เสน่ห์คมดาบ - เสน่ห์คมดาบ - ตอนที่ 105
ไม่มีใครสังเกตเห็นตงเฟิงโฮ่วที่เพิ่งมาเมื่อครู่และกำลังพึมพำอะไรบางอย่าง ผู้ชายคนนี้มักจะช้าเสมอ ตั้งแต่ที่แคลร์ได้รับบาดเจ็บจนกระทั่งเหลิ่งหลิงยวิ๋นถูกควบคุม เขาก็ยังคงสับสนอยู่เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ในที่สุดเขาก็เข้าใจและ รู้ว่า ควรทำอะไรสักอย่าง
“มันคือจิตวิญญาณธาตุดินระดับต่ำ!” ในที่สุด เสียงของนักเวทย์อีกฝ่ายที่กำลังสับสนก็ดังขึ้น “อีกฝ่ายมีผู้อัญเชิญ!” เมื่อวัลโดได้ยินดังนั้น เขาจึงรู้ว่าตงเฟิงโฮ่วผู้โง่เขลา กำลังร่ายคาถาอัญเชิญของเขาอยู่
เมื่อเสียงของอีกฝ่าย เปิดเผยตำแหน่งออกมา พวกเขาจะปล่อยโอกาสที่ดีเช่นนี้ไปได้อย่างไร ลูกศรของเฉียวฉู่ซินยิงกระหน่ำใส่ฝ่ายนั้นราวกับสายฝน ลูกศรเวทย์กระทบกับเขตกั้นดังสนั่น พวกเขาจินตนาการออกเลยว่านักเวทย์ของอีกฝ่าย ต้องต่อสู้ลำบากแค่ไหน
เหลิ่งหลิงยวิ๋นอยากจะทำอะไรสักอย่างแต่หากใช้เวทย์ธาตุสว่างของเขาเมื่อไหร่บริเวณโดยรอบก็จะสว่างขึ้นซึ่งจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามมีโอกาสควบคุมเงาได้ เหลิ่งหลิงยวิ๋นจึงนั่งยองๆ อยู่หลังต้นไม้ เขากำมือจนข้อนิ้วเป็นสีขาวนี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกขุ่นมัวอยู่ในใจ
“อ่า เกิดอะไรขึ้น! ทำไม…” เสียงของอีกฝ่ายตื่นตระหนกและสับสน จากนั้นเสียงก็เงียบลง
ที่มุมปากของวัลโดมีความเยาะเย้ยอยู่ ความมืดคืออาวุธ ของเขาและเขาจะมีพลังเช่นนี้ในความมืดเท่านั้นอีกฝ่ายประมาทเกินไปที่เอาแต่คิดรับมือกับสิ่งที่ตงเฟิงโฮ่วเรียกออกมาโดยไม่ได้สนใจลมหายใจแห่งความมืดที่เข้าใกล้พวกเขาอย่างเงียบๆ ลมหายใจแห่งความมืด คือเวทมนตร์ที่ร้ายแรงที่สุดของวัลโดซึ่งเป็นเวทมนตร์ แห่งความมืดที่มีผลทำให้เป็นอัมพาตได้
ความเพลี่ยงพล้ำครั้งนี้ทำให้นักรบผู้ยิ่งใหญ่หันความสนใจไปทางนั้นจนเสียสมาธิไปเล็กน้อย จินเหยียนจึงใช้โอกาสนี้! เอาชัยชนะมา!
“หึ!” วัลโดส่งเสียงเย็นชาและลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว เขาโบกมือเพื่อกำจัดความมืดที่ปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ทั้งหมด สภาพแวดล้อมโดยรอบค่อยๆ สว่างขึ้น ไข่ของสัตว์เทพที่ลอยอยู่ในอากาศยังคงหมุนอย่างช้าๆ แสงหลากสีก็ส่องสว่างไปรอบๆ
ทุกคนมองด้วยความประหลาดใจ พวกเขาเห็นคนของฝั่งตรงข้ามทั้งสี่คน ดิ้นรนอยู่กับพื้นและไม่สามารถขยับตัวได้ อีกทั้งเท้าของแฝดหญิงทั้งสองยังถูกมือเล็กๆ สีน้ำตาลทั้งสี่ที่โผล่ออกมาจากพื้นจับแน่น สองเท้าที่ถูกจับนั้นมีรอยเลือดจางๆ นั่นคือวิญญาณดินระดับต่ำ!พวกมันถูกตงเฟิงโฮ่วเพื่อนที่น่าเบื่อคนนั้นเรียกมา
“อ๊า… ” เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้นทันที ทุกคนหันหน้าไปมองและเห็นว่าจินเหยียนได้จัดการกับแขน ข้างหนึ่งของนักรบ แขนของเขา ถูกจินเหยียนตัดขาดจนเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว ขวานขนาดใหญ่นั้นตกลงที่พื้น จินเหยียนไม่ให้โอกาสนักรบได้หายใจเลย เขาใช้ดาบอันแหลมคมแทงทะลุหน้าอกของนักรบแล้วตอกตรึงเขากับพื้น ดวงตาของนักรบเบิกกว้าง เลือดพุ่งออกจากมุมปาก เขามองจินเหยียนแต่ ยังไม่ตาย
“พี่ชาย!”
“พี่ชาย!”
กลุ่มคนที่ล้มลงกับพื้นเป็นอัมพาตและขยับไม่ได้นั้นกรีดร้องออกมาอย่างเศร้าโศก แต่เสียงของพวกเขากลับแผ่วเบาและน่าเวทนามาก เนื่องจากร่างกายของพวกเขาเป็นไปอัมพาตทั้งตัวและลิ้นก็เกือบเป็นอัมพาตด้วยเช่นกัน
“อืม…” วัลโดยิ้มอย่างมืดมนและวิ่งไปที่ฝั่งตรงข้าม อาการอัมพาตมีเวลาจำกัด ดังนั้นเขาต้องจัดการกับคนเหล่านี้ในเวลาที่จำกัดนี้ให้เสร็จ
หลี่หมิงหยู่อุ้มแคลร์ที่อ่อนแอและเดินตามไป ผู้ชายที่น่าเบื่ออย่างตงเฟิงโฮ่วยังคงนั่งยองอยู่กับพื้นและ พึมพำสั่งวิญญาณธาตุดินระดับต่ำที่เขาเรียกมาเพื่อดึงเท้าของแฝดสาวอย่างแน่นหนาอยู่ หลังจากนั้นซัมเมอร์และเฉียวฉู่ซินก็ดุผู้ชายที่น่าเบื่อคนนี้ แต่คามิลล์บอกว่าชายที่เรียนสัตว์เวทย์ทะเลออกมาถล่มเมืองเพียงเพราะเขาถูกมัดและพยายามหาทางหนีจะมีสติปัญญาสูงแค่ไหนล่ะ? สิ่งนี้ทำให้ซัมเมอร์และเฉียวฉู๋ซินปล่อยตงเฟิงโฮ่วผู้บริสุทธิ์และน่าสงสารไป
ทุกคนรีบไปดูอีกฝ่าย ที่ล้มลงอยู่กับพื้น ใบหน้าของพวกเขามีความเศร้าโศกและความเกลียดชังบนใบหน้า พวกเขาทั้งหมด มองไปในทิศทางของจินเหยียน เวลานี้จินเหยียนยังไม่ได้ดึงดาบออกจากอกของนักรบเลย
หลี่เยว่เหวินรีบวิ่งไปด้วยใบหน้าที่โกรธจัด นางวิ่งไปหาเด็กสาวฝาแฝดคิดจะแทงไปที่อกด้วยกริชของนาง ในดวงตาของหญิงสาวฝาแฝดมีความกลัวอยู่ในนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่พวกนางรู้สึกว่าความตายอยู่ใกล้ตัวมากขนาดนี้
“เดี๋ยวก่อน!” วัลโดตะโกนขึ้น
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร? เจ้าชอบฝาแฝดคู่นี้หรือ?” หลี่เยว่เหวินหันหน้าไปตะคอกด้วยความโกรธ
” จะเป็นไปได้ยังไงล่ะ” วัลโดขมวดคิ้วและถอนหายใจ “ซ่าพวกมันแบบนี้ ง่ายเกินไป !”
เมื่อหลี่เยว่เหวินได้ยินดังนั้นใบหน้าของนางก็นิ่งลงเล็กน้อย แต่แล้วมือของนางก็เริ่มขยับอีกครั้งและแทง กริช ไปเข้าไปที่ข้อมือข้างหนึ่งของหญิงสาวคนหนึ่งอย่างรุนแรง เลือดไหลทะลักออกมาและผู้หญิงคนนั้นก็กรีดร้อง จากนั้นหลี่เยว่เหวินก็ดึงกริชออกอย่างรุนแรงและแทงข้อมือของหญิงสาวอีกคนอีกครั้ง
“เจ้าพูดถูก มันง่ายเกินไปที่จะแทงพวกเขาให้ตายในครั้งเดียว” หลี่เยว่เหวินกัดฟันพูดอย่างขมขื่นแล้วยืนขึ้นเหยียบบาดแผลที่ข้อมือของหญิงสาว จากนั้นก็ขยี้อย่างรุนแรง หญิงสาวแสดงสีหน้าเจ็บปวดและสาปแช่ง ไม่มีใครเข้าใจอารมณ์ของหลี่เยว่เหวินในเวลานี้ได้ เพราะหลังจากที่นางเป็นผู้ที่ทำให้แคลร์ต้องบาดเจ็บ หัวใจของนางก็จมอยู่กับความเสียใจและโทษตัวเองอย่างไม่รู้จบ ในช่วงเวลาที่นางอยู่กับแคลร์ นางตกหลุมรักหญิงสาวที่ดู น่ารังเกียจผู้นี้ไปแล้ว
“จินเหยียน ฆ่านักรบผู้นั้นซะ” แคลร์พูดออกมาเรียบๆ
“อย่านะ! ข้าขอร้อง อย่า” ใบหน้าของทั้งสี่คนที่อยู่ กับพื้นดูความเจ็บปวดและร้องขอความเมตตา
“ข้าเกลียดคนอย่างเจ้าที่สุด! ไร้ยางอาย ถุย!” ซัมเมอร์เตะนักเวทย์ที่อยู่ใกล้นางมากที่สุดและถุยน้ำลายอย่างแรง “เจ้าฆ่าคนอื่นจนเป็นเรื่องธรรมดา หากพวกเขาขอความเมตตา พวกเจ้าก็ไม่เคยให้ แต่พอถึงคราวที่ตัวเองจะถูกฆ่ากลับ ร้อง ขอความเมตตา ทำไมล่ะ ทีเจ้ายังฆ่าคนอื่นตามใจตัวเองเลย คนอื่นจะฆ่าเจ้าบ้างไม่ได้หรือไง?”
ทั้งสี่คนที่นอนอยู่บนพื้นสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที ดวงตาของพวกเขาดูหมดหวัง พวกเขารู้ว่าคืนนี้ทุกอย่างจบลงแล้ว
ไม่มีการแสดงออกใดๆ บนใบหน้าของจินเหยียน เขาดึงดาบออกจากหน้าอกของนักรบแล้วยกขึ้นสูง จากนั้นก็เหวี่ยงดาบลง ตัดศีรษะของนักรบ ออกอย่างรุนแรง เลือดสาดกระจายไปทั่ว พื้นผิวน้ำสีดำ ถูกย้อมเป็นสีแดงดำ ภาพนี้ ดูแปลกประหลาดมาก
“เจ้าพวกสัตว์ร้าย!” นักเวทย์ตัวผอมกัดฟัน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง พวกเขาไม่เคยคิดว่าจะพ่ายแพ้ให้กับคนอื่นๆและ ไม่คิดเลยว่าพี่ชายคนโตที่มีแข็งแกร่งมาก ในความรู้สึก ของพวกเขาจะถูกตัดหัวขาดเช่นนี้! ตอนนี้พวกเขาเองก็ติดกับดักและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ นี่เป็นสถานการณ์อันตรายที่พวกเขาไม่เคยพบเจอมาก่อนเลย!
“แต่เจ้ายิ่งเก่งต่ำต้อยกว่า สัตว์ร้าย ” ซัมเมอร์ก้าวขึ้นไปบนใบหน้าของนักเวทย์ นางทำตามหลี่เยว่เหวินโดย เหยียบและบดขยี้หน้าเขาอย่างรุนแรง เมื่อคิดว่าหาก นางถูกควบคุมให้ทำร้ายแคลร์ นางคงไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญกับสถานการณ์นี้ อย่างไรเลย นางตื่นตระหนกและหวาดกลัวมาก
“ถอนรากถอนโคนพวกมันและจัดการโดย เร็ว สัตว์เทพกำลังจะออกมาแล้ว” แคลร์ขมวดคิ้วและพูด
“ใช่ รีบฆ่าพวกมันซะ พวกมันเป็น อัมพาตแบบนี้ ได้ไม่นานนักหรอก” วัลโดหยิบกริชออกมาแล้วนั่งยองๆ เขาไม่แทงส่วนสำคัญของคู่ต่อสู้ แต่ เล็งไปที่มือและเท้าของคู่ต่อสู้ จากนั้นก็แทงเข้าที่ท้องของพวกเขา ทันใดนั้นเลือดก็ไหลออกมา ต่อหน้าเขา อีกฝ่ายส่งเสียงร้องอย่างน่าสังเวช จากที่ดึงดันในตอนแรกก็ค่อยๆ อ่อนแรงลงและเปลี่ยนเป็นการร้องขอความเมตตา แต่วัลโดไม่สนใจ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วย ความโกรธและความเกลียดชังที่ไม่มีใครสามารถมองเห็นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาแทงไปที่หญิงสาวฝาแฝด วัลโดแทงที่ฝ่ามือของทั้งสองซ้ำแล้วซ้ำอีก เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้นไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีใครหยุดยั้งความโหดร้ายและการนองเลือดนี้ รวมไปถึง เหลิ่งหลิงยวิ๋นผู้เป็นบุตรแห่งแสง ด้วย เหลิ่งหลิงยวิ๋นมองทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างไม่แยแสและไม่คิดที่จะหยุด คนพวกนี้สมควรตาย ส่วนจะตายอย่างไรเขาไม่สนใจหรอก
ซัมเมอร์ไม่สามารถทนมองฉากที่โหดร้ายและนองเลือดต่อหน้าต่อตานี้ได้ นางจึงหันหน้าหนี และนั่งยองๆ พร้อมอาเจียน ส่วนคนอื่นๆ ยืนมองทุกอย่างตรงหน้าอย่างเย็นชา พวกเขา ไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย
“อืม วัลโด เจ้าไม่จำเป็นต้องเสียเวลาหรอก” แคลร์พูดเบาๆ วัลโดส่งเสียงอย่างเย็นชา จากนั้นก็ชักกริชแทงไปที่คนทั้งหมดบนพื้นทีละคน
หลังจากทำทั้งหมดนี้เสร็จแล้ว วัลโดก็ค่อยๆ ลุกขึ้นและหายใจออก เขาหันหน้าไปถามอาการบาดเจ็บของแคลร์แล้วเขาก็พบกับดวงตาที่เย็นชาของเหลิ่งหลิงยวิ๋น
“เจ้าเป็นนักเวทย์มนตร์ดำหรือ?” เสียงเย็นๆ ของเหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดขึ้นเบาๆแต่มีความหมายแฝงอยู่ในน้ำเสียง
วัลโดตะลึงและ หนาวสันหลัง เมื่อกี้ เป็นสถานการณ์ เร่งด่วนต้องรีบดำเนินการ แต่ตอนนี้เขาจำได้แล้วว่า เหลิ่งหลิงยวิ๋นอยู่กับพวกเขาด้วย ใบหน้าขาวเล็กๆนั้น… ความเสี่ยงสูงมาก วัลโดตายในเงื้อมมือเขาไปแล้วครั้งหนึ่ง วัลโดไม่อยากทำผิดซ้ำอีก ที่สำคัญที่สุดคือคราวนี้เขาไม่มีหินจิตวิญญาณให้แนบร่างวิญญาณของเขาได้อีกแล้ว วัลโดก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างช้าๆ และมองเหลิ่งหลิงยวิ๋นอย่างระแวดระวัง
เหลิ่งหลิงยวิ๋นไม่ได้พูดอะไร เขามองวัลโดเงียบๆ ในใจของวัลโดรู้สึกหนาวสั่น ขณะที่เหลิ่งหลิงยวิ๋นมองด้วยสายตาเย็นชา ทุกคนก็เงียบไปชั่วขณะ พวกเขาทั้งหมดมองฉากตรงหน้าและพูดไม่ออก แสงสว่างและความมืดเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกันเสมอ ดั่งไฟและน้ำที่เข้ากันไม่ได้
บรรยากาศอึดอัดจงน จะระเบิด ทุกคนกังวลจนรู้สึกเกร็งไปหมด
ในที่สุดก็มีเสียงดังขึ้นและก็ทำลายบรรยากาศอึมครึมนั้น
“ใช่ เขาเป็นนักเวทย์มนตร์ดำ” เสียงของแคลร์ดัง ออกมา แม้ว่าเสียงของแคลร์จะเบา แต่น้ำเสียงก็หนักแน่นมาก “หากเจ้าจะโจมตีเขา ข้าจะไม่ยอมเด็ดขาด “
ทุกคนมองแคลร์ที่หน้าซีดเซียวด้วยอารมณ์ ที่แตกต่างกัน วัลโดไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ เขาทำได้เพียงแค่มองแคลร์ด้วยใบหน้านิ่ง แต่หัวใจของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วย ความอบอุ่น