เสน่ห์คมดาบ - เสน่ห์คมดาบ - ตอนที่ 146
รอบๆ ตัวมีแต่ความเงียบ แต่ยังไม่มีความผิดปกติใดๆ
จินเหยียนชักดาบออกมายืนตรงหน้าแคลร์เงียบๆ เพื่อสำรวจสภาพแวดล้อม แคลร์ขมวดคิ้วและมองสภาพแวดล้อมที่สงบตรงหน้า แต่มีลางไม่ดีเกิดขึ้นในใจของนาง ความเงียบสงบนี้ผิดปกติเกินไป เป็นเหมือนลางสังหรณ์ก่อนจะเกิดพายุเลย
“ลมหายใจแห่งความมืดนั้นแข็งแกร่งมาก!” สีหน้าของหลิวเฉว่ฉิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย พลังมหาศาลที่อยู่ในลมหายใจแห่งความมืดนั้น ทำให้นางแทบจะควบคุมตัวไม่ได้เลย
ทันใดนั้น เสียงก็ค่อยๆ ดังขึ้นและพื้นใต้เท้าก็สั่นเล็กน้อย
“มันคืออะไร?” หลิวเฉว่ฉิงขมวดคิ้วและมองไปรอบๆ สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังวล
“หิมะถล่ม!” สีหน้าของแคลร์เปลี่ยนไป นางกัดฟันและพูดออกมา เมื่อแคลร์มองขึ้นไป โดยรอบพวกเขามีหน้าผาสูงชันทั้งสองด้าน และช่องเขาไม่มีทางออกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มีคนต้องการซุ่มโจมตีพวกเขา!
“บินขึ้นไปก่อน” เหลิ่งหลิงยวิ๋นมองไปที่แคลร์และพูดอย่างรีบร้อน “เจ้าพาเทพธิดาขึ้นไป ข้าจะพาจินเหยียนไปเอง” ที่นี่มีเพียงสองคนเท่านั้นที่บินได้ นั่นก็คือเหลิ่งหลิงยวิ๋นและแคลร์
แต่ทันทีที่เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดจบ รูปดาวห้าแฉกสีดำขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นที่ใต้เท้าของพวกเขา ตอนนี้พวกเขากำลังยืนอยู่ตรงกลางของรูปดาวห้าแฉกนั้น! ที่ขอบของดาวมีแสงสีดำจางๆ ซึ่งดูแปลกมาก
จากนั้นก็เกิดเสียงดังก้องขึ้น…
เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ และใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หิมะที่โปรยปรายก็เทลงมาที่คนทั้งสี่ที่อยู่กลางหุบเขา แถมยังมีน้ำแข็งทรงกรวยแหลมอยู่ท่ามกลางหิมะพวกนั้นด้วย!
แคลร์เอื้อมมือไปจับมือของหลิวเฉว่ฉิงเพื่อจะพานางบินขึ้นไปบนฟ้า แต่เท้าของแคลร์จมลงไปแล้ว แรงมหาศาลดึงเท้าของแคลร์ลงไป แคลร์อยากจะกางปีกบินขึ้นไป แต่ไม่สามารถทำได้เลย ความแข็งแกร่งของร่างกายทั้งหมดหายไปอย่างช้าๆ! หลิวเฉว่ฉิงผละจากมือของแคลร์และพยายามที่จะอยู่ห่างจากแคลร์ แต่เท้าและร่างกายของนางก็จมลงไป ร่างกายของนางก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลยเช่นกัน
” หลิงยวิ๋น หลิงยวิ๋น…” หลิวเฉว่ฉิงตะโกนด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลนและโบกมือไปด้วย แต่ก็ไม่มีมือคู่ที่นางรอคอยยื่นมา
“ฮู่ๆ!” เฮยหยู่กระพือปีกเล็กๆ ของมันแล้วใช้อุ้งเท้าคว้าเสื้อคลุมของแคลร์เพื่อดึงไว้อย่างสิ้นหวัง ในขณะที่แคลร์ก็จมลึกลงไปเรื่อยๆ
“คุณหนู!” จินเหยียนหันกลับมาและเอื้อมมือไปจับมือของแคลร์ แต่จินเหยียนก็ถูกพลังมหาศาลที่ไม่สามารถอธิบายได้ดึงเท้าของเขาลากลงไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นเช่นนี้ สีหน้าของเหลิ่งหลิงยวิ๋นก็เปลี่ยนไปอย่างมาก เขายื่นมือไปหาแคลร์แต่ร่างของแคลร์ก็ค่อยๆ หายไปต่อหน้าต่อตาของเขา และ จมลงไปอยู่ใต้รูป ดาวห้าแฉกขนาดใหญ่นั้น จินเหยียนจับมือแคลร์และจมลงช้าๆ ก่อนที่หลิวเฉว่ฉิงจะจมลงไป สายตาของนางยังคงจับจ้องไปที่มือของเหลิ่งหลิงยวิ๋น มือนั้นไม่ได้ยื่นมาหานาง แต่ยื่นไปหาแคลร์! เวลานี้เหลิ่งหลิงยวิ๋นเองก็รู้สึกแบบเดียวกันแล้วพลังมหาศาลดึงเท้าของเขาและพลังของร่างกายทั้งหมดของเขาก็ไม่สามารถใช้การได้อีกต่อไป จากนั้นเขาก็ค่อยๆ จมลง ความคิดสุดท้ายก่อนที่จะหายตัวไปก็คือพวกเขาติดกับแล้ว! นี่คือกับดัก!
หิมะพุ่งเข้าท่วมช่องเขาจนเกือบมิดน้ำแข็งทรงกรวยแหลมขนาดใหญ่ยังคงแวววาวอยู่กลางหิมะเช่นเดิม
หลังจากนั้นไม่นานบริเวณโดยรอบก็เงียบลงอีกครั้ง และมีหิมะโปรยปรายลงมาเป็นครั้งคราว
คนสี่คนที่เมื่อครู่ยืนอยู่ในหุบเขา ในตอนนี้พวกเขาหายไปแล้ว เช่นเดียวกันกับรูปสัญลักษณ์ดาวห้าแฉกสีดำนั้น
“จัดการลูกสมุนของวิหารแห่งแสงไปอีกสองสามตัว ฮ่าๆ” ชายในชุดคลุมสีดำที่อยู่ด้านบนของหน้าผาหัวเราะ
“ก็ไม่แน่นะ แม้ว่าท่านนักบวชของเราจะแข็งแกร่ง แต่นั่นก็เป็นแค่การเคลื่อนย้ายพวกเขาไปยังอีกสถานที่หนึ่งเท่านั้นเอง” อีกเสียงหนึ่งพูดอย่างเย็นชา
“เหอะ เจ้านี่ชอบขวางข้าอยู่เรื่อย พวกเขาเข้าไปที่นั่นแล้วยังจะมีชีวิตออกมาได้อีกหรือ?”
“…”
แคลร์รู้สึกว่าตรงหน้าเป็นสีดำไปหมดราวกับเป็นเรือลำเดียวที่ลอยอยู่กลางทะเล นางรู้สึกไม่มั่นคงและไม่ปลอดภัย
ในที่สุดบริเวณรอบๆ นางก็ค่อยๆ สว่างขึ้น แคลร์ลืมตาขึ้น แต่ก็ต้องตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า
ตรงหน้ามีแต่ความเงียบสนิท ที่นี่เป็นป่ามืดสลัวที่มีพื้นดินสีดำ ทุกอย่างทำให้รู้สึกหดหู่ใจ แคลร์หันไปมองแต่ไม่เห็นจินเหยียนและคนอื่นๆ เลย แม้แต่ไป๋ตี้และเฮยหยู่ก็หายตัวไปด้วย สภาพแวดล้อมโดยรอบว่างเปล่า และตอนนี้ก็เหลือนางเพียงแค่ผู้เดียว
แคลร์บีบกำปั้นเบาๆ และพบว่าพลังของนางกลับมาอีกครั้งแล้ว แคลร์ขมวดคิ้วครุ่นคิด ถ้าเช่นนั้น การสร้างรูปดาวห้าแฉกเมื่อครู่ ก็คือการสร้างเวทย์เคลื่อนย้ายน่ะสิ? เวทมนตร์นั้นทำให้คนสูญเสียพลังไปชั่วคราวด้วยสินะ? ที่นี่ที่ไหนกัน? จินเหยียนอยู่ที่ไหนล่ะ? เหลิ่งหลิงยวิ๋นและเทพธิดาล่ะ อยู่ที่ไหนกันหมด?
แคลร์เดินไปข้างหน้า นางพบว่ามีดินชื้นๆ ที่มีเชื้อราอยู่ใต้เท้าของนาง
บรรยากาศรอบๆ ตัวทำให้นางเกิดความรู้สึกหดหู่ที่ไม่สามารถบรรยายได้ แคลร์ขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงรู้สึกว่ามีคนเฝ้าดูตัวเองอยู่ตลอด แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะรู้ได้ว่าคนที่กำลังติดตามดูนางนั้นอยู่ที่ไหน
“โถ่เว้ย!” แคลร์ตัดบทด้วยความโกรธและยังคงเดินหน้าต่อไป ตามหาพวกจินเหยียนให้เจอก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ภายในห้องที่สวยงาม มีลูกแก้วขนาดใหญ่วางอยู่บนโต๊ะกลางห้อง บนลูกแก้วนั้นมีภาพตารางเล็กๆ มากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือภาพการเคลื่อนไหวของแคลร์
“เฮ้ เด็กสาวตัวเล็กๆ นี่ดูเหมือนนางจะรู้สึกได้เลยว่าเรากำลังเฝ้าดูนางอยู่” ชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำเท้าคางของเขาด้วยมือข้างหนึ่งและมองภาพที่ปรากฏบนลูกแก้วขนาดใหญ่ด้วยความสนใจ
“ไม่ว่านางจะรู้สึกได้หรือไม่ แต่นางก็คงไม่สามารถออกจากป่าแห่งความฝันได้อยู่ดี” ชายหนุ่มอีกคนในชุดคลุมสีดำนั่งสบายๆ บนเก้าอี้ข้างๆ เขาเอามือไพล่ที่หลังหัว เท้าของเขายกขึ้นพาดบนโต๊ะแล้วพูดอย่างเบื่อหน่าย ทั้งสองคนมีใบหน้าหล่อเหลาที่เหมือนกันมาก พวกเขาทั้งคู่เป็นฝาแฝดกัน!
“ใช่ ฮ่าๆ พวกเทพเจ้าเล่ห์ ชอบทำเป็นตัวเองว่าบริสุทธิ์และสูงส่ง ถ้าเช่นนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาจมอยู่ในป่าแห่งความฝันตลอดไปเลยแล้วกัน” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเย้ยหยันและเย็นชา
“แต่ข้าอยากรู้ว่าจะมีใครในหมู่คนของวิหารแห่งแสงที่สามารถเดินออกจากป่าแห่งความฝันได้หรือไม่?” ชายชุดคลุมดำที่ดูขี้เกียจกำลังพูดเยาะเย้ย
“ตอนนี้ยังไม่มี แต่ว่าถ้ามีขึ้นมาจริงๆ ล่ะ? เจ้าจะไปลากกลับมาอีกหรือไง?”
“ถ้ามีจริงๆ เราก็จะไปจัดการด้วยตัวเองเลยไง” น้ำเสียงขี้เกียจนั้นเย็นชาและแข็งกร้าว
“แค่กๆ… ” ที่ประตูมีเสียงดังขึ้น “สีเฉ่าซื่อ สีเฉ่าฉี ข้าบอกให้พวกเจ้าใส่ใจให้มากหน่อยไง พวกเจ้าสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติหรือไม่?”
“โอ้ๆ อาจารย์ เราพบบางสิ่งที่น่าสนใจ เด็กสาวตัวเล็กๆ ผู้นี้ดูเหมือนนางจะรู้สึกได้ว่าเรากำลังเฝ้าดูนางอยู่” สีเฉ่าฉียืนตัวตรงและชี้ไปที่ลูกแก้วเพื่อรายงาน
สีเฉ่าซื่อวางเท้าลง เขาลุกขึ้นนั่งดีๆ และพูดอย่างจริงจัง “อาจารย์ ตอนนี้ยังไม่มีใครสามารถออกจากป่าแห่งความฝันได้ การออก แบบของอาจารย์ยังคงยอดเยี่ยมจริงๆ”
“นี่ คงจะเป็นพลังที่ได้รับจากเทพเจ้าแห่งความมืดน่ะ” คนที่อยู่ตรง ประตูค่อยๆ เดินเข้ามา ชายชราในชุดคลุมสีดำมีจิตวิญญาณที่เปล่งประกาย ดวงตาของเขาเบิกกว้าง
“ก็จริง เทพเจ้าแห่งความมืดนั้นดีกว่าเทพีแห่งแสงจอมปลอมนั่นอีก ยิ่งให้ เขาก็ยิ่งตอบแทนง่ายๆ แค่นั้นเอง” สีเฉ่าฉีมองรูปภาพจำนวนมากในลูกบอลคริสตัลและหัวเราะเยาะ
“เด็กนี่ อย่าพูดด้วยน้ำเสียงเช่นนี้นะ ระวังเทพเจ้าแห่งความมืดจะไม่พอใจ” ชายชราชุดดำเอื้อมมือไปตีสีเฉ่าฉี
“อาจารย์ เทพเจ้าแห่งความมืดไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้หรอกมั้ง? เขาเป็นผู้ชาย ไม่ใจแคบเหมือนเทพีแห่งแสงนั่นหรอกใช่หรือไม่?” สีเฉ่าฉีตอบโต้แล้วลูบหัวของเขา
“เอาเถอะน่า หากเจ้าไม่เถียงกับอาจารย์ เจ้าจะตายหรือไม่?” สีเฉ่าซื่อพูดเบาๆ แต่สายตาของเขากลับถูกดึงดูดโดยภาพในลูกแก้วนั้น “เจ้ามาดูนี่สิ เด็กผู้นี้กำลังเข้าสู่จิตนาการแล้ว เรามาดูปฏิกิริยาของนางกัน”
“จะมีอะไรได้อีกล่ะ? ถ้าไม่ใช่คุกเข่าอธิษฐานและภาวนาให้แสงของเทพีส่องแสงตลอดไป” สีเฉ่าฉีเบ้ปากของเขา พืชในป่าแห่งความฝันล้วนมีพลัง ความมืดและจะผลิตก๊าซ 5 สีที่ไม่มีกลิ่น เมื่อสูดดมเข้าไปผู้คนจะมีอาการหลอน แต่ภาพลวงตาประเภทนี้จะมุ่งเป้าไปที่ผู้ที่ศรัทธาเทพีแห่งแสงโดยเฉพาะ ภาพลวงตาที่พวกเขาเห็นมักจะเป็นภาพเทพีมาปรากฎด้วยตัวเองด้วยความศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง ภาพนี้ทำให้ผู้ศรัทธาทำบางสิ่งที่ดูเหมือนพวกเคร่งศาสนา เช่น การคุกเข่าอธิษฐาน
“ก็จริง วิหารแห่งความมืดของพวกเราต้องเสียแรงกำลังและสมองไปตั้งมากเท่าไหร่เพื่อป่าแห่งนี้ ในที่สุดวันนี้ก็สำเร็จผลแล้ว” สีเฉ่าฉีพูด
“หึ ถึงเวลาแล้วที่วิหารแห่งความมืดจะเข้าสู่สายตาของของทุกคน และถึงเวลาที่จะกลับเข้าสู่ความยิ่งใหญ่สักที” สีเฉ่าฉีพึมพำอย่างเย็นชาพร้อมกับวางมือบนหน้าอกของเขาแล้วมองไปที่ภาพในลูกแก้ว
ในตอนนี้ แคลร์เห็นภาพจินตนาการแล้ว
นางยืนนิ่งไม่ไหวติงดวงตาของนางพร่ามัว
“ลูกของข้า แสงจะอยู่กับเจ้าเสมอ” ตรงหน้าแคลร์คือเทพีแห่งแสงที่ปรากฏตัวอย่างสวยงามหาที่เปรียบไม่ได้ นางเปล่งแสงพราวและศักดิ์สิทธิ์ พร้อมกับถือคทาอันงดงามและสวมมงกุฎสีทองแวววาว นางมีดวงตาที่ดูสง่างามมาก
แคลร์มองเทพีแห่งแสงที่ปรากฏตัวต่อหน้านางและเงียบไป
“ลูกของข้า โปรดอธิษฐานกับข้าเพื่อให้โลกนี้เต็มไปด้วยความสว่าง ความสงบและความรัก…” เทพีแห่งแสงโบกมือที่ถือคทาเบาๆ และแสงศักดิ์สิทธิ์ก็ร่ายลงบนร่างของแคลร์
“ลูกหรือ? เจ้าให้กำเนิดมาหรืออย่างไร? เทพีแห่งแสงผู้สูงศักดิ์และบริสุทธิ์ก็มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายคนอื่นๆ เพื่อให้กำเนิดลูกได้หรือ?” แคลร์หัวเราะเยาะ นางสะบัดมือเบาๆ และดาบเปลวเพลิงขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในมือของนาง จากนั้นนางก็ฟันไปที่เทพีแห่งแสงที่อยู่ตรงหน้าทันทีโดยไม่กระพริบตา
ใบหน้าของเทพีแห่งแสงเปลี่ยนไปอย่างมาก นางก็ถูกตัดครึ่งและหายไปในทันที
“ช่างเป็นภาพลวงตาที่ดูเงอะงะจริงๆ!” แคลร์ดึงดาบเปลวเพลิงกลับมา นางพูดอย่างดูถูกเหยียดหยามและเดินไปข้างหน้าต่อ
ทั้งสามคนที่อยู่ตรงหน้าลูกแก้วขนาดใหญ่ต่างมองหน้ากัน พวกเขารู้สึกเหลือเชื่อมาก
“คนผู้นี้ไม่ใช่คนจากวิหารแห่งแสงหรือ? นางโจมตีภาพลวงตาอย่างรวดเร็วเช่นนั้นได้อย่างไร นั่นคือเทพีแห่งแสงที่พวกเขานับถือนะ ทำไมถึงหนักมือขนาดนี้ล่ะ? ” สีเฉ่าฉีจ้องที่ลูกแก้วด้วยดวงตาที่เบิกกว้างและพูดออกมา น้ำเสียงที่เร่งรีบนั้นแสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้นและความสงสัยของเขา
……………………………………………………………………………….