เสน่ห์คมดาบ - เสน่ห์คมดาบ - ตอนที่ 142
“ท่านนักบวชได้รับของแล้วก็ควรจะเริ่มงานไม่ใช่หรือ?” พระสันตปาปาเหล่ตามองและพูดยิ้มๆ แคลร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย แคลร์เข้าใจว่าพระสันตปาปาหมายถึงอะไร แคลร์ใช้ของขวัญจากเทพีไปแล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องทำอะไรบางอย่างคืนได้แล้ว
“พระสันตปาปา ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้สามารถทำอะไรให้วิหารได้บ้างหรือ?” แคลร์ถอนหายใจเบาๆ
“เหอะๆ แน่นอนสิว่าเป็น…” ก่อนที่พระสันตปาปาจะพูดจบเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นที่ประตูจากนั้นก็มีเสียงเคาะประตู
“เข้ามาสิ” พระสันตปาปาดูเหมือนจะรู้ว่าคนที่เคาะประตูคือใคร
ประตูถูกผลักเบาๆ เหลิ่งหลิงยวิ๋นและหลิวเฉว่ฉิงปรากฏตัวขึ้นที่ประตู เมื่อทั้งสองคนเข้ามา สายตาของพวกเขาก็ประหลาดใจเมื่อเห็นแคลร์ แคลร์หันไปมองพวกเขาสองคน หลังจากพยักหน้าให้เบาๆ นางก็หันหน้าไปอย่างไม่แยแส แต่ก็ถูกสิ่งของที่อยู่ในมือของพวกเขาดึงความสนใจ
ทั้งสองคนนั้นถือกล่องใบใหญ่หนึ่งกล่องและใบเล็กหนึ่งกล่อง
“ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือ?” พระสันตปาปายิ้มและมองทั้งสองคน แม้ว่าเขาจะถาม แต่ดวงตาของพระสันตปาปาก็แสดงให้เห็นถึงความพึงพอใจ สองคนนี้ไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง
หลิวเฉว่ฉิงมองแคลร์ จากนั้นก็ลังเลเล็กน้อย เหลิ่งหลิงยวิ๋นขมวดคิ้ว
“ไม่เป็นไร ตอนนี้แคลร์เป็นนักบวชของวิหารของเราแล้ว นางไม่ใช่คนนอก” พระสันตปาปายิ้มและพยักหน้าให้หลิวเฉว่ฉิง
ความซับซ้อนปรากฏขึ้นในดวงตาของหลี่เฉว่ฉิง จากนั้นก็เปิดกล่องในมือของนาง เหลิ่งหลิงยวิ๋นก็ดูซับซ้อนเช่นกัน เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเขาจะพูดก็ถูกสายตาของพระสันตปาปาปรามไว้
เมื่อหลิวเฉว่ฉิงเปิดกล่อง ภาพที่เห็นก็ทำให้แคลร์ตัวแข็งทันที
ของในกล่องคือขวดแก้วที่มีลูกตาเปื้อนเลือดสองลูกอยู่ข้างใน ลูกตาดำ! ที่ข้างขวดแก้วมีผมสีดำจำนวนหนึ่งกำมือ!
ทันใดนั้นแคลร์ก็รู้สึกได้ว่าเลือดในร่างกายของนางแข็งตัวและนางก็ไม่สามารถละสายตาจากตาและผมสีดำในขวดแก้วได้เลย ความหนาวเย็นเพิ่มสูงขึ้นในหัวใจของนาง นางหมัดกำแน่นจนฝ่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น
“จัดการอัศวินผู้ทรยศคนนั้นแล้วหรือไม่?” พระสันตปาปามองการแสดงออกของแคลร์และถามเหลิ่งหลิงยวิ๋น
“จัดการแล้วครับ” เหลิ่งหลิงยวิ๋นค่อยๆ พูดออกมาและถอนหายใจเบาๆ เขารู้เจตนาของพระสันตปาปา แต่ว่าพระสันตปาปารีบร้อนเกินไปหรือไม่ที่ทำเช่นนี้? มันดีจริงๆ หรือที่จะให้แคลร์เห็นสิ่งเหล่านี้เร็วขนาดนี้? ยังเร็วเกินไปที่จะทดสอบทัศนคติของแคลร์ที่มีต่อวิหาร
หางตาของหลิวเฉว่ฉิงมองใบหน้าซีดเซียวของแคลร์แล้วพูด “การทรยศต่อเทพีแห่งแสงและการทรยศต่อวิหารแห่งแสงต้องตายสถานเดียวเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นการหลบหนีไปกับหญิงสาวแห่งความมืดผู้สกปรกก็ยิ่งเป็นความผิด”
สายตาของแคลร์ค่อยๆ เคลื่อนจากกล่องในมือของหลิวเฉว่ฉิงไปยังกล่องในมือของเหลิ่งหลิงยวิ๋น กล่องขนาดใหญ่ในมือของเหลิ่งหลิงยวิ๋นมีหัวของอัศวินที่ทรยศงั้นหรือ?!
แคลร์ได้รู้แล้วว่าลูกตาและหัวในกล่องนี้คือคู่ที่พวกเขาช่วยไว้ในหุบเขา! คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะหนีไม่พ้นกรงเล็บของวิหารแห่งแสง มันโหดร้ายเกินไปแล้ว ทั้งควักลูกตาทั้งตัดผม! ข้อนิ้วที่กำแน่นของแคลร์เปลี่ยนเป็นสีขาวและร่างกายของแคลร์ก็สั่นเล็กน้อย สีหน้าของนางซีดเซียวและดูน่ากลัว
วิหารแห่งแสง! พระสันตปาปา! พระสันตปาปาองค์นี้น่ะหรือที่เต็มไปด้วยความเมตตากรุณาและศีลธรรม!
พระสันตะปาปาก้าวไปข้างหน้าอย่างเฉยเมยและมองเข้าในกล่องของหลิวเฉว่ฉิง จากนั้นก็พยักหน้าด้วยความชื่นชม “ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมาก เจ้ากำจัดคนทรยศและสกปรกแล้ว แสงจะเปล่งประกายอีกครั้ง…”
เสียงของพระสันตปาปาหยุดลงอย่างกะทันหันเพียงเพราะพลังที่น่ากลัวระเบิดออกมาจากด้านข้าง
พระสันตปาปาและหลิวเฉว่ฉิงหันไปมองด้วยความประหลาดใจ พวกเขาเห็นร่างของแคลร์ระเบิดแสงสีทองจางๆ ออกมา ดวงตาของแคลร์ก็มีแต่ความเย็นชา ความรุนแรงนี้เป็นสิ่งที่ทำให้แคลร์ระเบิดออกมาเช่นนี้!
ความสุขฉายผ่านดวงตาของหลิวเฉว่ฉิง แคลร์จะโจมตีพระสันตปาปาจริงหรือ? นางอยากจะตายงั้นหรือ? พระสันตปาปามองไปที่แคลร์ บรรยากาศในห้องเงียบสงัด! แต่ก่อนที่พระสันตปาปาจะมีการเคลื่อนไหวอะไร เหลิ่งหลิงยวิ๋นก็ชิงลงมือก่อนแล้ว
“แคลร์!” เหลิ่งหลิงยวิ๋นตะโกนทำลายบรรยากาศตึงเครียดในห้อง
ทันใดนั้นแคลร์ก็ได้สติคืนกลับมา แสงสีทองทั่วร่างของนางสลายไปทันที กำปั้นที่กำแน่นค่อยๆ คลายออก นางมองคนทั้งสามที่มีการแสดงออกแตกต่างกันโดยไม่พูดอะไรแล้วหันไปเปิดประตูออกไป
สามคนที่เหลืออยู่มีการแสดงออกที่แตกต่างกัน
พอแคลร์กระแทกประตูเดินจากไป ทั้งห้องก็เงียบกริบ
“พระสันตปาปา ท่าทีของท่านนักบวชมันมากเกินไปหรือไม่?” เทพธิดาพูดอย่างมีชั้นเชิงมากขึ้นเพราะเหลิ่งหลิงยวิ๋นอยู่ที่นี่ด้วย
พระสันตปาปาหรี่ตาลงไม่พูดอะไร เหลิ่งหลิงยวิ๋นมองพระสันตปาปา แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูด แต่ก็พระสันตปาปาก็เข้าใจความหมายลึกซึ้งที่แสดงออกมาในดวงตาของเขาได้
“เฉว่ฉิง เจ้าออกไปก่อน ข้ามีอะไรจะถามหลิงยวิ๋นหน่อย” พระสันตปาปาพยักหน้าและพูดกับหลิวเฉว่ฉิงเบาๆ
หลิวเฉว่ฉิงมีแววตาไม่พอใจแต่ก็ปิดกล่องลงช้าๆ และเดินออกไปเงียบๆ
ประตูถูกปิดลง พระสันตปาปามองไปที่เหลิ่งหลิงยวิ๋นและพูด “หลิงยวิ๋น เจ้าจะพูดอะไร?”
“พระสันตปาปา วันนี้ท่านรีบร้อนเกินไป” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดอย่างตรงประเด็น
พระสันตปาปาถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วพูด “ใช่ ข้าก็ว่าข้ารีบร้อนเกินไป แต่ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าไม่เจอกันแค่เวลาสั้นๆ ความแข็งแกร่งของแคลร์จะเพิ่มขึ้นเร็วขนาดนี้!”
“ศักยภาพและการเติบโตของนางนั้นน่าทึ่งมาก” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดเบาๆ
“บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเทพีจึงชอบนาง” พระสันตปาปาแตะคางของเขาแล้วหันกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ก่อนพูด “เมื่อกี้ข้าค้นพบแล้วว่าข้ารีบร้อนไปจริงๆ นางเพิ่งเข้ามาในวิหาร นางไม่เหมือนพวกเจ้า นางเติบโตมาในตระกูลฮิลล์ที่สนับสนุนอำนาจของกษัตริย์”
“ใช่ครับ พระสันตปาปาโปรดให้เวลากับนางสักหน่อย” เสียงของเหลิ่งหลิงยวิ๋นยังคงนุ่มนวล
“เหอะๆ ข้าจะให้เวลานาง แต่ว่า หลิงยวิ๋น ดูเหมือนว่าข้าจะได้เห็นเจ้าห่วงใยผู้อื่นที่ไม่ใช่ซวนซวนเป็นครั้งแรกนะ” พระสันตปาปาพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ
เหลิ่งหลิงยวิ๋นอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็ส่ายหัวและพูด “พระสันตปาปา ข้าแค่…”
“เจ้าต้องการจะบอกว่าเจ้าไม่อยากให้วิหารแห่งแสงสูญเสียผู้ที่มีศักยภาพเช่นนี้ใช่หรือไม่?” พระสันตปาปายิ้ม แต่สิ่งที่เขาพูดไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น
เหลิ่งหลิงยวิ๋นเงียบและไม่พูดอะไรอีก เขารู้ว่าในเวลานี้หากเขาพูดมากเกินไป มันจะไม่ดี
“เอาล่ะ เจ้าไปดูซวนซวนแล้วก็ไปสงบอารมณ์ของนักบวชของเราหน่อยนะ” พระสันตปาปายิ้มและสั่ง แต่รอยยิ้มของเขาดูคลุมเครือเล็กน้อย
“ครับ” การแสดงออกของเหลิ่งหลิงยวิ๋นไม่เปลี่ยนแปลง จากนั้นเขาก็ก้าวออกจากห้องไป
พระสันตปาปาอยู่คนเดียวในห้อง เขาค่อยๆ เดินไปที่หน้าต่าง มองออกไปและถอนหายใจเบาๆ คำสั่งของเทพีที่ให้นำแคลร์เข้ามาในวิหาร มันถูกต้องจริงๆหรือ? พระสันตปาปานึกถึงตอนที่แคลร์เกือบจะระเบิดออกมา ในตอนนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะกังวล เพียงแต่ว่าพลังที่แคลร์ระเบิดออกมาในตอนนั้นมันน่าทึ่งมาก จะเป็นอย่างไรถ้าปล่อยให้นางเติบโตขึ้น? นางจะเป็นผู้ที่คุกคามหรือส่งเสริมวิหารล่ะ?
ตอนนี้ใบหน้าของแคลร์นิ่งลงราวกับน้ำ นางรีบออกจากวิหารแห่งแสงแล้วตรงไปที่บ้านของคามิลล์
ประตูบ้านของคามิลล์ถูกเตะเปิดออกพร้อมกับเสียง “ตูม” จากนั้นประตูก็ดังเอี๊ยดอ๊าดและห้อยอยู่ตรงนั้น
“ใคร?! ใครกันที่…” คามิลล์เพิ่งจะพูดก็เห็นแคลร์หน้าตึงเข้าประตูมาเสียก่อน
“แคลร์ เจ้ากลับมาแล้ว สีหน้าเช่นนี้ นี่เจ้าเป็นอะไรไปหรือไม่?” คามิลล์ถามเบาๆ เขายังคงยิ้มด้วยใบหน้าที่อ่อนโยน
“อาจารย์คามิลล์ ท่านเป็นนักวิชาการอันดับหนึ่งในเมืองหลวงใช่หรือไม่?” แคลร์พึมพำ
“เหอะๆ มันเป็นที่เรื่องแน่นอนอยู่แล้ว” คามิลล์ตอบอย่างมีความสุข
“ข้าขอถามท่าน หากคนที่คนทั้งโลกชื่นชมจริงๆ แล้วเป็นคนร้ายที่น่ารังเกียจ ข้าควรจะทำอย่างไร?” แคลร์นั่งลงบนโซฟาด้วยสายตาเย็นชา
“เจ้าเป็นคนชอบธรรมตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” คามิลล์พูดติดตลก
ดวงตาของแคลร์ยังคงเย็นชาและคามิลล์ก็รู้สึกว่าสิ่งต่างๆ ดูผิดปกติ
“แคลร์ ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า แต่ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าพูด ทุกคนในโลกต่างก็ชื่นชมความแข็งแกร่งและอิทธิพลของคนๆ นั้น เช่นนั้นเขาก็คงไม่ได้อ่อนแออย่างแน่นอน หากเจ้าต้องการที่จะล้มล้างสิ่งเหล่านี้ที่ทำให้เจ้าไม่สบายใจ เจ้าต้องมีความแข็งแกร่ง ต้องมีความแข็งแกร่งและพลังที่เหนือกว่าคนๆ นั้น” คามิลล์แสดงสีหน้าจริงจังและพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม
ทันใดนั้น หลังจากได้ยินคำพูดของคามิลล์ แคลร์ก็หัวเราะออกมา นางลุกขึ้นยืนและหัวเราะ เสียงหัวเราะนั้นเต็มไปด้วยความกะทันหัน ความครอบงำ และความมั่นใจที่ไม่มีที่สิ้นสุด
คามิลล์ตะลึงอยู่นานแล้วก็ถามด้วยความสั่นเทา “แคลร์ เจ้าเป็นอะไรหรือไม่? เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?”
“ท่านสิบ้า!” แคลร์จ้องอย่างดุร้ายและอุทาน “พูดไร้สาระอะไร!”
“เจ้ากำลังคิดจะทำอะไรอยู่?” คามิลล์เอียงหัวด้วยความสับสน
“ทำไมข้าถึงคิดไม่ถึงนะ!” ดวงตาของแคลร์ค่อยๆ เย็นลงและพูดอย่างเย็นชา “ข้าจะแข็งแกร่ง วันหนึ่งข้าจะดึงคนๆ นั้นออกจากตำแหน่งนั้นแล้วจะทุบให้เละเลย! “แคลร์ตะคอกอย่างเย็นชา คามิลล์สั่นและดวงตาของเขาก็พร่ามัว คามิลล์รู้สึกอายเลย แคลร์เป็นเด็กอยู่แต่ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นไม่น้อยเลยในตอนนี้
“ไว้เจอกันใหม่วันหลังนะ” แคลร์ลุกขึ้นยืนและวิ่งออกไปอย่างรีบร้อน
……………………………………………………………………………..