เสน่ห์คมดาบ - เสน่ห์คมดาบ - ตอนที่ 117
“สร้างพันธะกับสัตว์เวทย์สองตัว เจ้าทำได้อย่างไร?” หลี่หมิงหยู่มองแคลร์อย่างงุนงง
“ก็ทำไปเช่นนั้นแหละ” แคลร์เก็บดาบเปลวเพลิง จากนั้นก็หันไปหยิบดาบชังหลันที่นางเพิ่งโยนลงพื้นขึ้นมาแล้วเลิกคิ้ว “พวกเจ้านี่จนจริงๆ นะ ต้องพึ่งแสงจากเทียนทั้งหมดเลย”
สีหน้าของหลี่เยว่เหวินเปลี่ยนไปทันทีเลย
“นี่พี่สาว เมื่อไหร่กันที่เจ้าอารมณ์แปรปรวนขนาดนี้?” แคลร์หันไปมองหลี่เยว่เหวินยิ้มๆ จากนั้นก็พูดต่อ “เงินน่ะ พวกเราแค่ไปหามาก็จบแล้วนี่”
“เจ้าพูดง่ายๆ ไปได้ คนในตระกูลหลี่ของเราไม่มีใครที่มีความสามารถด้านการค้าขายเลย ถึงแม้ว่าจะมีก็ไม่สามารถทำ อะไรได้หรอก หอการค้าของตระกูลเฟิงแทบจะผูกขาดกิจการทั้งหมด 80% ของธุรกิจต่างๆ ก็ล้วนเป็นกิจการภายใต้ชื่อของตระกูลเฟิงทั้งนั้น” หลี่เยว่เหวินพูดอย่างอารมณ์เสีย
“งั้นหรือ?” แคลร์ลูบคาง กะพริบตาแล้วพูด “เช่นนั้นแล้วอย่างไรล่ะ? พวกเจ้าไม่มีหัวเรื่องค้าขาย ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าไม่มีนี่” แคลร์พูด
ประกายบางอย่างปรากฏขึ้นในดวงตาของจินเหยียน หรือว่า หรือว่าคุณหนูคิดจะไปขอความช่วยเหลือจากเฟิงอี้เซวียน? แต่แล้วเขาก็ปัดความคิดนั้นทิ้งไป จากนิสัยของคุณหนูแล้ว นางไม่มีทาง ทำเรื่องเช่นนั้นแน่นอน ถ้าอย่างนั้น คุณหนูคิดจะทำอะไรกันแน่นะ?
“ไปนอนก่อนแล้วกัน ข้าเหนื่อยจะแย่ พี่สาว พี่ชาย ราตรีสวัสดิ์นะ รอให้ข้าพักผ่อนให้พอก่อนแล้วค่อยมาคุยเรื่องอื่นกัน” แคลร์โยนดาบชังหลันกลับไปในแหวนมิติแล้วก็หมุนตัวเดินไปทางห้องนอน โดยมีจินเหยียนเดินตามหลังไป เงียบๆ
ภายในห้องโถง มี เพียงแค่หลี่เยว่เหวินและหลี่หมิงหยู่เหลืออยู่เท่านั้น และทั้งสองก็ มองหน้ากันและกัน
“พี่ใหญ่ พี่คิดว่ายัยนั่นจะสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในตอนนี้ได้จริงๆ หรือ?” หลี่เยว่เหวินกัดริมฝีปากแล้วพูด
“ข้าแค่รู้สึกว่าพายุกำลังจะมา” หลี่หมิงหยู่พูดอย่างเคร่งขรึม
ทิศตะวันออกเริ่มค่อยๆ สว่าง ท้องฟ้ากำลังสว่างขึ้นแต่แคลร์ยังคงหลับอยู่ เงียบๆ
เฮยหยู่กับไป๋ตี้พิงหมอนของนางอยู่ทั้งซ้ายและขวา
วืบ…
เส้นผมดุจหิมะ ดวงตาสีขาว
ร่างแท้จริงของไป๋ตี้ที่มีใบหน้าเย็นชาปรากฏขึ้น ใบหน้าที่งดงามนั้นมีแต่ความเฉยเมย เขามองไปที่เฮยหยู่อย่างเย็นชา
เฮยหยู่กระพือปีกแล้วบินขึ้นไปในอากาศ
วืบ…
เส้นผมดำขลับดุจน้ำหมึก ดวงตาสีดำ
ชายที่ร่างกายเป็นสีดำ ใบหน้าที่งดงามราวกับภาพวาดนั้นเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง เขามองไปที่ไป๋ตี้ด้วย รอยยิ้มเย็นชา
ไป๋ตี้สะบัดนิ้ว ขนตาของแคลร์ที่มีการขยับกลับมานิ่งสนิท อีกครั้ง และ นางก็หลับ เงียบๆ ต่อไป
“พวกเราดูเหมือนจะไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” เฮยหยู่ยิ้มเยาะ ในน้ำเสียงนั้นมีความหยิ่งและยั่วยุอยู่อย่างชัดเจน
ไป๋ตี้เงียบไปและยังคงมองเฮยหยู่อย่างเย็นชาเช่นเดิม
“อย่า มองข้าเช่นนี้นะ อย่างไรซะ ตอนนี้เราก็ครอบครองพันธะสัญญาเดียวกันแล้ว แม้ว่าตอนนี้ยัยนี่จะยังคงอ่อนแอน่าสงสารอยู่ก็ตาม” เฮยหยู่มองแคลร์ เงียบๆ แล้วพูดพร้อมยิ้มเยาะ “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเจ้าจะเลือกเด็กที่อ่อนแอเช่นนี้เป็นคู่พันธะของเจ้า”
“เจ้าเองก็เลือกไม่ใช่หรือ?” ไป๋ตี้พูดเรียบๆ ด้วยเสียงเย็นชา
“ ขอแค่เจ้าถูกใจ ข้าก็พร้อมจะแย่งอยู่แล้ว!” มุมปากของเฮยหยู่มีรอยยิ้มปรากฎขึ้น
“แต่ผลก็คือเจ้าเองก็สร้างพันธะกับเด็กที่เจ้าพูดถึง” ไป๋ตี้น้ำเสียงเย็นชาและพูดยั่วยุอย่างเต็มที่
สีหน้าของเฮยหยู่ค่อยๆ เปลี่ยนไป ในสายตานั้นมีความโกรธและแววตาดุดัน อยู่ “มันจะเป็นแบบนี้ไปอีกไม่นานหรอก”
“ใช่ ไม่นานหรอก ก็แค่ไม่รู้ว่าเจ้าจะได้เป็นนาย หรือว่าเด็กที่เจ้าว่าจะกลายเป็นนายของพวกเรา” ไป๋ตี้มองเฮยหยู่ที่สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างเย็นชาและพูดออกมา
เฮยหยู่ขมวดคิ้ว “ข้าก็อยากจะดูว่านางจะมีความสามารถ กลายเป็นเจ้านายของข้าได้หรือไม่!”
“ก็รอดูกันต่อไป” ไป๋ตี้ก้มหน้าลง มองแคลร์ที่กำลังหลับด้วยแววตาที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้แล้วยื่นมือออกไปลูบที่ใบหน้าของแคลร์เบาๆ
“ทำไม? เจ้าหวั่นไหวกับเด็กนี่หรือ?” เฮยหยู่มองไป๋ตี้อย่างขบขัน
“เจ้ารู้สึกว่านางเป็นเด็กจริงๆ น่ะหรือ?” ไป๋ตี้ไม่ได้เงยหน้า ยังคงมองไปที่ใบหน้าของแคลร์
สีหน้าของเฮยหยู่เปลี่ยนไปอีกครั้งแล้วค่อยๆ ก้มลงมองหน้าแคลร์ จากนั้นก็พูดเสียงต่ำ “จิตวิญญาณภายในร่างนี้ งดงามมาก และร่างดั้งเดิมของนางก็มีสีดำทั้งสองประการ ผมสีดำและดวงตาสีดำ!”
ไป๋ตี้เงียบ ยอมรับคำพูดของเฮยหยู่
“ดังนั้นเทพเจ้าแห่งความมืดที่ไร้ยางอายนั่นจึงชอบนางสินะ? เขาก็เลยตีตราไว้ที่นางงั้นสิ?” เฮยหยู่จับที่มือขวาของแคลร์
“ไม่ใช่ ถ้าเพียงเท่านี้ เทพเจ้าแห่งความมืดคงไม่ชอบนางได้หรอก” ไป๋ตี้ส่ายหัว
“ถ้าเช่นนั้นคืออะไร?” เฮยหยู่ถอดถุงมือที่มือขวาของแคลร์ออก เขามองที่ตราสีดำนั้นและขมวดคิ้วก่อน ถามต่อ ตอนนี้เจ้าของร่างนี้คือคู่พันธะของเขา เขาจะต้องเข้าใจทุกอย่างให้ชัดเจน
“นางคือส่วนผสมที่ลงตัวที่สุดของความมืดและแสงสว่าง ความชั่วร้ายและความยุติธรรม” ไป๋ตี้มองใบหน้าที่นิ่งสงบของแคลร์แล้วพูด
“อะไรนะ! ความหมายของเจ้าก็คือ นางคือผู้ที่จะถูกสังเวยสำหรับเรื่องนั้นน่ะหรือ…” ในที่สุดสีหน้าของเฮยหยู่ก็เปลี่ยนไป
ไป๋ตี้เงียบ แต่การแสดงออกที่เคร่งขรึมนั้นกลับบอกให้รู้ว่าการคาดเดาของเฮยหยู่ถูกต้อง
“ให้ตายสิ!ข้าเพิ่งจะได้กำเนิดใหม่และพบ คู่พันธะ แต่เรื่องก็ยุ่งยากขนาดนี้แล้วหรือ” เฮยหยู่ก่นด่าอย่างหงุดหงิด
“รอให้พลังทั้งหมดของข้าฟื้นคืนมาก่อน แล้วข้าจะหยุดมัน” ไป๋ตี้หยิบถุงมือที่อยู่ในมือของเฮยหยู่มาสวมให้แคลร์อย่างระมัดระวัง
“แล้วแต่เลย ตามใจเจ้าเถอะ” เฮยหยู่พูดด้วยเสียงไม่พอใจ “ข้าอยู่ในร่างนี้ได้ไม่นานนัก พลังยังไม่ได้ฟื้นคืนมาทั้งหมด” เฮยหยู่กลับไปอยู่ข้างหมอนของแคลร์ มีเสียงวืบครั้งหนึ่งแล้วเขาก็กลายเป็นก้อนกลมๆ ดำๆ นอนอยู่ที่ข้างหมอนของแคลร์และ หลับไป เงียบๆ
ไป๋ตี้มองแคลร์และนิ่งเงียบอยู่นาน ในที่สุดก็มีเสียงวืบเกิดขึ้นอีก แล้วเขาก็กลับไปเป็นก้อนกลมสีขาวหลับอยู่ที่ข้างหมอนของแคลร์เช่นกัน
บรรยากาศโดยรอบมีแต่ ความว้าวุ่นและความมืดมิด ที่ใต้ฝ่าเท้าของแคลร์คือถนนที่ขรุขระ นาง เงยหน้าขึ้น ตรงหน้ามีแต่ความมืด มองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น รอบข้างไม่มีใครสักคนเลย ไม่มีสองพี่น้องตระกูลหลี่ ไม่มีจินเหยียน ไม่มีวัลโด ไม่มีซัมเมอร์และเฉียวฉู่ซิน คามิลล์ก็ไม่อยู่… มีเพียงแค่ความเงียบงัน
นี่ที่คือที่ไหนกันนะ?
แคลร์เหยียบกรวดบาดฝ่าเท้า เลือดจากบาดแผลไหลออกมา ช้าๆ
ทันใดนั้น ความมืดรอบๆ ก็ค่อยๆ รวมตัวกันเป็นก้อนสีดำสนิท ดวงตาสีแดงฉานคู่หนึ่งในนั้นจ้องมองไปที่แคลร์
เทพเจ้าแห่งความมืด?!
“แคลร์ เจ้ามีตราของข้าแล้ว เจ้าคือเครื่องสังเวยที่ล้ำค่าของข้า” น้ำเสียงที่เยือกเย็นน่ากลัวพูดเสียงต่ำ
“ข้าหรือ! ข้าไม่มีวันยอมเป็นเครื่องสังเวยให้ท่านเชือดหรอก!” แคลร์กำหมัดแน่นและตะโกนใส่ความดำมืดนั้น
“เจ้าคิดว่าเจ้าจะหนีพ้นอย่างนั้นหรือ? เจ้าเป็นของข้า เจ้าต้องจำเอาไว้ เมื่อถึงเวลา ข้าจะมาหาเจ้าอย่างแน่นอน” เทพเจ้าแห่งความมืดหัวเราะ
ตรงบริเวณตราที่หลังมือขวาของแคลร์เกิดความร้อนขึ้น แคลร์ก้มลงไปมอง แต่กลับเห็นว่าตรานั้นได้กลายเป็นสีดำสนิทไปแล้ว
“เจ้าหนีไม่พ้นหรอก แล้วเจ้าก็ไม่สามารถ ต้านทานข้าได้ด้วย” เทพเจ้าแห่งความมืดยิ้มเยาะแล้วตาข่ายสีดำเยือกเย็นก็โจมตีแคลร์ ตาข่ายล้อมรอบนาง อย่างแน่นหนาและแน่นยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนหายใจลำบากและ ทำให้แคลร์เหงื่อท่วมไปหมด
“ไม่…” แคลร์ร้องออกมาแล้วลืมตาขึ้นทันที แต่นางกลับ เห็นเพียงม่านคลุมเตียงที่อยู่ด้านบน
ฝันไปอย่างนั้นหรือ?
“คุณหนู?!” เสียงจินเหยียนเคาะประตูถี่ๆ น้ำเสียงนั้นมีความเป็นห่วงมาก “คุณหนูครับ เป็นอะไรหรือครับ?”
แคลร์พยุงตัวเพื่อจะลุกขึ้นนั่ง แต่ก็พบว่ามีสิ่งมีชีวิตเล็กๆ สองตัวนอนอยู่ที่หน้าอกของนาง เจ้าตัวขนสีดำและเจ้าตัวขนสีขาว ทั้งสองตัวกำลังหลับอยู่ที่อกของนาง แคลร์กระตุกมุมปาก มิน่าล่ะนางถึงได้ฝันร้าย ที่แท้ก็เจ้าสองตัวนี้กดทับอยู่ที่หน้าอกของนางนี่เอง
“ข้าไม่เป็นไรจินเหยียน แค่ฝันร้ายเท่านั้นเอง” แคลร์รีบบอกจินเหยียนที่อยู่หน้าประตูด้วยเสียงสงบ เพราะ นางรู้ว่าถ้าไม่ตอบออกไป เขา คงจะพังประตูเข้ามาแน่ๆ
“ครับ คุณหนูไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” มีความโล่งอกอยู่ในน้ำเสียงของจินเหยียน
“เจ้าไปพักผ่อนเถอะ” แคลร์พูด จากนั้นก็อุ้มเจ้าสองตัวที่อยู่ที่บนหน้าอกลงมาแล้ววางไว้ที่ข้างหมอน
“ครับ” จินเหยียนตอบและ กำลังจะออกไป
“เดี๋ยวก่อน ตอนนี้เป็นเวลาเท่าไหร่แล้ว? ข้านอนไปนานแค่ไหน?” แคลร์ถามออกไป
“ตอนนี้เป็นเวลา เช้าครับ คุณหนูนอนไปหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว” จินเหยียนตอบจากด้านนอก
“อื้อ” แคลร์ลุกขึ้นแล้วเสียงโครกครากในท้องก็ดังขึ้น แคลร์ขมวดคิ้ว “ข้าจะลุกแล้ว เจ้าไปบอกให้คนเตรียมอาหารให้ข้าที ข้าหิว”
“ครับ คุณหนู” จินเหยียนพูดจบ เสียงฝีเท้าก็ค่อยๆ ห่างออกไป
แคลร์ลุกขึ้นแต่งตัวให้เรียบร้อย แต่ในใจก็ยังไม่หยุดคิดเรื่องความฝันเมื่อครู่ ความรู้สึกของการหายใจไม่ออกนั้น รุนแรงและดูสมจริงมากๆ นางไม่มีทางยอมให้เรื่องแบบนี้กลายเป็นเรื่องจริงเด็ดขาด! แคลร์กำหมัดแน่น เมื่อแต่งตัวเสร็จนางก็เดินออกจากห้องไป
มื้อเช้าวันนี้ดูคึกคักเป็นพิเศษ เพราะว่าแคลร์ฟื้นแล้ว ทุกคนจึงทานอาหารกันด้วยความสุข
“พี่สาว ช่วยบอกข้าเกี่ยวกับสถานการณ์ของหอการค้าในเมืองลากัคตอนนี้และข้อมูลส่วนตัวของประธานหอการค้าทุกคนให้มากที่สุดหน่อยสิ” หลังจากที่แคลร์กินเสร็จก็เช็ดปากแล้วพูดกับหลี่เยว่เหวิน
“ข้อมูลส่วนตัวด้วยหรือ?” หลี่เยว่เหวินงง ให้บอกข้อมูลหอการค้าแล้วยังต้องการข้อมูลส่วนตัวอีกหรือ?
“อี้ม ในช่วงนี้มีเหตุการณ์หรืองานอะไรที่สำคัญๆ บ้างหรือไม่? ที่น่าสนใจน่ะ?” แคลร์รับชาดอกไม้ของคามิลล์มาดื่มและถามต่อ
“หืม? นี่มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่จะหาเงินล่ะ?” หลี่เยว่เหวินถามอย่างงุนงง
แคลร์ไม่สามารถอธิบายเรื่องผลลัพธ์ของการโฆษณาให้พวกเขาฟังได้ จึงตอบออกไป “เกี่ยวสิ แล้วตกลงว่ามีเรื่องอะไรที่น่าสนใจหรือไม่ล่ะ?”
“มี” หลี่เยว่เหวินพยักหน้า “ในอีกสองสัปดาห์จะมีการจัดงานระดมทุนครั้งใหญ่ แล้วเงินที่ได้รับจากการบริจาคก็จะนำไปใช้รักษา ผู้คนที่ยากไร้ องค์รัชทายาทองค์ปัจจุบันก็จะเสด็จมาด้วย อีกทั้งยังมีสาวงามอันดับหนึ่งไปด้วยนะ”
“องค์รัชทายาท? สาวงามอันดับหนึ่ง?” แคลร์วางชาลงแล้วถามอย่างไม่เข้าใจ
“เหอะๆ แคลร์ ที่จริงมีสาวงามถึงสามนางนะ นับเป็นความงามทั้งสาม หนึ่งคือฮว๋าซิ่วหนิงจากตระกูลฮว๋า แล้วก็สุ่ยซินเม่ยจากตระกูลสุ่ย” หลี่หมิงหยู่อธิบายอย่างขบขัน