์หยิบตั๋วสีทองสองใบ ออกจากกระเป๋าและยื่นให้กับเด็กชาย
“ข้า พวกเราไม่สามารถรับมันไว้ได้” ลีอาห์โบกมือปฏิเสธ
“ถือเสียว่าข้าขอซื้อข้อมูลของสัตว์เทพจากน้องชายของเจ้าแล้วกัน แม้ว่าเมืองเนียร์จะไม่ใหญ่ แต่ก็เหมาะสำหรับการอยู่อาศัย หากน้องชายของเจ้าแข็งแรงเมื่อไหร่ ก็เดินทางกันไปได้เลย ที่นี่ไม่เหมาะสำหรับพวกเจ้าเลย” แคลร์ไม่ได้ดึงมือ กลับ นาง มองเด็กชายแล้วพูด
เด็กชายไม่รีรอและรับเงินจากแคลร์แล้วถาม “เจ้าเชื่อเรื่องสัตว์เทพหรือ? เจ้าเชื่อข้าหรือไม่? พี่สาวของข้าไม่เชื่อเลย”
“ข้าเชื่อ พูดมาสิ มันอยู่ที่ไหน?” แคลร์พยักหน้าแล้วถาม
“หลังจากเข้าไปในหุบเขาหลงทางแล้วให้ไปทางทิศตะวันออก ตอนกลางคืนที่กลางหนองน้ำ จะมีแสงเรืองรองอยู่ นั่นคือสัตว์เทพตัวน้อยที่กำลังจะถือกำเนิดขึ้น ที่นั่น มีสัตว์เวทย์มากมายมาเฝ้าอยู่ พวกมันรอ จะกินสัตว์เทพที่กำลังจะ ถือกำเนิด นั้น หากพวกเจ้าจะไป ต้อง รีบไปเดี๋ยวนี้ มันต้องเป็นสัตว์เทพแน่นอน มีเพียงสัตว์เทพเท่านั้นที่สามารถเปล่งแสงเช่นนี้ได้ มีเพียงสัตว์เทพเท่านั้นที่สามารถดึงดูดสัตว์เวทย์จำนวนมากให้ไปหามันได้ ” เด็กชายพูดอย่างรีบร้อน
“อืม เจ้าเอากระดาษและปากกามาให้ข้า ข้าจะเขียนจดหมายให้เจ้าเอาไปที่เมืองเนียร์” แคลร์หันหน้าไปพูดกับลีอาห์
ลีอาห์สะดุ้งเล็กน้อย แม้ว่านางจะงุนงงแต่ก็ไปเอาปากกาและกระดาษมา แคลร์รีบเขียนจดหมายและพูดกับลีอาห์ “พวกเราไปก่อนนะ เจ้าเดินทางไปเมืองเนียร์ก็ระมัดระวังในการเดินทางด้วย”
หลังจากนั้นแคลร์ก็หันหลังและเดินออกไป ลีอาห์มองจดหมายในมือของนาง จากนั้นก็มองไปที่แผ่นหลังของแคลร์ที่กำลังจะหายไปและรีบถาม “เรา เราจะเจอกันอีกหรือไม่?”
“ไปที่เมืองเนียร์สิ เราอาจจะมีโอกาสได้เจอกันอีกในอนาคต” แคลร์โบกมือเบาๆ และแผ่นหลังของนางก็หายไปจากสายตาของสองพี่น้อง
ในสนามนอกบ้าน ทุกคนมองแคลร์ที่กำลังเดินออกมา นาง มองทุกคนและยิ้มจางๆ “ไปกันเถอะ พวกเราเข้าไปในหุบเขากัน”
ทุกคนพยักหน้าแล้วลุกขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน จากนั้นก็เดินตามแคลร์ไป
ขณะที่ออกไปนอกเมือง วัลโดก็มองค้อนอยู่ตลอด มีใครบอกเขาได้หรือไม่ว่าทำไมเจ้าหน้าขาวนั่นยังตามมาอีก แคลร์เองก็อยากรู้ว่านี่มันอะไรกัน ทำไมเหลิ่งหลิงยวิ๋นถึงติดตามนางมาด้วยล่ะ?
“นี่ เหลิ่ง เหลิ่งหลิงยวิ๋น เจ้ามาที่นี่เพื่อจัดการ ธุระใช่หรือไม่? ในเมื่อไม่ได้มาตามข้ากลับไปที่วิหารแห่งแสงแล้ว… “แคลร์ไม่ได้พูดอะไรต่อ
วัลโดพูดต่ออย่างโกรธแค้น “ในเมื่อไม่ได้มาที่นี่เพื่อตามแคลร์ เจ้าก็จงไปทำธุระของเจ้า เจ้าจะมาตามเราทำไม?”
“ในกลุ่มทหารรับจ้างหยวนเป่าไม่มีนักเวทย์ผู้รักษาใช่หรือไม่? เวลานี้ข้าได้ เป็นสมาชิกของกลุ่มทหารรับจ้างหยวนเป่าอย่างเป็นทางการแล้ว” เหลิ่งหลิงยวิ๋นไม่ใช่คนที่พอเริ่มแล้วจะจบลงง่ายๆเขาจึงพูดประโยคนี้ออกไป
วัลโดอ้าปากค้างและมองอย่างตกใจ
ใบหน้าของแคลร์ก็แสดงความประหลาดใจเช่นกัน นี่มันอะไรกัน? บุตรแห่งแสงผู้สูงศักดิ์บอกว่าตอนนี้เขาเป็นสมาชิกของกลุ่มทหารรับจ้างของพวกเขาจริงหรือ? ล้อเล่นหรือไง! เดี๋ยวก่อนนะ! แคลร์อึ้งไป เหลิ่งหลิงยวิ๋นรู้ชื่อกลุ่มทหารรับจ้างของพวกเขาได้อย่างไร? แคลร์หันไปมองคามิลล์ เขา ยิ้มอย่างอ่อนโยนและพูด “หัวหน้า มันเป็นเรื่อง ลำบากมากที่กลุ่มทหารของเราไม่มีผู้รักษา เจ้าคิดสิว่าถ้ามีเรื่องเกิดขึ้นกับพวกเรา หากพวกเราไม่สามารถรักษาได้ทันเวลา ผลที่ตามมาจะร้ายแรงนะ”
เมื่อแคลร์มองรอยยิ้มที่อ่อนโยนและไม่มีพิษภัยของคามิลล์ นางก็รู้ว่าชายผู้นี้คิดที่จะดึงเหลิ่งหลิงยวิ๋นเข้ามาในกลุ่มอยู่แล้วแค่คิดเรื่องนี้แคลร์ก็ปวดหัว เหลิ่งหลิงยวิ๋นและพวกเขาแตกต่างกันคนละโลกแล้วจะพาเหลิ่งหลิงยวิ๋นมาทำอะไรล่ะ? นอกจากนี้จุดประสงค์ของเหลิ่งหลิงยวิ๋นคืออะไรกัน? เหตุใดเขาจึงปรากฏตัวที่นี่โดยไม่มีเหตุผลอีกด้วย
เหลิ่งหลิงยวิ๋นมองท่าทางสับสน ของแคลร์แล้วก็รู้สึกตลกเล็กน้อย การมีอยู่ของเขา ทำให้นางปวดหัวอย่างนั้นเลยหรือ เมื่อเหลิ่งหลิงยวิ๋นจำข้อตกลงกับซวนซวนได้ ดวงตาของเขาเปล่งประกายความซับซ้อน แม้ว่าเขาจะสนใจแคลร์เพียงเล็กน้อย แต่นั่นก็ไม่เพียงพอให้ เขามา คอยติดตามตรวจสอบนางหรอก คำขอของซวนซวนทำให้เขาไม่เข้าใจจริงๆปกติ เด็กที่มีเหตุผล อยู่ตลอดกลับเอ่ยคำขอที่ไม่มีเหตุผลนี้ สายตาที่ร้อนรนและเป็นห่วงทำให้เขาไม่สามารถปฏิเสธนางได้ อีกทั้งที่วิหารก็ไม่ได้มีเรื่องสำคัญในช่วงนี้ แต่พระสันตปาปากลับเรียกเขาไว้ตอนที่เขากำลังจะออกมา
“เจ้าจะไปหาแคลร์หรือไม่?” รอยยิ้มที่คาดเดาไม่ได้ของพระสันตปาปายังคงอยู่ในใจของเหลิ่งหลิงยวิ๋น
เหลิ่งหลิงยวิ๋นพยักหน้า เขาสงสัยว่าพระสันตปาปารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร
“เอาสิ เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่วิหารในตอนนี้เลย งานของเจ้าคือติดตามแคลร์และทำความรู้จักกับนาง” พระสันตปาปาให้คำสั่งแปลกๆ นี้กับเหลิ่งหลิงยวิ๋น
…………………………….
“ทำไมล่ะ? ทำไมเขาถึงเข้าร่วมกลุ่มทหารรับจ้างได้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากหัวหน้า?” วัลโดโวยวายอย่างไม่สบอารมณ์
“ข้าเป็นรองหัวหน้า” คามิลล์ยิ้มอย่างนุ่มนวลและพูดเบาๆ ขณะที่เขามองวัลโด แต่ความน่ากลัว ในสายตาของเขาทำให้วัลโดเงียบไป
วัลโดรู้อยู่แล้วว่าผู้ชายที่อ่อนโยนและดูไม่เป็นอันตรายตรงหน้าเขาเป็นนักฆ่า แถมยังเป็นนักฆ่าที่มีความสามารถมากด้วย เขาไม่อยากถูกคามิลล์แยกหัวออกจากตัว ระหว่างที่เขาหลับ วัลโดหุบปากของเขา และเดินไปอย่างเงียบๆ คนเดียว คนอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรจะพูด แม้ว่าแคลร์จะมีความเห็นในใจ แต่ก็ยากที่จะพูดออกไป
พวกเขาเดินทางกันไปแบบนี้ ในขณะที่วัลโดมีสีหน้าดูอึดอัด แคลร์ก็ อึดอัดอยู่ข้างในใจ
“นั่น สัตว์เวทย์!” หลังจากนั้นไม่นาน ในที่สุดทุกคนก็ค้นพบความผิดปกติ สัตว์เวทย์จำนวนมากรวมตัวกันอยู่ด้านหน้า ไม่ไกลหน้าพวกเขา มีสัตว์เวทย์ระดับต่ำอยู่จำนวนหนึ่งจับกลุ่มกัน ไม่กล้าเข้าไป ถัดไปข้างหน้า คือสัตว์เวทย์ชั้นสูง เมื่อมองไปข้างหน้าอีก สัตว์เวทย์ก็หนาแน่นขึ้นและระดับก็สูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
ดวงตาของแคลร์นิ่ง นางคิดว่าสิ่งที่เด็กชายพูดนั้นอาจจะเป็นความจริง
“โฮก!” เสือดาวลมคำรามเพราะเห็น สัตว์เวทย์ระดับต่ำเหล่านี้ ปิดกั้นเส้นทางพวกเขาอยู่ สิ่งนี้ เป็นการดูถูกสัตว์เวทย์ระดับเจ็ดอย่างมัน เป็นอย่างมาก
สัตว์เวทย์ระดับต่ำตัวสั่นทันทีที่ได้ยินเสียงคำรามของเสือดาวลม แต่พวกมัน ก็ยังไม่ได้คิดที่จะหนีไป พวกมันแค่ตัวสั่นและล้มลงบนพื้นเท่านั้น
เมื่อทุกคนเห็นภาพนี้ สายตาของพวกเขาก็กระพริบด้วยความประหลาดใจ สัตว์เทพชนิดใดกันที่กำลังจะถือกำเนิดในหนองน้ำข้างหน้านี้? ทำไมถึงมีแรงดึงดูดมหาศาลที่ทำให้สัตว์เวทย์เหล่านี้มารวมกันอยู่ที่นี่และไม่ยอมไปไหนได้?
“ดูเหมือน วันนี้เราจะโชคดีนะ” วัลโดพูด
“เบน เปิดทาง” แคลร์หันไปพูดกับมังกรดำเบาๆ พวกเขาไม่ จำเป็นต้องฆ่า เพียงแค่ให้มังกรดำเปิดทางตรงหน้าก็พอแล้ว
เบนก้าวไปข้างหน้าและส่งเสียงคำรามทุ้มต่ำ
ในที่สุดสัตว์เวทย์ตรงหน้าก็ทนแรงกดดันไม่ไหว พวกมันส่งเสียงร้องและหลีกทางออกไป เบนเดินไปข้างหน้าโดยไม่พูดอะไร เมื่อ สัตว์เวทย์บางตัว ไม่ยอมหลบทางให้ เบนก็เตะกระเด็นไปเลย
ถนนที่มุ่งหน้าไปสู่หนองน้ำเต็มไปด้วยสัตว์เวทย์ หลังจากมังกรดำเคลียร์ถนนยาวนั้นแล้ว ในที่สุดทุกคนก็มาถึงหนองน้ำ ไม่มีสัตว์เวทย์รอบๆบริเวณ ที่พวกเขายืนอยู่ ส่วน ที่อื่นๆ เต็มไปด้วยสัตว์เวทย์ บริเวณ หนองน้ำเต็มไปด้วยสัตว์เวทย์ขั้นสูง แต่ไม่มีสัตว์เวทย์ตัวใดกล้าโจมตีแคลร์และพรรคพวกเลย นั่นก็เพราะกลุ่มของพวกเขามีคนที่มีมีแรงกดดันที่เหนือกว่าสัตว์เวทย์ตัวอื่นๆ อยู่นั่นเอง
พื้นที่ชื้นแฉะ ทำให้ทุกคนรู้สึกไม่สบายตัว ทั้งยัง มีกลิ่นเหม็นเน่าโชยมาในอากาศ แมลงสีดำขนาดเล็กคลานออกมาจากหนองน้ำสีดำเป็นบางครั้ง วัลโดนั่งยองๆ เขาหยิบก้อนหินและ โยนลงไปในหนองน้ำเบาๆ หินจมลง ช้าๆ และมีฟองอากาศขนาดเล็กจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นบนพื้นผิวสิ่งปฏิกูลสีดำ
“สถานที่เช่นนี้จะมีสัตว์เทพกำเนิดหรือ?” วัลโดขมวดคิ้วมองสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายตรงหน้าแล้วถามอย่างสงสัย
“มีเรื่องเล่ากัน ว่ามีหนองน้ำลึกลับอยู่ในหุบเขาหลงทางที่ชื่อว่าบึงสีดำ เมื่อสามพันปีก่อนผู้ที่เชื่อในแสงสว่างและผู้ที่เชื่อด้านมืดต่อสู้กันในหุบเขาหลงทาง ผู้ที่เชื่อด้านมืดพ่ายแพ้ ศพของผู้คนสองพันคนจึงถูกฝังรวมกัน ผู้เชื่อในแสงสว่างได้ใช้คำสาปเพื่อกดวิญญาณของผู้เชื่อด้านมืดให้อยู่ภายใต้ผืนดินนั้นตลอดกาล วิญญาณสองพันดวงร่ำไห้ตลอดทั้งวัน ต่อมาผืนดินได้กลายเป็นหนองน้ำเพื่อปกปิดเสียงร่ำไห้ของวิญญาณทั้งสองพันนั้น” เหลิ่งหลิงยวิ๋นยืนอยู่ที่ริมหนองน้ำ เขามองผิวน้ำสีดำและ ค่อยๆ เล่า ด้วยน้ำเสียงที่ลึกล้ำ