เสน่ห์คมดาบ - เสน่ห์คมดาบ - ตอนที่ 24
“เจ้าแก่ เจ้านี่โชคดีจริงๆ จึงได้ศิษย์เช่นนี้” หลังจากที่ชายชราผู้เคร่งขรึมพูดประโยคดังกล่าวออกมามุมปากของแคลร์ก็กระตุกเล็กน้อย นางรู้สึกแปลกจริงๆ ที่คำพูดเช่นนี้ออกมาจากปากของชายชราที่ดูเคร่งขรึม แถมยังพระคาร์ดินัลที่ทุกคนเคารพเช่นนี้ แต่ว่าชายชราผู้นี้น่าสนใจและน่ารักมาก ไม่เหมือนกับเหล่าเทพที่ดูไม่น่าเชื่อถือคนอื่นๆ
“พระคาร์ดินัล สวัสดีค่ะ ข้าชื่อแคลร์ ฮิลล์” แคลร์โค้งคำนับอย่างสง่างาม
“อืม เด็กดีจริงๆ แตกต่างจากเจ้าแก่นั่นโดยสิ้นเชิง ถ้าเช่นนั้นเอาอย่างนี้เจ้าก็ปล่อยเขาไปแล้วมาเป็นศิษย์ข้าดีกว่า ข้าจะ…… ” ราอูลยังพูดไม่ทันจบ คลิฟก็ยื่นมือไปปิดปากเขาอย่างหงุดหงิด
“เจ้าปากหมา! เจ้าเป็นคนหรือไม่? เจ้ามาแย่งศิษย์ของข้าซึ่งๆ หน้าเช่นนี้ได้อย่างไร?!” คลิฟฉีกปากราอูลจนดูเหมือนปากปลา
“เอ้า อนอ่างเอ้าไออ๋อนอนอื่นอ้อไอแอ่ไออ่วงเออาเอ๋า (คำแปล: เจ้า คนอย่างเจ้าไปสอนคนอื่นก็ได้แต่ไปถ่วงเวลาเขา) ” น้ำลายของราอูลแทบจะไหลออกมาจากคำพูดอ้อแอ้นั้น
ขณะที่ชายชราทั้งสองกำลังต่อสู้กันอยู่เช่นนี้ก็มีอีกคนออกมาที่ระเบียง
คนๆ นี้แคร์เคยเห็นมาก่อน
“ท่านอาจารย์” เสียงเย็นดังขึ้นมาเบาๆ
แคลร์หันหน้าไป
ผมสีเงิน ดวงตาสีม่วง
ชายรูปงามที่ยืนอยู่ตรงหน้าแคลร์คือชายที่มีผมสีเงินและดวงตาสีม่วง
“ท่านอาจารย์ ปรมาจารย์คลิฟ” ผู้มาเยือนดูเหมือนจะคุ้นเคยกับการต่อสู้กันระหว่างทั้งสองแล้วจึงเรียกทั้งคู่อย่างสุภาพ ดวงตาที่เป็นประกายมองมาที่แคลร์
“เจ้านี่เอง” เขายิ้มจางๆ
“ข้าเอง” แคลร์ก็ยิ้มจางๆ เช่นกัน
“พวกเจ้ารู้จักกันหรือ? ” ราอูลหลุดพ้นจากกรงเล็บของคลิฟ เขาจ้องไปที่ทั้งสองแล้วถาม คลิฟก็มองทั้งสองด้วยความตกใจ
“เราเคยเจอกันในหุบเขาพายุ” ชายผมสีเงินตาสีม่วงยิ้มและโค้งคำนับ “สวัสดี ข้าชื่อเหลิ่งหลิงยวิ๋น”
“แคลร์ ฮิลล์” แคลร์มองชายหนุ่มรูปงามตรงหน้า ในใจก็ได้แต่สงสัยเกี่ยวกับนามสกุลของคนๆ นี้ เหลิ่งหลิงยวิ๋น? มันดูไม่เหมือนนามสกุลของโลกนี้เลย
“คุณหนูใหญ่จากบ้านตระกูลฮิลล์?” เหลิ่งหลิงยวิ๋นมองแคลร์ยิ้มๆ
แคลร์ยิ้ม “ดูเหมือนว่าข้าจะมีชื่อเสียงมากนะ”
“ทุกอย่างในโลกล้วนเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่สร้างขึ้นมาทั้งนั้น รวมทั้งการได้ยินและการมองเห็นด้วย การได้มาเจอกันวันนี้ที่นี่ต่างหากคือเรื่องจริง” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพยักหน้าเบาๆ ดูเหมือนว่าเขาจะได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับคุณหนูตระกูลฮิลล์มามากมาย แต่การแสดงออกของเขากลับแตกต่างจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง
แคลร์หัวเราะเบาๆ ไม่พูดอะไร เวลานี้ใจของแคลร์เริ่มปั่นป่วน หัวของนางแทบจะระเบิดเพราะเสียงดังโวยวาย ไม่ใช่ของใครอื่นนอกจากจะเป็นเสียงของวัลโด ก็จะไม่ให้เขาตื่นเต้นได้อย่างไรในเมื่อตอนนี้ศัตรูอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว? ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ วัลโดไม่ได้มีฝีมือเทียบเคียงเป็นคู่ต่อสู้ของชายผู้นี้เลยแม้แต่น้อย พอเขาตายก็ยังเป็นได้เพียงแค่เสียงโหยหวนในหัวของแคลร์เท่านั้น
“แก้แค้น ข้าจะแก้แค้น! ไอ้หมอนี่! ข้าจะฆ่าเขา! ” วัลโดร้องโหยหวนแต่ไม่กล้าแม้แต่จะเปิดเผยลมหายใจของตัวเองออกมา
แคลร์ปวดหัว วัลโดเสียงดังจริงๆ!
“หุบปาก! เจ้าสู้เขาได้หรือไง? ” ใบหน้าของแคลร์ไม่แสดงอาการผิดปกติ นางยังคงยิ้มจางๆ แต่ในใจของนางกำลังสื่อสารและตำหนิผู้ชายที่กำลังร้องโหยหวน และนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย แม้ว่านางจะยิ้มอย่างสุภาพและสง่างาม แต่รอยยิ้มและแววตาไม่ได้เข้ากันแม้แต่น้อย
เหลิ่งหลิงยวิ๋นมองแคลร์หญิงสาวผู้ที่ยิ้มอยู่ตอนนี้ นางไม่ใช่หญิงโง่เงาไร้สมองอย่างที่ผู้คนลือกัน แม้ว่านางจะยิ้มจางๆ แต่ดวงตาของนางกลับเย็นชาอยู่เสมอ! ดวงตาที่เฉยเมยและลึกซึ้งพร้อมกับลมหายใจที่ไม่ธรรมดา คนๆ นี้เป็นศิษย์คนใหม่ของปรมาจารย์คลิฟงั้นหรือ? นางไม่ธรรมดาเลย
“ฆ่าชายผู้นี้ ข้าจะฆ่าเขา” วัลโดร้องโหยหวนอยู่ในใจของแคลร์
“หากเจ้าพยายามส่งเสียงอีกครั้ง ข้าจะบดเจ้าให้เละเป็นขยะ แล้วโปรยเจ้าให้กระจายไปตามสายลม ให้เจ้าไปเป็นปุ๋ยให้ดอกไม้และต้นไม้ซะ” แคลร์ขู่วัลโดที่ยังคงส่งเสียงดังอยู่ในหัวของนาง
วัลโดนิ่งเงียบ เขารู้ดีว่าปีศาจน้อยตัวนี้จะทำเช่นนั้นจริงๆ หากเขายังสร้างปัญหาเช่นนี้ต่อไป เขาไม่อยากกลายเป็นปุ๋ยให้ดอกไม้โดยที่ยังไม่ได้เกิดใหม่
ในขณะนั้นเสียงดนตรีก็ดังขึ้น
จักรพรรดิและฮองเฮาเดินทางมาถึงแล้ว
แคลร์มองจักรพรรดิและฮองเฮาที่ยืนอยู่ด้านบน จักรพรรดิดูมีพลังและออร่าที่สง่างามจนทำให้ผู้คนละสายตาไม่ได้ ฮองเฮาได้รับการดูแลเป็นอย่างดีดูราวกับว่านางยังอยู่ในวัยสามสิบต้นๆ รูปลักษณ์ที่สง่างามและหรูหราเปล่งประกายนั้นยากที่จะเดาได้ว่านางเป็นคุณแม่ลูกสอง องค์ชายใหญ่เกิดกับฮองเฮาองค์ก่อน เมื่อฮองเฮาองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ จักรพรรดิจึงแต่งงานใหม่กับฮองเฮาองค์ปัจจุบันในอีกสองปีต่อมา
องค์หญิงแมริสมักจะมีรอยยิ้มบนใบหน้าอ่อนโยนและเป็นมิตรอยู่เสมอ แคลร์รู้ว่าตอนนี้องค์หญิงแมริสคงจะหมดความอดทนกับพิธีต่างๆ ในงานแล้ว ท่าทางของนางจึงไม่ดูเหมือนปกติก่อนหน้า
เดิมทีทุกคนคิดว่าหลังจบข้อความแสดงความยินดี ก็คงจะจบพิธีแล้ว แต่จักรพรรดิกลับกระแอมในลำคอและพูดอย่างมีความสุข “คืนนี้เราโชคดีที่ปรมาจารย์คลิฟมาที่นี่ได้ นอกจากนี้เรายังได้รับข่าวดีว่าปรมาจารย์คลิฟได้รับหลานสาวของดยุกกอร์ตั้นเป็นศิษย์แล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเมืองเนียร์จะเป็นศักดินาของแคลร์ และข้าจะมอบตำแหน่งบารอนให้แคลร์ด้วย”
หลังจากจักรพรรดิพูดจบก็เกิดความโกลาหลด้านล่าง ปกติแล้วการที่นักเวทย์ทรงพลังได้รับยศตำแหน่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่แคลร์ยังไม่ผ่านการทดสอบของสภาเวทมนตร์ และยังไม่ใช่นักเวทย์ที่แท้จริงด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามแคลร์เองก็มีคุณสมบัติครบถ้วนเพราะนางเป็นศิษย์ของปรมาจารย์คลิฟ! นอกจากนี้จักรพรรดิยังมีความชำนาญในการพูดเป็นอย่างมาก โดยการใช้คำว่าหลานสาวของดยุกกอร์ตั้น แทนที่จะเรียกว่าแคลร์ ฮิลล์เฉยๆๆ เผยให้เห็นสถานะของดยุกกอร์ตั้นที่แน่นแฟ้นไม่สั่นคลอน
แคลร์ก้าวไปข้างหน้าเพื่อรับตราประทับประจำเมืองและตราประจำตำแหน่งบารอน หลังจากนั้นงานเลี้ยงก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ หลังจากขอบคุณจักรพรรดิ แคลร์รู้สึกได้ถึงดวงตาที่แหลมคมดั่งหนามจากทางด้านหลังของนาง นางถอนหายใจเบาๆ และถอยไปที่มุมๆ หนึ่ง
ดยุกกอร์ตั้นถูกล้อมรอบโดยผู้คนจำนวนมากที่เข้ามาแสดงความยินดี
แคลร์ถอยออกไปที่ระเบียงอย่างเบื่อหน่ายและมองดูคนเต้นรำกันในห้องโถง
“นี่คือหม้อหลอมรวมคนขนาดใหญ่” จู่ๆ เสียงของคลิฟก็ดังมาจากด้านข้างแคลร์ด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“ท่านอาจารย์” แคลร์ตะลึงเล็กน้อยเพราะสิ่งที่นางเห็นบนใบหน้าของคลิฟในครั้งนี้ไม่ใช่การแสดงออกที่ไร้สาระตามปกติ แต่เป็นสีหน้าที่จริงจัง
“ดังนั้นข้าจึงเกลียดราชสำนักและพระราชวงศ์” คลิฟพูดเบาๆ พลางมองไปยังกลุ่มคนที่ล้อมรอบดยุกกอร์ตั้นด้วยรอยยิ้มประจบประแจง
“ดังนั้นเจ้าจึงยอมรับเฉพาะตำแหน่งดยุก แต่ไม่ได้ขอรับที่ดินศักดินา” ราอูลพูดแทรก
แคลร์รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย นางไม่คิดว่าคลิฟจะมีตำแหน่งเป็นดยุก
“ข้าไม่ต้องการมีส่วนร่วมในการต่อสู้ที่สกปรกเหล่านั้น การวางอุบายต่างๆ มันไม่เหมาะกับข้า” คลิฟยักไหล่และมองกระโปรงลูกไม้ที่สวยงามของแคลร์
ราอูลถอนหายใจเล็กน้อย บางครั้งเขาก็นึกอิจฉาชายชราผู้นี้ที่เขาสามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระได้ ตัวตนของเขาถูกลิขิตไว้ไม่ให้เป็นเช่นนั้น ความขัดแย้งระหว่างอำนาจกษัตริย์และอำนาจเทพต้องมีใครสักคนเข้ามาดูแล……
เหลิงหลิงยวิ๋นนิ่งเงียบและมองดูอารมณ์ที่อธิบายไม่ได้ในดวงตาของราอูล เหลิ่งหลิงยวิ๋นเหล่มองเล็กน้อย ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
คืนนี้ดยุกกอร์ตั้นมีความสุขมากและผู้คนก็เข้าหาเขาไม่ขาดสาย ตัวเอกของงานเลี้ยงในคืนนี้คือองค์หญิงแมริส แต่ผู้คนกลับมารวมตัวรอบๆ ดยุกกอร์ตั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนแคลร์ผู้เป็นสาเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้กำลังเอนกายสบายๆ ที่ระเบียงโดยไม่มีใครเข้ามารบกวน
จากนั้นดนตรีไพเราะก็ดังขึ้น ฟลอร์เต้นรำในห้องโถงเต็มไปด้วยเหล่าขุนนางที่เต้นรำกันอย่างสง่างาม ราอูลและเหลิ่งหลิงยวิ๋นไปที่ข้างๆ จักรพรรดิและพูดคุยหัวเราะกัน ส่วนคลิฟก็วิ่งเข้าหาสาวๆ ที่มองเขาด้วยสายตาชื่นชม
“น่าเกลียด เสียงหัวเราะยิ่งน่าเกลียดกว่าเสียงร้องไห้เสียอีก เจ้าพวกเทพไม่ดีเหล่านี้” เสียงของวัลโดดังก้องในหัวของแคลร์ด้วยความไม่พอใจ พ่อมดแห่งความมืดอย่างวัลโดเป็นคนที่เกลียดวิหารแห่งแสงมากที่สุด
แคลร์ไม่พูดอะไรและค่อยๆ จิบไวน์ในแก้ว
แคลร์ถูกทิ้งไว้ตามลำพังที่ระเบียง นางคิดว่าจะใช้เวลาทั้งคืนอย่างเงียบๆ แต่ทันใดนั้น…
“แคลร์ เต้นรำกับข้าได้หรือไม่? ” น้ำเสียงที่มีความดูถูกและไม่เต็มใจเล็กน้อยดังขึ้น
แคลร์เงยหน้าขึ้นมองและเห็นหนุ่มหล่อ ถึงแม้ว่าเขาจะมีรอยยิ้มที่แทบมองไม่เห็นบนใบหน้า แต่อารมณ์ในดวงตาของเขากลับซ่อนได้ไม่มิด สายตามีทั้งความรังเกียจ อิจฉาริษยา และไม่พอใจ
แคลร์เข้าใจทันทีว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าคงถูกพ่อสั่งให้มาชวนนางเต้นรำ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่แปรเปลี่ยนได้ ในความทรงจำของนาง แคลร์มีความประทับใจเล็กน้อยกับชายผู้นี้ในความทรงจำ ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นหนึ่งในชายรูปงามที่เคยถูกแคลร์เกาะแกะมาก่อน อีกฝ่ายเคยทำตัวไม่ดีกับแคลร์นัก แต่แคลร์ก็เพียรพยายามกับเขาเหลือเกิน
ชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์ในเครื่องแต่งกายหรูหราเริ่มหมดความอดทนเมื่อเห็นว่าแคลร์ไม่ได้พูดกับเขา จากนั้นเขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่หยาบคาย “แคลร์ มาเต้นรำกับข้า เจ้าอยากจะได้เต้นรำกับข้ามาตลอดไม่ใช่หรือ? “
แคลร์ถอนหายใจเล็กน้อยขณะที่มองชายหนุ่มที่ร้อนรนตรงหน้า ความนึกคิดของแคลร์คนเก่า เจ้าของร่างก่อนหน้านี้….. แคลร์คนปัจจุบันไม่เข้าใจเลยจริงๆ