เสน่ห์คมดาบ - เสน่ห์คมดาบ - ตอนที่ 32
งานประชุมสร้างสัมพันธ์สิ้นสุดลงไปแบบนี้ด้วยการเปิดฉากและตอนจบที่น่าตกใจ สีหน้าของท่านทูตไม่ดีเลย จักรพรรดิอยากจะพูดอะไรสักหน่อย แต่ด้วยอารมณ์ของอัครราชทูต พิธีมอบรางวัลในขั้นสุดท้ายจึงจัดแบบเรียบง่าย
ส่วนตัวรางวัลนั้นเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมาก ไม่มีนักเรียนคนใดที่เข้าร่วมการแข่งขันคนใดกล้าบอกว่ารางวัลเป็นของพวกเขา และไม่มีใครพูดถึงมันเลยด้วยซ้ำ แม้ว่าอาจารย์ใหญ่จะเป็นคนไปรับรางวัลมา แต่กลับไม่มีใครเก็บไป ในการประลองครั้งนี้ทุกคนต่างก็เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น หากไม่มีแคลร์ในวันนี้ ไม่เพียงแต่จะพวกเขาจะพ่ายแพ้ แต่ประเทศอันพาแกรนด์ยังต้องอับอายอีกด้วย
ใครจะกล้าพูดว่ารางวัลนี้เป็นของนักเรียนที่เข้าร่วมการประลองล่ะ?
ในตอนเย็นจะมีการจัดงานเลี้ยงในพระราชวัง อย่างแรกคือเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะ และอย่างที่สองคือเพื่อเลี้ยงส่งนักเรียนจากลากัค
ในช่วงบ่าย ขณะที่แคลร์กำลังดื่มชาอยู่ที่เรือนดอกไม้ องครักษ์มาบอกกับนางว่าอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนไรซิ่งซันให้คนนำของรางวัลมาให้ เพราะเขาไม่สามารถมาด้วยตัวเองได้ เขาจึงให้อาจารย์ท่านหนึ่งมาส่งรางวัลทั้งสามนี้ให้นางแทน
แคลร์มองรางวัลทั้งสามในถาดแล้วจิบชา นางลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่ถาดที่วางดาบวิเศษเอาไว้ นางหยิบดาบขึ้นมาแล้วโยนให้จินเหยียนที่อยู่ข้างหลัง จากนั้นก็พูดกับองครักษ์อย่างไม่สนใจ “ของอื่นๆ ส่งกลับไป ข้ารับแค่ของที่ข้าควรจะได้เท่านั้น”
องครักษ์ตกใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อมองสีหน้าเย็นชาของแคลร์ เขาก็รีบก้มหัวแล้วถอยกลับไปพร้อมกับถาดที่เหลือ
จินเหยียนหยิบดาบแล้วค่อยๆ ดึงออกจากฝักดาบทีละนิด แสงเย็นวาบสะท้อนบนใบหน้าของเขา ดาบดี! รอยยิ้มจางๆ ปรากฏบนใบหน้าของจินเหยียน เขาชอบของขวัญชิ้นนี้มาก
“เอาไปเถอะ ในอนาคตเจ้าจะได้ใช้ดาบเล่มนี้เพื่อปกป้องข้า” แคลร์นั่งหันหลังให้เขาและยังนึกถึงฉากที่น่าอับอายที่สุดในงานประลองเมื่อตอนกลางวัน เท้าของนางอยู่บนหลังของชายคนนั้น เมื่อนึกถึงนักเวทย์หนุ่มผู้มีความเชี่ยวชาญเรื่องการลอบสังหารซึ่งถูกนางทำให้อับอายขายหน้าในที่สาธารณะแล้ว แคลร์ก็รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย นั่นไม่ใช่ความตั้งใจเดิมของนาง ตอนนี้แคลร์ได้แต่คิดถึงวิธีรับมือกับพายุความโกรธลูกต่อไป
“คุณหนูเป็นห่วงชายที่ประลองกับคุณหนูวันนี้หรือ?” จินเหยียนถามขึ้นหลังจากเก็บดาบของเขา
“ถ้าเป็นเจ้าจะรู้สึกดีหรือที่ถูกผู้หญิงที่อ่อนแอกว่าตัวเองเหยียบต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนั้น?” แคลร์ถามอย่างโกรธๆ
จินเหยียนพูดไม่ออก ใช่ ผู้ชายถูกเหยียบหลังท่ามกลางสายตาของผู้คนจำนวนมากเช่นนั้นย่อมต้องเสียสติแน่ๆ
“ในช่วงนี้ต้องระวังหน่อย ชายผู้นั้นเชี่ยวชาญในการลอบสังหารมาก” แคลร์ปวดหัว เมื่อนักฆ่ากับนักฆ่าเจอกัน ไม่มีฝ่ายไหนได้เปรียบทั้งนั้น
“ครับ คุณหนู ข้าจะอยู่คอยปกป้องคุณหนูอยู่ข้างๆ ตลอด” จินเหยียนพูดอย่างจริงจัง
คืนนี้จะมีงานเลี้ยง… แคลร์หลับตาและถอนหายใจเล็กน้อย ถ้าทำได้ นางไม่อยากไปเลยจริงๆ
“เจ้ารู้ปัญหาตอนนี้แล้วสินะ เจ้าเติมเชื้อเพลิงเข้าไปแล้วจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายที่ไหนก็คงจะกระอักเลือดตายเพราะการกระทำของเจ้า ทั้งถูกหลอก ทั้งแพ้ แล้วยังถูกเหยียบหลังอีก โอ้ ใช่ ช่างเป็นภาพที่งดงามจริงๆ ตอนนี้เรามีความสุขมากแน่ๆ ” สิ่งที่วัลโดพูดแตกต่างจากสิ่งที่เขาคิดในตอนนี้อย่างสิ้นเชิง ตอนนี้เขากำลังกระวนกระวายสุดๆ
แคลร์ไม่ได้พูดอะไร แต่หยิบหินจิตวิญญาณออกมาบีบ
วัลโดกระตุกแล้วเงียบลง
โลกใบนี้เงียบสงบไปเลย
จินเหยียนมองแคลร์ที่บีบหินจิตวิญญาณอย่างรุนแรง จากนั้นก็นางใส่หินกลับไปปกติ ด้วยเหตุผลบางอย่างเขารู้สึกเย็นยะเยือก ทันใดนั้นจินเหยียนก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจวัลโดในทันที เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมวัลโดถึงเรียกแคลร์ว่าปีศาจน้อย
งานเลี้ยงตอนเย็นจัดขึ้นตามปกติ แคลร์ปรากฏตัวในชุดสีดำที่ดูเป็นทางการด้วยความสดใส นางกลายเป็นดาวเด่นในงานเลี้ยงเย็นนี้ ราเซียไม่ได้ปรากฏตัวในงาน จักรพรรดิกล่าวต้อนรับและงานเลี้ยงก็เริ่มต้นขึ้น เหล่าขุนนางรวมตัวกันอยู่รอบๆ แคลร์จนนางปวดหัว หลายคนเป็นคนที่ดยุกกอร์ตั้นบอกให้นางพูดคุยผูกมิตรด้วย แต่ก็ยังมีขุนนางบางคนที่ยืนไกลๆ และมองมาทางนางด้วยสายตาคลุมเครือ
“เอาล่ะ ทุกคน แคลร์มีนัดกับข้า ถ้าทุกคนไม่ถือสา ข้าจะยืมตัวแคลร์ไปสักพักนะ” องค์หญิงแมริสปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนด้วยรอยยิ้มแล้วกันตัวแคลร์ออกจากการคุกคามของคนเหล่านั้น
แคลร์ส่งความรู้สึกขอบคุณผ่านทางสายตาไปให้องค์หญิงแมริสและทั้งสองก็หลบไปที่ระเบียง แคลร์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก หากดยุกกอร์ตั้นไม่ได้บอกไว้ล่วงหน้าแล้ว นางคงไม่ยอมพูดคุยกับขุนนางที่น่าเบื่อเหล่านั้นหรอก
“แคลร์ วันนี้เจ้ายอดเยี่ยมจริงๆ ” องค์หญิงแมริสตาโตมองแคลร์ด้วยความชื่นชมอย่างจริงใจ
แคลร์ยิ้มอย่างขมขื่นและส่ายหัว ในแง่ความแข็งแกร่งนางยังห่างไกลจากคู่ต่อสู้อย่างเฟิงอี้เซวียนอยู่มาก แต่ครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะที่น่าประหลาดใจจริงๆ ถ้าเฟิงอี้เซวียนรู้ว่านางมีพลังยุทธ์ เขาก็คงไม่หยิ่งผยองแต่อย่างใด แต่ว่าเย็นนี้ดูเหมือนว่าจะไม่เห็นชายผู้นั้นมาร่วมงานเลย
“เฟิงอี้เซวียนผู้นั้น ข้าได้ยินว่าเขามีอาการมึนงงและหมดสติไป น่าจะเรื่องใหญ่อยู่นะ” องค์หญิงแมริสพูดด้วยรอยยิ้มภาคภูมิใจ ในสายตาของนาง แคลร์คือวีรสตรีที่เอาชนะชายคนนั้นได้อย่างดุเดือด!
อาการมึนงง? แคลร์สะดุ้ง นี่มันเรื่องอะไรกัน?
ทั้งเฟิงอี้เซวียนและสุ่ยเหวินโม่ไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้ เฟิงอี้เซวียนนอนนิ่งอยู่บนเตียงที่บ้านพัก ส่วนสุ่ยเหวินโม่กำลังเคี้ยวไก่ย่างอยู่ข้างๆ
อัครราชทูตกังวลอย่างมากเกี่ยวกับอาการของเฟิงอี้เซวียน ดังนั้นเขาจึงไม่บังคับให้พวกเขามาเข้าร่วมงานเลี้ยงอำลาที่น่าอับอายนี้ ภูมิหลังของเฟิงอี้เซวียนคือสิ่งที่อัครราชทูตไม่สามารถทำให้ขุ่นเคืองได้
“เฮ้! ตกลงว่าเจ้ากำลังจะตายหรือเจ้าตายไปแล้วเนี่ย? ” หลังจากที่สุ่ยเหวินโม่รู้ว่าเฟิงอี้เซวียนทนต่อการโจมตีครั้งนี้ได้ เขาก็ไม่สุภาพอีกต่อไป เขานั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงพลางเคี้ยวไก่ย่างในปาก และเตะก้นของเฟิงอี้เซวียนที่นอนอยู่บนเตียง จากนั้นก็ถามคำถามออกไป
เฟิงอี้เซวียนเงียบแล้วนอนอยู่ตรงนั้น
“ถ้ายังไม่ตายก็มากินอะไรสักหน่อย รองานเลี้ยงจบก็จะกลับกันแล้ว ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่เลย” สุ่ยเหวินโม่พึมพำขณะที่เคี้ยวปีกไก่อยู่
“สวยมาก มีพลังมาก…” เสียงงึมงัมของเฟิงอี้เซวียนแผ่วเบามาก เขาไม่สนใจเท้าของสุ่ยเหวินโม่ที่เตะก้นเขาอยู่เลย
“อะไรนะ? ” สุ่ยเหวินโม่พ่นกระดูกออกมาแล้วถามด้วยความสับสน
“นางมีพลังและมีเสน่ห์มาก…” ครั้งนี้เขาได้ยินเสียงของเฟิงอี้เซวียนชัดเจนเลย
อะไรนะ?!
ลางสังหรณ์ไม่ดีผุดขึ้นมาในใจของสุ่ยเหวินโม่
“เมื่อกี้เจ้าพูดอะไรนะ?” สุ่ยเหวินโม่เขวี้ยงไก่ย่างในมือทิ้งแล้วถามอย่างประหม่า
“นางมีเสน่ห์และแข็งแกร่งมาก” เฟิงอี้เซวียนค่อยๆ ลุกขึ้น ดวงตาของเขาพร่ามัว เขามองไปข้างหน้าด้วยความมึนงงราวกับว่าแคลร์ผู้ทรงเสน่ห์อยู่ตรงหน้าเขา
“พรวด…” สุ่ยเหวินโม่พ่นกระดูกที่เหลือเพียงชิ้นเดียวในปากของเขาไปที่ใบหน้าของเฟิงอี้เซวียน
เฟิงอี้เซวียนเช็ดหน้าของเขาแล้วยิ้ม “เหวินโม่ นางมีเสน่ห์มากเลย”
สุ่ยเหวินโม่อ้าปากค้างมองคนที่แสยะยิ้มตรงหน้าอย่างอึ้งๆ และความวิตกกังวลในใจก็ยิ่งทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเฟิงอี้เซวียนเป็นเช่นนี้!
แย่แล้ว! เจ้านี่กำลังมีความรักจริงๆ หรือ!
แต่ไหนแต่ไรมาเจ้านี่รำคาญพวกผู้หญิงมาตลอด มีครั้งหนึ่งที่เขาไม่สามารถทนมองหน้าลูกพี่ลูกน้องผู้หญิงของเขาได้จนพ่นน้ำชาออกมาจากปากโดยที่ไม่แสดงสีหน้าอะไรด้วยซ้ำ แม่ของเฟิงอี้เซวียนคิดว่าเขาอาจจะมีความผิดปกติทางร่างกายจึงให้สุ่ยเหวินโม่คอยแอบสังเกตอยู่ตลอด ผลที่ออกมาก็คือเฟิงอี้เซวียนปกติทุกอย่าง เพียงแต่เขาแค่ไม่สนใจผู้หญิงเท่านั้นเอง
ในที่สุด เขาก็ตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่งเข้าแล้ว
แต่!
ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้สิ!
เพราะนางมาจากอันพาแกรนด์และเป็นหลานสาวของดยุกฮิลล์แห่งอันพาแกรนด์ที่ทรงพลังที่สุด!
แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างอันพาแกรนด์และลากัคจะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น แต่พวกเขารู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศนั้นตึงเครียดมาก กระแสความมืดกำลังโหมกระหน่ำและความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศจะค่อยๆ เสื่อมลงโดยไม่รู้ตัวเข้าสักวัน จักรพรรดิแห่งลากัคคนปัจจุบันไม่พอใจกับสถานการณ์ตอนนี้เลย
เพราะฉะนั้นผู้หญิงคนนี้ไม่ได้แน่นอน!
ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าอัครราชทูตจะมีความคิดของเขาเอง
สุ่ยเหวินโม่ไม่รอให้เฟิงอี้เซวียนพูดอะไร สุ่ยเหวินโม่ก็กระโจนดึงผ้าปูที่นอนออกด้วยความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยและฉีกผ้าปูที่นอนเป็นเส้นๆ จากนั้นเขาก็เอาเส้นที่ทำจากผ้าปูที่นอนไปมัดเฟิงอี้เซวียนไว้อย่างแน่นหนา!
“เห้ย! เจ้าทำอะไร? ” ในที่สุดเฟิงอี้เซวียนก็ได้สติขึ้นมา เขามองสุ่ยเหวินโม่ที่จดจ่ออยู่กับการมัดเขาตรงหน้าแล้วตะโกนด้วยความโกรธ เขาไม่สามารถดิ้นหลุดได้เลย
“อย่าแม้แต่จะคิดเลย คืนนี้เราจะรีบกลับกัน ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เด็ดขาด นางเป็นหลานสาวของดยุกฮิลล์แห่งอันพาแกรนด์” สุ่ยเหวินโม่ดูอย่างละเอียดตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็มัดให้แน่นขึ้นอีก
“เจ้าอยากตายหรือ?! ปล่อยข้า! ข้าจะไปตามหานางตอนนี้เลย” เฟิงอี้เซวียนบิดตัวดิ้นเหมือนไส้เดือน แต่เขาเป็นคู่ต่อสู้ของสุ่ยเหวินโม่ที่อยู่ในฐานะนักรบที่ไหนกันล่ะ?
สุ่ยเหวินโม่ต่อสู้กับเฟิงอี้เซวียน เขาผลักเฟิงอี้เซวียนเบาๆ ลงบนเตียง จากนั้นก็จับเขากลิ้งอีกสองสามครั้ง ส่วนเฟิงอี้เซวียนก็ยังคงดิ้นต่อไป
“เจ้านี่ เจ้ากล้ามัดข้าหรือ ข้าจะทำให้เจ้า…… อื้อๆๆ ……” เฟิงอี้เซวียนไม่สามารถพูดประโยคหลังจนจบไม่ได้อีกต่อไป เพราะสุ่ยเหวินโม่ขยำกระดาษเป็นลูกกลมๆ แล้วยัดเข้าไปในปากของเขาเรียบร้อยแล้ว
สุ่ยเหวินโม่ไม่สนใจเฟิงอี้เซวียนที่กำลังดิ้นอย่างบ้าคลั่งอยู่บนเตียง เขาเริ่มเก็บข้าวของด้วยตัวเอง พวกเขาต้องออกจากที่นี่ในคืนนี้ ด้วยนิสัยของอัครราชทูต เขาคงไม่ปล่อยผู้หญิงที่ชื่อแคลร์ไปง่ายๆ แน่ นางเป็นนักรบเวทย์! แม้ว่าระดับในตอนนี้จะไม่สูงนัก แต่ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร อัครราชทูตคงจะไม่เสี่ยงที่จะปล่อยให้นางเติบโตต่อไปแน่
เรื่องนี้จะให้เฟิงอี้เซวียนรู้ไม่ได้เด็ดขาด สุ่ยเหวินโม่มองคนที่กำลังดิ้นรนอยู่บนเตียงและตัดสินใจ ต้องไปเดี๋ยวนี้เลย! ต้องพาเด็กนี่กลับบ้านและให้แม่ของเขาจัดการกับเขาเอง เพียงแค่กลับถึงบ้าน สุ่ยเหวินโม่ก็สามารถปล่อยเขาไปได้แล้ว