เสน่ห์คมดาบ - เสน่ห์คมดาบ - ตอนที่ 132
ความรู้สึกแสบร้อนที่หลังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
กระจกดอกบัวขั้นแปดบรรลุแล้ว!
เช่นนั้นก็แสดงว่าสายฟ้าฟาดกำลังมา!
ครั้งนี้ ดอกบัวสีทองหลับสนิทอยู่จะไม่มีการป้องกันของดอกบัวสีทอง! ขั้นที่แปดจะต้องสัมผัสกับสายฟ้าทั้งเจ็ด!
หากปราศจากการปกป้องของดอกบัวสีทอง นางจะทนต่อสายฟ้าทั้งเจ็ดนี้ได้อย่างไรกัน?
ทุกคนงงกับการไปอย่างกะทันหันของแคลร์ ทุกสายตาจับจ้องไปที่แผ่นหลังที่กำลังหายไปอย่างรวดเร็วในอากาศนั้น
เฟิงอี้เซวียนไม่ได้พูดอะไรสักคำ เขากางปีกลมแล้วตามไป สุ่ยเหวินโม่ก่นด่าและก็วิ่งตามพวกเขาไป
จินเหยียนและพวกเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นทันทีแคลร์บรรลุอีกแล้ว!
“ดยุกหลี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” จักรพรรดิขมวดคิ้วเล็กน้อยหันหน้าไปถามหลี่หมิงหยู่ที่กำลังกังวล
“ฝ่าบาท เรามีเรื่องส่วนตัวที่ต้องไปจัดการ ต้องขอทูลลาพะย่ะค่ะ” หลี่หมิงหยู่มองตามแคลร์ที่บินไกลออกไปในอากาศอย่างกังวลแล้วพูด
ก่อนที่จักรพรรดิจะพูดอะไร อันลิซ่าก็พูดอย่างกังวล “ฝ่าบาท โปรดดูแลที่นี่ ข้าจะอธิบายให้ฟังเมื่อกลับมา” ลิซ่าพูดจบก็บินขึ้นไปในอากาศตามเฟิงอี้เซวียนไป
จินเหยียนและพวกก็รีบออกไปแล้วตามไปนอกเมืองทันที
จักรพรรดิขมวดคิ้วเล็กน้อย มองไปที่ท้องฟ้าที่อยู่ห่างไกล แต่ก็โบกมือเพื่อจัดการกับสถานที่ในตอนนี้ เวทีการแข่งขันพังทลายลงไปแล้ว การแข่งขันจึงต้องเลื่อนออกไปเป็นวันพรุ่งนี้เท่านั้น
แคลร์บินอย่างรวดเร็วไปในอากาศ เฟิงอี้เซวียนไล่ตามไป และตามมาด้วยอันลิซ่า บนท้องฟ้าเมฆดำมืดกำลังรวมตัวกันอยู่
หัวใจของแคลร์นิ่งขึ้นเรื่อยๆ นางมีลางสังหรณ์ว่าครั้งนี้สายฟ้าไม่ธรรมดาแน่ หากไม่มีดอกบัวสีทอง นางจะรับมันไหวหรือไม่?
“แคลร์! แคลร์!” เฟิงอี้เซวียนเรียกอย่างกังวล
“เรียกอะไรนักหนา!” อันลิซ่ารีบเร่งความเร็วแซงเฟิงอี้เซวียนไปและจับตัวแคลร์ไว้อย่างรวดเร็ว
“มากับข้า!” อันลิซ่าพุ่งไปข้างหน้าและคว้าข้อมือของแคลร์ไว้เพื่อให้นางหยุด
“เจ้านี่เอง!” แคลร์มองอันลิซ่าด้วยความประหลาดใจ คนผู้นี้คือคนที่ทดสอบนางในคืนนั้น! ไม่ผิดแน่!
“ท่านแม่ ท่านจะทำอะไรน่ะ?” เฟิงอี้เซวียนตามไปและถามอย่างกังวล
อะไรนะ คนนี้เป็นแม่ของเฟิงอี้เซวียนหรือ?
“แคลร์ สายฟ้าฟาดของเจ้ากำลังจะมาแล้วไม่ใช่หรือ?” อันลิซ่าโพล่งคำพูดที่ทำให้แคลร์ตะลึง ทำไมแม่ของเฟิงอี้เซวียนถึงรู้ล่ะ?
“ใช่ ดังนั้นข้าไม่สามารถอยู่ในเมืองได้ สายฟ้าครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ถ้าข้าอยู่ที่นั่นมันจะส่งผลกระทบต่อผู้คนจำนวนมาก” แคลร์พูดตรงๆ อย่างไม่ปิดบัง
“ไปกันเถอะ!” อันลิซ่าคว้าเฟิงอี้เซวียนให้ทั้งสามคนยืนด้วยกัน จากนั้นนางก็หยิบม้วนหนังสือออกมาและเปิดออก แสงสีขาวเป็นประกายส่องออกมา จากนั้นร่างทั้งสามก็หายไปจากตรงนั้น
เหลิ่งหลิงยวิ๋นผู้ที่สามารถบินในอากาศได้ตามมาถึงก่อน เขาเห็นสามคนหายไปจากระยะไกลๆ และเขาเข้าใจว่าหญิงคนนั้นใช้เวทย์เคลื่อนย้ายที่! ม้วนอันล้ำค่าขนาดเล็กนั้นที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ถึงห้าคนเลย!
พวกเขาไปไหน? เหลิ่งหลิงยวิ๋นขมวดคิ้วมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบอะไร มองขึ้นไปบนท้องฟ้า เมฆดำบนท้องฟ้าก็สลายไปอย่างรวดเร็ว ไม่นะ! จะบอกว่าหายไปมันก็ไม่ใช่ ต้องบอกว่าพวกมันลอยไปทิศทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว แล้วก็หายไปในพริบตามากกว่า!
จินเหยียนและคนอื่นๆ ก็ไล่ตามมาทันแต่พวกเขาเห็นเหลิ่งหลิงยวิ๋นลอยอยู่ในอากาศด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เหลิ่งหลิงยวิ๋น แคลร์อยู่ที่ไหน?” ซัมเมอร์มองไปรอบๆ อย่างกังวล แต่ก็ไม่มีใคร
“ถูกพาตัวไปแล้ว” เหลิ่งหลิงยวิ๋นค่อยๆ ร่อนลงและพูดเบาๆ
“พาไป? ใครพาไป?” ซัมเมอร์กระวนกระวาย
“หญิงผู้นั้นที่ไล่ตามมาเมื่อกี้ ผู้ที่เป็นคนจัดการกองทัพของลากัค นางชื่ออันลิซ่า” เหลิ่งหลิงยวิ๋นรู้จักตัวตนของอันลิซ่าอยู่แล้ว แม้ว่าสำนักงานหลักของวิหารแห่งแสงจะไม่ได้อยู่ในลากัค แต่วิหารแห่งแสงก็รับรู้สถานการณ์ในลากัคเป็นอย่างดี
“อะไรนะ!” วัลโดอุทาน “นางพาแคลร์ไปไหน? ไปที่ไหน? นางคิดจะทำอะไร? ทำไมเจ้าไม่ขวางไว้ล่ะ? หรือว่านางอยากฆ่าแคลร์ในตอนที่แคลร์กำลังบาดเจ็บ?”
ความกังวลของวัลโดไม่ได้ไร้เหตุผล ความสัมพันธ์ระหว่างอันพาแกรนด์และลากัคตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ จุดแข็งของแคลร์ในวันนี้ ดึงดูดความสนใจของลากัคได้อย่างแน่นอน
“ข้าไม่รู้ ตอนที่ข้ามาถึง อันลิซ่าก็พาแคลร์ไปแล้วด้วยม้วนเวทย์เคลื่อนย้ายที่ แต่เจ้ามั่นใจได้ ตอนนี้แคลร์เป็นนักบวชของวิหารแห่งแสง ลากัคจะไม่โจมตีวิหารแห่งแสงหรอก”เสียงของเหลิ่งหลิงยวิ๋นต่ำลง แต่ก็มั่นใจอย่างประหลาด แม้แต่อันพาแกรนด์ที่ทรงพลังที่สุดยัง ไม่กล้าที่จะทำผลีผลามทำอะไรให้กระทบวิหารแห่งแสง ไม่ต้องพูดถึงลากัคที่ความแข็งแกร่งที่เป็นรองอันพาแกรนด์เลย
“เช่นนั้น แคลร์ปลอดภัยใช่หรือไม่?” ซัมเมอร์ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก นางเกือบลืมไปแล้วตอนนี้แคลร์เป็นนักบวชของวิหารแห่งแสง!
จินเหยียนขมวดคิ้ว แคลร์ปลอดภัย แต่ตัวนางอยู่ไหนล่ะ? หญิงผู้นั้นจะพานางไปไหน? จุดประสงค์คืออะไร?
จินเหยียนยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ
“ไม่ต้องกังวล แคลร์จะไม่เป็นอะไรหรอก หากข้าเดาไม่ผิด หญิงผู้นั้นต้องการจะช่วยนาง” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดกับทุกคน
“ให้ตายสิ! พวกเขาอยู่ไหนล่ะ?” ในตอนนี้สุ่ยเหวินโม่มาถึงที่นี่แล้ว แต่มีเพียงกลุ่มของจินเหยียนที่ยืนอยู่
“ถูกพาตัวไปแล้ว อันลิซ่าใช้ม้วนเวทย์เคลื่อนย้ายที่” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดเบาๆ
“อ่า! ไม่พาข้าไปด้วยเลย” สุ่ยเหวินโม่บ่นอย่างโกรธเคือง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเขาไปไหน?” จินเหยียนหันหน้าไปมองสุ่ยเหวินโม่แล้วถามเสียงทุ้ม ความวิตกกังวลในน้ำเสียงของเขาชัดเจนมาก
“ข้าไม่รู้หรอก” สุ่ยเหวินโม่พูดอย่างจริงจังพร้อมกับยักไหล่
“เจ้าไม่รู้แล้วเจ้าพูดให้เข้าใจผิดทำไม!” ซัมเมอร์พูดเสียงเย็นชาแล้วมองสุ่ยเหวินโม่
“อ่า ไม่เจอกันนานนะเจ้าหัวขโมยน้อย” สุ่ยเหวินโม่ยิ้มและทักทายซัมเมอร์
“หึ!” ซัมเมอร์ส่งเสียงเย็นชา ไม่สนใจสุ่ยเหวินโม่
“เช่นนี้ ท่านอันก็พยายามช่วยแคลร์น่ะสิ…” หลี่หมิงหยู่พูดเสียงทุ้ม “เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน เช่นนั้นเราก็ทำได้แค่รอ”
หลี่เยว่เหวินดูกังวลและอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อสบสายตาของหลี่หมิงหยู่ก็หยุดชะงักไป
“กลับไปรอก่อนเถอะ ป้าอันไม่ทำร้ายลูกสะใภ้ในอนาคตของนางหรอก ทุกคนกลับไปเถอะ บางทีพรุ่งนี้พวกเขาอาจจะปรากฏตัวต่อหน้าพวกเราอย่างแข็งแกร่งขึ้นก็ได้” สุ่ยเหวินโม่ยืดออกและพูด เห็นได้ชัดว่าเขาเชื่อใจอันลิซ่ามาก
สุ่ยเหวินโม่ไม่ได้สังเกตเลยว่าคำว่าลูกสะใภ้ในอนาคตของเขาได้กระทบจิตใจของคนหลายคนในที่นี้
ลูกสะใภ้ในอนาคต? ทำไมคำนี้ถึงอึดอัดนักจินเหยียนหลุบตาลงและหันไปเงียบๆ เหลิ่งหลิงยวิ๋นมองไปที่ด้านหลังของจินเหยียนแล้วถอนหายใจเบาๆ และเดินตามไป วัลโดก็คิดกับตัวเองในใจ จู่ๆ มาบอกว่าเป็นลูกสะใภ้เนี่ยนะ มันอะไรกันวะเนี่ย?
ท้ายที่สุด ทุกคนก็กลับไปทางเดิม
ในตอนนี้แคลร์ลืมตาขึ้นและพบว่านางมาถึงสถานที่ที่น่าเหลือเชื่อ พอมองไปข้างหน้าก็มีบ้านไม้หลังเล็กสองสามหลัง รั้วเตี้ยๆ รอบบ้าน และต้นไม้ใหญ่สองสามต้นข้างๆ ที่นี่ดูเหมือนจะเป็นบ้านครอบครัวชาวนาธรรมดา แต่แคลร์มองไปรอบๆ ก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ เมื่อ มองขึ้นไปกลับไม่มีเมฆบนท้องฟ้าเลย มีเพียงนกบินผ่านสูงมากๆ แคลร์มองและ พบว่านกชนิดนั้นเป็นนกทะเล! ที่นี่คือเกาะหรือ?! เมื่อฟังเสียงอย่างตั้งใจก็มีเสียงลมพัดแรง แคลร์จดจ่อกับสิ่งรอบตัวและอดแปลกใจไม่ได้ เกาะเล็กๆ แห่งนี้ล้อมรอบด้วยกำแพงลม พายุหมุนที่รุนแรงผิดปกติล้อมรอบเกาะเล็กๆ นี่อยู่ ทำให้เกาะแห่งนี้แยกออกจากภายนอกโดยสิ้นเชิง
“อาจารย์…อาจารย์ ออกมาเร็วเข้า!” อันลิซ่าตะโกน
“เรียกอะไรห้ะ! มาถึงก็ตะโกนโหวกเหวกเลย!” เสียงจิตวิญญาณดังขึ้นในห้อง
“สายฟ้าจะฟาดลงมาแล้ว ข้าจะไม่เรียกได้หรือ? รีบออกมาป้องกันสายฟ้าเร็วเข้า!” อันลิซ่าไม่เกรงใจแล้ว นางตะโกนกลับด้วยด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม
“อะไรนะ? สายฟ้าอะไรกัน? สิ่งที่เจ้าฝึกมันไม่ได้ดึงดูดให้มีสายฟ้านี่” แม้ว่าเสียงข้างในจะสับสนเล็กน้อย แต่เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาอย่างรีบร้อน
ชายชราคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่ประตูบ้านไม้ ชุดสีฟ้าอ่อน ดวงตาที่แหลมคม เขามีพลังที่ไม่อาจบรรยายได้ คิ้วและเครายาวเป็นสีเทา แต่ก็ถูกหวีจัดแต่งไว้อย่างเรียบร้อย
“อาจารย์ ช่วยด้วย สายฟ้าใกล้จะมาแล้ว” อันลิซ่าพูดอย่างกังวล
“หืม เจ้าเด็กนี่ โตขนาดนี้แล้วหรือ” ชายชราไม่สนใจอันลิซ่าแต่หันไปมองเฟิงอี้เซวียนและพูดคุยด้วยรอยยิ้ม
“อ่า ท่านอาจารย์ปู่ มีพลังมากขึ้นเรื่อยๆ เลยครับ หนวดเคราและคิ้วของปู่ก็หล่อขึ้นเรื่อยๆ เลย ” เฟิงอี้เซวียนพูดยิ้มๆ
แคลร์แปลกใจเล็กน้อย เฟิงอี้เซวียนที่หยิ่งยโสมาตลอดนั้นน่ารักขนาดนี้เลยหรือ?
“แน่นอนอยู่แล้ว” ชายชราทำอะไรบางอย่างที่ทำให้แคลร์อายมาก นางเห็นชายชราหยิบหวีเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อที่กว้างแล้วเอามาหวีคิ้วอย่างระมัดระวังจากนั้นก็หวีเคราของเขา ท่าทางดูพอใจมาก
“ท่านอาจารย์ปู่ รีบเตรียมตัวช่วยภรรยาในอนาคตของข้าและป้องกันสายฟ้าเถอะนะครับ” เฟิงอี้เซวียนพูดวนกลับเข้าสู่สาระ
“อะไรนะ! นี่เจ้ามีสาวแล้วงั้นหรือ?!” ชายชราตะโกน จากนั้นเขาก็หันไปสนใจแคลร์ ในตอนนี้แคลร์ยังคงทำตัวไม่ถูกกับท่าทางเมื่อกี้ เสื้อผ้าของนางขาดเล็กน้อย แม้ว่าเลือดจะหยุดไหลแล้ว แต่คราบเลือดบนเสื้อผ้าของนางก็ดูน่าตกใจมาก
“อาจารย์!” อันลิซ่ารู้สึกกังวลเล็กน้อย เพราะเมฆมืดครึ้มเริ่มรวมตัวกันเหนือศีรษะของนางแล้ว
“หืม?” ชายชราส่งเสียงอย่างไม่เร่งรีบ จากนั้นก็มองขึ้นไปบนฟ้าและแตะเคราของเขาเบาๆ จากนั้นพูดอย่างเหยียดหยาม “เจ้าจะเป็นกังวลอะไรนัก มันก็แค่สายฟ้าทั้งเจ็ดเองนี่?”