เสน่ห์คมดาบ - เสน่ห์คมดาบ - ตอนที่ 33
เมื่อนักเรียนและอาจารย์ที่ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงกลับมา พวกเขาก็เห็นเฟิงอี้เซวียนที่ถูกสุ่ยเหวินโม่มัดไว้จนกลายเป็นมัมมี่และกำลังจะพาเขาขึ้นรถม้า เฟิงอี้เซวียนดิ้นอย่างหมดท่า ส่วนสุ่ยเหวินโม่ก็พูดกับอาจารย์ “พวกเราขอกลับก่อนนะอาจารย์ เจ้านี่อาการแย่เกินไป ข้ากลัวว่าเขาจะคิดฆ่าตัวตาย ดังนั้นข้าจึงต้องใช้มาตรการเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้” สุ่ยเหวินโม่พูดคำนี้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
อาจารย์ตะลึงจนไม่รู้จะพูดหรือทำอย่างไรดี นักเรียนคนอื่นๆ ก็มองภาพที่ดูแปลกประหลาดนี้ด้วยความงุนงง
อัครราชทูตพยักหน้าและให้พวกเขากลับไปก่อน อัครราชทูตกลัวว่าเฟิงอี้เซวียนจะทำอะไรที่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ที่สงบสุขชั่วคราวระหว่างสองประเทศได้ ตอนนี้จึงเป็นเรื่องดีเลยที่สุ่ยเหวินโม่จะพาเขากลับไป ยิ่งเร็วได้เท่าไหร่ยิ่งดี!
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าเฟิงอี้เซวียนที่พยายามต่อต้านอยู่บนไหล่ยิ่งดิ้นหนักขึ้นไปอีกเมื่อสุ่ยเหวินโม่พูดคำเหล่านั้น เฟิงอี้เซวียนดิ้นอยู่ในรถม้าและยังคงร้องโวยวายอยู่ แต่มีเพียงสุ่ยเหวินโม่เท่านั้นที่สามารถบอกได้ว่าเฟิงอี้เซวียนกำลังพูดงึมงัมอะไร “อื่ออื๋ออื้อ อื้ออื้อ…..อื้ออื่ออืออื้ออื้อ……อื้ออื่ออื้ออื้อ….. (สุ่ยเหวินโม่ ไอ้บ้า ข้าจะเอาเรื่องเจ้า ข้าจะฆ่าเจ้า) ” น่าเสียดายที่เสียงเหล่านี้ถูกกลบไปหมดในค่ำคืนนี้
รถม้าที่มีเฟิงอี้เซวียนและสุ่ยเหวินโม่โดยสารอยู่หายไปในความมืด หลังจากแสดงเอกสารกับด่านผ่านทางแล้ว พวกเขาก็ออกจากเมืองไปอย่างราบรื่น
เฟิงอี้เซวียนรู้สึกแย่มากที่เขาถูกสุ่ยเหวินโม่บังคับให้ต้องออกห่างจากแคลร์ หญิงสาวทรงพลังและมีเสน่ห์ในใจของเขา
ในตอนท้ายของงานเลี้ยง แคลร์และดยุกกอร์ตั้นก็ขึ้นรถม้ากลับคฤหาสน์
ดยุกกอร์ตั้นหน้าแดงด้วยอารมณ์ที่ดีมาก หลังจากที่เขารู้ว่าแคลร์ฝึกฝนทั้งพลังเวทย์และพลังยุทธ์ เขาตื่นเต้นมากและรู้เลยว่านางต้องแอบไปเรียนรู้พลังยุทธ์จากจินเหยียนแน่ๆ หลานสาวผู้นี้น่าภูมิใจจริงๆ คราวนี้เขาประหลาดใจมากจนหัวใจเต้นระรัวแทบออกมาจากร่างกาย
ในคืนที่เงียบสงบ แคลร์นอนอยู่บนเตียงแล้วหลับตา แต่นางยังไม่หลับ
ขณะนี้บรรยากาศในห้องหนังสือกำลังเคร่งขรึมและตึงเครียดอยู่
“นายท่าน เฟิงอี้เซวียนเด็กหนุ่มที่พ่ายแพ้คุณหนูและสุ่ยเหวินโม่นักรบผู้กล้าหาญได้ออกจากเมืองไปในคืนนี้แล้วครับ” ชายในชุดเครื่องแบบเต็มยศรายงานดยุกกอร์ตั้น
ดยุกกอร์ตั้นขมวดคิ้ว จากนั้นก็ค่อยๆ พยักหน้าและพูดด้วยเสียงต่ำ “ส่งคนมาติดตามแคลร์ให้มากขึ้น อย่าลืมดูแลความปลอดภัยของนาง แม้ว่านางจะชนะการประลองในครั้งนี้ แต่เรื่องนักรบเวทย์ทำให้ข้ากลัวนิสัยของคนผู้นั้น……”
อูมาริเงียบ เขาก็กังวลอยู่ในใจ วันนี้แคลร์ได้ส่องประกาย แต่ว่าต้นไม้ใหญ่นั้นย่อมดึงดูดลม ด้วยนิสัยที่ระมัดระวังและโหดเ**้ยมของอัครราชทูตที่สามารถฆ่าคนนับพันได้มากกว่าที่จะปล่อยไป ตอนนี้แคลร์ตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน หากอัครราชทูตพบว่าแคลร์กำลังเติบโตยิ่งขึ้นในสิ่งที่นางเป็นในตอนนี้ เขาจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดนางออกไปอย่างแน่นอน
“ครับ ข้าสาบานว่าจะปกป้องคุณหนูด้วยชีวิต” ชายผู้นั้นทุบหน้าอกของเขาและพูดรับประกัน
“หากเรามีการป้องกัน พวกเขาก็จะไม่สามารถลงมือได้ง่ายๆ แต่ก็ประมาทไม่ได้เด็ดขาด อีกอย่าง ตอนนี้แคลร์เป็นนักรบเวทย์แล้ว ทางด้านปรมาจารย์คลิฟ……” ดยุกกอร์ตั้นขมวดคิ้ว ในฐานะที่คลิฟเป็นจอมเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ หากศิษย์ของเขาไม่ได้ศึกษาเวทมนตร์ของเขาเพียงผู้เดียว แล้วอย่างนี้คนผู้นั้นจะคิดอะไรอยู่ในใจกันนะ? กอร์ตั้นกังวลใจ
“นายท่านไม่ต้องกังวล ข้าเชื่อว่าคุณหนูจัดการเรื่องนี้ได้” อูมาริปลอบใจดยุกกอร์ตั้น เขาเชื่ออย่างเต็มหัวใจเลยว่าแคลร์จะจัดการมันได้
“อืม นั่นก็จริง ถ้าไม่มีอะไรแล้วพวกเจ้าก็ไปได้” กอร์ตั้นโบกมือเบาๆ เพื่อส่งสัญญาณให้ทุกคนออกไป
“แคลร์ มีคนกำลังมา” จู่ๆ เสียงของวัลโดก็ดังขึ้นในหัวของแคลร์ เสียงแผ่วเบาด้านนอกประตูมีความผิดปกติ นี่ไม่ใช่เสียงจากองครักษ์หรืออัศวินอย่างแน่นอน ส่วนอูมาริก็คุ้นเคยกับการเข้ามาทางหน้าต่าง แล้วใครจะมากันล่ะ?
แคลร์ไม่ได้พูดอะไร แน่นอนว่านางรับรู้เรื่องเสียงที่ประตูแล้ว ส่วนจินเหยียนก็ไม่ได้มีท่าทีที่จะทำอะไรแสดงว่าเขารู้จักกับคนผู้นี้ อีกทั้งตอนนี้เขาไม่มีทางที่จะปล่อยมห้เกิดเรื่องร้ายอะไรกับแคลร์
คนที่ประตูดูเหมือนจะเดินวนไปมาพร้อมกับก้าวเท้าเบามากๆ เหมือนกับกำลังลังเลอะไรบางอย่างอยู่
ในห้องเงียบสงบ แสงจันทร์สีเงินส่องเข้ามาทางหน้าต่าง
ทันใดนั้นคนที่อยู่นอกประตูก็หยุดนิ่งและยืนอยู่เงียบๆ
เวลาผ่านไปสักพัก ประโยคหนึ่งก็ลอยเข้ามาในประตูเบาๆ “ขอบคุณนะ ขอบคุณที่ช่วยข้าในวันนี้”
วินาทีต่อมาเสียงฝีเท้านั้นก็รีบวิ่งออกไป
เสียงนี้คือเสียงของราเซีย
“เด็กผู้หญิงคนนั้นขอบคุณเป็นด้วย! ” วัลโดพูดอย่างครุ่นคิดราวกับค้นพบโลกใหม่ “เจ้ารู้ไหมว่าปกติแล้วนางเดินจมูกเชิดอยู่ตลอดเลยนะ! “
“นอนเถอะ” แคลร์หาว พลิกตัวไปนอนและไม่พูดอะไรอีก
วัลโดเงียบ ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
ณ วิหารแห่งแสง
ภายในห้องที่มืดมิด
โหรผมสีเขียวตาโตกำลังขมวดคิ้วมองลูกแก้วที่อยู่ตรงหน้า
นางยังไม่สามารถคำนวนแผนภูมิการเกิดที่เทพีต้องการได้เลย
หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป การพบคนผู้นั้นโดยเร็วนั้นคงเป็นไปได้ยาก
ถ้าคนนั้นไม่ได้อยู่ในการควบคุม…
เทพีจะออกคำสั่งกวาดล้าง!
ชีวิตกลับคืนสู่ความสงบสุขชั่วคราว ไม่มีการแก้แค้นจากเฟิงอี้เซวียน เขาได้หายตัวไปแล้ว
“แปลกจัง ทำไมเด็กนั่นกลับไปโดยไม่แก้แค้น เขาเป็นโรคริดสีดวงทวารหรือไง?” วัลโดงงมาก เขาก็ดีใจที่ไม่ได้กล่าวคำสาบานที่เขาจะยอมใช้นามสกุลของปีศาจน้อยถ้าเฟิงอี้เซวียนไม่มาแก้แค้นในตอนนั้น โชคดีที่เขาไม่พูดออกมา โชคดีมากจริงๆ
“เจ้าพูดพึมพำอะไร?” น้ำเสียงเย็นชาของแคลร์ก็ทำให้วัลโดรู้ตัวทันที
วัลโดแทบจะกรีดร้อง ไม่มีทางที่ปีศาจน้อยจะสามารถได้ยินความคิดของเขาหรอกใช่ไหม? เป็นไปไม่ได้หรอก
วัลโดลืมไปแล้วว่าแคลร์สามารถรับรู้บางสิ่งบางอย่างจากความผันผวนทางจิตใจของวัลโดได้ เช่นตอนนี้ความผันผวนทางจิตใจของวัลโดปั่นป่วน เขาคงไม่ได้คิดถึงเรื่องดีๆ อย่างแน่นอน
“เปล่าๆ ข้ากำลังคิดว่าเจ้ากำลังจะเปิดเทอมแล้ว” วัลโดหัวเราะเบาๆ
แคลร์ส่งเสียงหึ ความน่าเชื่อถือในคำพูดของวัลโดเป็นศูนย์
“วันนี้เจ้าจะทำต่อหรือ? เจ้าไม่เจ็บหรือ? ทำเช่นนี้ทุกวัน” วัลโดมองเสื้อผ้าเต็มยศของแคลร์อย่างกังวล แคลร์ต่อสู้กับอัศวินไม้ของจินเหยียนจนเป็นแผลเลย
“เจ็บหรือตายอย่างไหนสบายกว่ากัน? ” แคลร์ถามอย่างเย็นชา
วัลโดตัวสั่น เขาพูดไร้สาระนี่ ถ้าตายไปก็จะไม่เหลืออะไรเลย เจ็บสักหน่อยไม่เป็นไรหรอก
แคลร์จับดาบและเดินไปที่สนามฝึกซ้อมในสวนหลังบ้านโดยมีจินเหยียนเดินตามหลังไป
การต่อสู้ดุเดือดเหมือนทุกๆ วัน วัลโดหาวและซึม ยังไงคนที่เจ็บก็ไม่ใช่เขา ไม่ว่าปีศาจน้อยจะต่อสู้อย่างไรก็ตาม
เสียงที่ดังกึกก้องจากการฟาดฟันอาวุธไม่มีที่สิ้นสุด หากไม่ใช่ว่าพวกเขาอยู่ที่สนามฝึกซ้อม ก็ไม่รู้ว่าจะมีคนจำนวนมากเท่าไหร่ที่จะตื่นตระหนกเพราะคิดว่ามีการต่อสู้ที่ดุเดือดเกิดขึ้นที่นี่
วัลโดมองที่แขนของแคลร์ ร่างกายของนางได้รับบาดเจ็บจนเลือดไหลซึมออกมาไม่หยุด เขารู้สึกหนาวสั่น ปีศาจน้อยตัวนี้โหดร้ายเกินไป ดุร้ายเกินไป นางไม่ได้โหดร้ายกับตัวเองแบบธรรมดา สายตาที่เย็นชาและลึกล้ำดูไม่น่ามองแม้แต่น้อย
จินเหยียนขมวดคิ้ว การโจมตีของแคลร์แตกต่างกับนักรบทั่วไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งมีเล่ห์เหลี่ยมและดุร้าย แม้ว่าคนที่แข็งแกร่งกว่าแคลร์มากก็ต้องรับมืออย่างระมัดระวัง
แคลร์ก้าวถอยหลังด้วยความโกรธและยกดาบขึ้นมาชี้ไปที่จินเหยียน
จินเหยียนไม่กล้าหยุด เขาเตรียมตั้งรับดาบเล่มนี้
ใครจะรู้ว่าเวลาต่อมาจะมีบางสิ่งที่เหลือเชื่อเกิดขึ้น
“จิ๊บๆ …จิ๊บๆ! ” สัตว์ขนปุยๆ ที่แคลร์ไม่รู้จักบินลงมาที่หน้าของแคลร์! มันบินมาอย่างเร็วมากจนสายตาของมนุษย์ไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไร หากจะบอกว่าเร็วกว่าความเร็วแสงก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยด้วยซ้ำ ทุกคนจึงไม่สามารถตอบสนองได้ทันเวลา
“คุณหนู! ” จินเหยียนรู้สึกประหม่า
แคลร์ตกตะลึง นี่คือสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กนางที่ไม่รู้จัก ขนปุยที่นุ่มและอบอุ่น นี่คืออะไรกัน? สัตว์ตัวเล็กๆ หรือ? ไม่ใช่! สัตว์ตัวเล็กๆ ไม่น่าจะเข้ามาที่สนามนี้โดยไร้สัญชาตญาณ ที่คฤหาสน์ดยุกก็ไม่เคยได้ยินเรื่องสัตว์ตัวเล็กเช่นนี้มาก่อนเลย!
มันคืออะไร?
“จิ๊บๆ … จิ๊บๆ …” เจ้าขนปุยตัวน้อยปีนขึ้นไปบนหัวของแคลร์อย่างระมัดระวังแล้วเกาะผมของนางไว้แน่น
“นี่มันอะไรกัน?” แคลร์ขมวดคิ้ว
“สิ่งนี้ ดูเหมือน… ดูเหมือนว่ามันจะเป็นสัตว์ตัวเล็กๆ ชนิดหนึ่งครับ” จินเหยียนมองสัตว์ที่ปรากฏตัวขึ้นด้วยสีหน้าว่างเปล่า เขามองมันปีนขึ้นไปบนหัวของแคลร์อย่างระมัดระวัง แต่เขาไม่กล้าที่จะคว้ามันโยนออกไปให้ไกล
“อะไรกัน? ” แคลร์เอื้อมมือไปจับสัตว์ตัวน้อยบนหัวของนาง แต่จับยังไงก็จับไม่ออก สัตว์ตัวนั้นเกาะที่ผมของแคลร์แน่น
วัลโดจ้องมองสัตว์ตัวเล็กๆ ที่กล้าทำลายผมบนหัวนั้นอย่างระมัดระวัง หูเล็กๆ ที่มีขนปุย หัวที่มีขนปุย ขาที่มีขนปุย ตัวกลมๆ ขนปุย ตากลมโตที่กลอกไปมา แล้วยังมีหางเล็กๆ สั้นๆ อีก เหมือนลูกชิ้นเล็กๆ เลย! เขาไม่เคยเจอสิ่งมีชีวิตเล็กๆ นี่มาก่อนเลย นี่มันคืออะไร? แม้ว่าจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่วัลโดก็มีความรู้สึกหนึ่งในใจ… เจ้าตัวนี้น่ารักมากเลย! ใช่ น่ารักมากๆ เลย! เขาเป็นผู้ชายยังรู้สึกว่าน่ารัก เจ้าตัวนี้สำหรับผู้หญิงจะน่ารักมากแค่ไหนคงไม่ต้องพูดเลย
ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้ก็คือสิ่งที่น่ารักนี้มันกำลังนอนอยู่บนหัวของแคลร์!
การแสดงออกที่เย็นชาของปีศาจน้อยและท่าทางน่ารักของสัตว์ตัวน้อยนั้นเป็นภาพที่น่าขบขันที่สุด วัลโดอยากจะหัวเราะแต่เขาไม่กล้า
“จิ๊บๆ …” สัตว์ตัวน้อยก้มหัวลงมองผมสีทองของแคลร์โดยไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ แล้วมันก็ลงจากหัวมาที่ไหล่ของแคลร์