เสน่ห์คมดาบ - เสน่ห์คมดาบ - ตอนที่ 4
“ช่วงนี้คุณหนูเริ่มเรียนแล้วเพคะ ท่านดยุกได้เชิญท่านคามิลล์มาสอนคุณหนู” ตอนที่สาวใช้ตอบนั้นหน้าแดงระเรื่อ คามิลล์เป็นนักวิชาการหนุ่มที่มีชื่อเสียงมาก ทั้งอ่อนโยน ทั้งรอบรู้ แล้วยังเป็นชายหนุ่มรูปงามอีกด้วย
อะไรนะ? องค์ชายยิ่งตกใจเลย ใครๆ ต่างก็รู้กันดีว่าหญิงสาวผู้นี้ไม่สนใจเรียน เอาแต่ทำเรื่องน่าขัน ท่าดยุกจึงไม่อนุญาตให้นางได้เข้าร่วมงานเลี้ยงในวัง ตอนนี้กำลังเรียนงั้นหรือ? แล้วในเวลานี้ ที่หน้าประตูก็มีเสียงเท้าดังขึ้นมา
“องค์ชายสอง เหอะๆ เสด็จมาได้อย่างไรกัน?” ผู้ที่เข้ามาไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นกอร์ตั้น
“ท่านดยุก” องค์ชายยืนขึ้น ท่าดยุกฮิลล์ผู้สูงศักดิ์ผู้นี้ แม้แต่องค์จักรพรรดิยังให้ความเคารพเลย นับประสาอะไรกับเขาที่เป็นเพียงองค์ชาย
“ข้า ข้ามาเยี่ยมแคลร์” องค์ชายสีหน้าดูอึดอัด “แต่ว่าดูเหมือนว่าแคลร์จะไม่ว่าง”
“หืม? ไม่ว่าง?” กอร์ตั้นอึ้ง หันไปมองสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ องค์ชายแล้วถาม “นี่มันเกิดอะไรขึ้น? แคลร์ทำอะไรอยู่?”
“ท่านดยุก คุณหนูกำลัง… กำลังอ่านหนังสืออยู่ที่เรือนดอกไม้ค่ะ” สาวใช้ตอบเสียงเบา
“เช่นนี้ ฝ่าบาท ตามหม่อมฉันมา เหอะๆ เราไปดื่มน้ำชายามบ่ายกัน” กอร์ตั้นยิ้ม
“ได้สิ” องค์ชายพยักหน้าแล้วตามหลังไป เขาไม่ควรทำให้ชายแก่ที่ดูมีพลังผู้นี้ไม่พอใจ กำลังทหารของประเทศครึ่งหนึ่งอยู่ในมือของชายผู้นี้ และหัวหน้าทีมกริฟฟอนที่เป็นทีมอารักษ์ขาราชวงศ์ก็คือหลานชายของเขา เอเรค ฮิลล์
เมื่อมาถึงเรือนดอกไม้ สิ่งที่อยู่ในสายตาขององค์ชายก็คือภาพหญิงสาวสวยผมสีทองนั่งอยู่อย่างเงียบสงบท่ามกลางหมู่ดอกไม้มากมาย นางกำลังดื่มชาในมืออย่างสบายๆ ดื่มเสร็จก็วางถ้วยชาลง แล้วเอนไปด้านหลังเพื่อพิงที่เก้าอี้โยกแล้วอ่านหนังสือในมือ ในสถานการณ์แบบนี้คงจะใช้คำไม่กี่คำมาอธิบายได้ไม่ดีพอ
นี่คือที่นางบอกว่าไม่ว่างงั้นหรือ? มุมปากขององค์ชายกระตุก
“แคลร์…” กอร์ตั้นเห็นว่าในมือของแคลร์คือหนังสืออะไร หนังสือเล่มนั้นคือหนังสือภูมิศาสตร์มนุษย์ซึ่งเกี่ยวข้องกับตระกูลฮิลล์ เด็กคนนี้กำลังตั้งใจเรียนจริงๆ กอร์ตั้นชื่นชมอยู่ในใจ
“ท่านปู่” แคลร์ลุกขึ้นทันที แล้วสายตาก็เห็นองค์ชายที่อยู่ข้างๆ จากนั้นจึงโค้งตัวทำความเคารพอย่างสุภาพ “คำนับองค์ชายเพคะ”
องค์ชายสิ้นสติไปชั่วขณะ หญิงสาวตรงหน้า สายตาของนาง! ช่างเยือกเย็นราวกับธารน้ำแข็ง แล้วล้ำลึกราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืน ความเฉยเมย… นี่คือความเฉยเมยที่ไม่เคยได้พบเจอมาก่อน
“อื้มๆ …” องค์ชายได้สติคืนมาแล้วจึงกล่าว “เจ้าไม่เป็นไรแล้วใช่หรือไม่?”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเป็นห่วง หม่อมฉันสบายดี ไม่เป็นไรเพคะ” แคลร์ยิ้มบางๆ แล้วตอบกลับด้วยเสียงเบาๆ
“เชิญนั่งกระหม่อม ทุกคนนั่งกันเถอะ” กอร์ตั้นอารมณ์ดีมาก เชิญให้ทุกคนนั่ง แล้วสั่งให้สาวใช้ไปเตรียมชา
ทั้งสามพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง กอร์ตั้นอยากจะเชิญให้องค์ชายอยู่จนถึงเวลามื้ออาหาร แต่เขาเองมีธุระที่จะต้องไปจัดการ
องค์ชายสองลุกขึ้นกล่าวลา แล้วกอร์ตั้นก็ให้แคลร์ไปส่ง
ทั้งสองเดินไปที่ประตูใหญ่ โดยมีจินเหยียนที่เดินตามหลังเงียบๆ อยู่ห่างๆ จินเหยียนเป็นอัศวินของแคลร์ เขาจำเป็นจะต้องคอยตามติดคอยปกป้องนางอยู่ตลอด
ระยะทางไม่ไกล แต่ทั้งสองกลับเงียบไปตลอดทาง องค์ชายหรี่ตามองหญิงสาวที่เดินอยู่ตรงหน้า ในใจก็รู้สึกสงสัยมาก ลักษณะเช่นนี้ช่างแปลกมากจริงๆ แต่ในใจของแคลร์กลับกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่
“เชิญเพคะ องค์ชายสอง” แคลร์หันกลับมาพูดกับองค์ชายสองเรียบๆ โดยไม่ได้มีคำพูดอื่น ไม่ได้มีความเสียใจหรือเสียดายอะไรเลย
“อืม” องค์ชายอึ้ง หลังจากตอบรับแล้วก็เดินไปที่รถม้าที่จอดรออยู่ที่ตรงนั้น
แคลร์หมุนตัวเดินจากไป ไม่แม้แต่จะมององค์ชายอีกเลย ในใจของนางยังคงนึกถึงสิ่งที่น่าสนใจในหนังสือภูมิศาสตร์มนุษย์ที่อ่านอยู่เมื่อครู่
รถม้าขององค์ชายสองค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากคฤหาสน์ดยุก องค์ชายพิงที่หน้าต่าง แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด รถม้าเลี้ยว เข้าไปในซอยเล็กๆ เวลาต่อมาเสียงเย็นชาก็ดังขึ้นในรถม้า
“พระองค์เห็นเป็นเช่นไร?” เดิมทีมีเพียงแค่องค์ชายสองที่อยู่บนรถม้า แต่แล้วก็มีอีกคนที่ปรากฏตัวขึ้น
“แปลกมาก” องค์ชายขมวดคิ้วแล้วพูดไปเช่นนี้
“ข้ามองไม่ออก” ในน้ำเสียงเย็นชานั้นมีความสงสัยเกิดขึ้น
“เอาล่ะ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว เรื่องเป็นอย่างไรบ้าง?” องค์ชายถามอย่างจริงจัง
“มีปัญหาที่คาดไม่ถึงเล็กน้อย ดูเหมือนว่าทางนั้นจะได้รับคำสั่งจากพระเจ้า กำลังยุ่งอยู่กับอะไรสักอย่าง แต่ว่าน่าจะไม่เสียแผนของเรา” ในเสียงเย็นชานั้นมีความมั่นใจอยู่
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี เจ้ารีบกลับไปเถอะ นานแล้วคนอื่นจะสงสัยเข้า” องค์ชายสีหน้าจริงจัง
“พะยะค่ะ” เสียงเย็นชารับคำ แล้วก็หายตัวไปจากรถม้า จากนั้นรถม้าก็เร่งความเร็วเคลื่อนตัวออกจากสถานที่แห่งนั้นแล้วตรงไปยังวังหลวง
เวลานี้แคลร์อยู่ในห้องหนังสือเพื่อหาหนังสือที่น่าสนใจ กอร์ตั้นกำลังอ่านเอกสารอยู่ในห้องหนังสือ แต่เขากลับยินยอมให้แคลร์เข้ามาอ่านหนังสือในห้องหนังสือด้วยกันได้ นี่คือความผ่อนปรนที่ไม่เคยมีมาก่อนเลย
แคลร์อ่านหนังสือในมือ นางถูกดึงดูดเข้าไปอย่างรวดเร็ว หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือพลังเวทย์ขั้นพื้นฐาน เป็นสิ่งที่พื้นฐานมากจริงๆ เพราะอธิบายเพียงแค่จะรับองค์ประกอบพลังเวทย์รอบตัวได้อย่างไรและจะทำสมาธิได้อย่างไร
“เป็นอย่างไร สนใจสิ่งนี้งั้นหรือ?” ทันใดนั้น กอร์ตั้นก็มาอยู่ด้านหลังของแคลร์แล้วถามเสียงดัง
“ท่านปู่” แคลร์หันไปยิ้มเล็กน้อยแล้วพยักหน้าอย่างไม่ปกปิด “ค่ะ หลานสนใจ” ในแผ่นดินลังกาแห่งนี้มีจำนวนนักเวทย์ไม่มากนัก นับว่าเป็นทรัพยากรที่ล้ำค่าของแต่ละประเทศเลยก็ว่าได้ นักเวทย์ผู้ทรงพลังไม่ได้เพียงแค่อยู่เหนือคนธรรมดาเท่านั้น แต่ยังครอบครองพลังยิ่งใหญ่ที่สามารถทำลายกองทัพหรือกระทั่งเมืองทั้งเมืองได้ แต่ผู้ที่ครอบครองพลังเวทย์ที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นมีน้อยมากๆ นักเวทย์คือสัญลักษณ์ของอำนาจ ฐานะ และความมั่งคั่ง ส่วนราเซียเองก็นับได้ว่าเป็นหนึ่งในหญิงผู้มีพรสวรรค์พลังเวทย์ การที่นางจะเป็นที่รักใคร่ของตระกูลฮิลล์จึงเป็นเรื่องปกติ
“เหอะๆ ตอนเจ้าเด็กก็เคยทดสอบมาแล้ว เจ้าเป็นผู้ครองธาตุไฟ แม้ว่าจิตวิญญาณของเจ้าจะอ่อนแอไปสักหน่อย แต่หากเจ้าอยากจะเรียนพลังเวทย์ ข้าก็พอจะมีวิธี” กอร์ตั้นยิ้ม คิดย้อนไปถึงตอนที่แคลร์ทดสอบจิตวิญญาณในตอนเด็ก แม้ว่าจะไม่ได้ดีมาก ยังห่างไกลจากราเซีย แต่ว่าก็ไม่ได้ถือว่าแย่นัก เพียงแต่ก่อนหน้านี้เด็กคนนี้ไม่ได้สนใจ บังคับอย่างไรก็ไม่ยอมเรียน ตอนนี้กลับบอกเองว่าอยากจะเรียน มันคงจะดีไม่น้อยเลยล่ะ
“จริงหรือคะ?” สีหน้าของแคลร์มีรอยยิ้มยินดี เมื่อนางแข็งแกร่งขึ้น นางถึงจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง
“พรุ่งนี้เริ่มเรียนวรรณกรรมตอนเช้า แล้วตอนบ่ายปู่จะให้คนมาสอนพลังเวทย์ขั้นต้นให้เจ้า หากอยากจะเข้าโรงเรียนไรซิ่งซัน เจ้าจะต้องผ่านการประเมินขั้นพื้นฐาน แม้ว่าข้าจะสามารถให้เจ้าเข้าเรียนได้โดยไม่ต้องผ่านการประเมิน แต่ว่าหากเจ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นนักเวทย์ แม้จะเข้าไปก็เปล่าประโยชน์” กอร์ตั้นยิ้มน้อยๆ แล้วยื่นมือไปลูบหัวแคลร์ “แต่ว่า ปู่เชื่อว่าหลานสาวของกอร์ตั้นจะต้องผ่านการประเมินได้อย่างแน่นอน”
“หลานจะไม่ทำให้ท่านปู่ผิดหวังแน่นอนค่ะ” แคลร์ตอบอย่างตั้งใจ ด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“งั้นก็ดีเลย” กอร์ตั้นพยักหน้าอย่างชื่นชม
ตอนกลางคืน แคลร์นั่งอยู่บนเตียงเงียบๆ นึกถึงสิ่งที่ในหนังสือเล่มนั้นกล่าวถึงการเข้าสมาธิกับการรับองค์ประกอบของพลังเวทย์รอบตัว แล้วค่อยๆ หลับตาลง นางเริ่มจดจำสิ่งที่อยู่รอบตัวทั้งหมดอย่างช้าๆ แล้วแคลร์ก็ค้นพบสิ่งที่น่าประหลาดใจ รอบกายของนางมีประกายแสงเล็กๆ อยู่เต็มไปหมด แม้ว่าจะหลับตา แต่ก็ยังคงเห็นประกายแสงเหล่านี้อยู่ดี ส่วนใหญ่จะเป็นสีแดง มีส่วนน้อยที่เป็นสีอื่นๆ แคลร์จำสิ่งที่กอร์ตั้นพูดได้ว่านางเป็นผู้ครองธาตุไฟ เช่นนั้นสีแดงก็คือองค์ประกอบของธาตุไฟ ส่วนที่เป็นส่วนน้อยนั้นก็คือพลังเวทย์ธาตุอื่นๆ สินะ
ที่นี่ช่างเป็นดินแดนที่น่าทึ่งยิ่งนัก แคลร์แปลกใจ แล้วเริ่มจับองค์ประกอบเวทย์สีแดงนั้นตามที่หนังสือได้กล่าวไว้
ถ้ามีนักเวทย์มารู้เข้าว่าแคลร์ใช้เวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ก็เรียนรู้เรื่องการตั้งสมาธิและรับองค์ประกอบเวทย์ได้แล้ว แถมยังจับองค์ประกอบเวทย์ได้อีกด้วย พวกเขาคงจะอึ้งเสียจนอ้าปากจนกรามค้างแน่ๆ นี่ไม่ใช่เรื่องที่พรสวรรค์จะมาบรรยายได้ แต่มันยิ่งกว่านั้นเสียอีก
เช้าวันรุ่งขึ้น ในช่วงเช้าคามิลล์ก็ยังมาสอนแคลร์เรื่องวรรณกรรมต่างๆ
ภายในห้องหนังสือที่สว่างไสว แคลร์กำลังฟังการสอนของคามิลล์อยู่
“วิหารแห่งแสงคือการแสดงถึงการมีอยู่ของเทพ พวกเขาจะทำตามประสงค์ของเทพ กำจัดสิ่งชั่วร้าย เผยแพร่แสงสว่าง เป็นการคงอยู่ของเทพที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เป็นแสงสว่างในใจของทุกคน เป็นที่พึ่งพิงของประชาชน” วันนี้คามิลล์สอนเรื่องวิหารแห่งแสงที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อประเทศหรือกระทั่งแผ่นดินนี้
แคลร์มองคามิลล์ที่อธิบายอยู่อย่างเงียบๆ นางสังเกตเห็นว่าบางครั้งแม้คามิลล์จะพูดชม แต่ก็ไม่ได้มีความหมายที่เคารพอะไร น่าสนใจดี แคลร์มีรอยยิ้มติดตลกอยู่ในแววตาของนาง คามิลล์ผู้นี้ดูเหมือนว่าจะไม่ธรรมดาเหมือนที่เห็นแล้วล่ะ
ช่วงบ่าย นักเวทย์ของตระกูลฮิลล์มาถึงอย่างตรงเวลา อย่างแรกที่เขาจะทำก็คือต้องทดสอบจิตวิญญาณของแคลร์เสียก่อน ดพราะก็ห่างจากการทดสอบเมื่อครั้งก่อนมานานหลายปี การจะเป็นนักเวทย์ได้นั้น เรื่องจิตวิญญาณคือเรื่องสำคัญที่สุด ถ้ามันอ่อนแอมากเกินไป ก็ไม่มีทางที่จะได้เป็นนักเวทย์ได้ กล่าวคือจิตวิญญาณเป็นอันดับแรก หากในอันดับแรกนี้แคลร์ยังผ่านไปไม่ได้ ก็ไม่ต้องคิดเลยว่าจะเป็นนักเวทย์ได้
ผู้ที่มาทดสอบแคลร์คือชายวัยกลางคนที่สวมชุดยาวของนักเวทย์ ที่อกด้านซ้ายของชุดยาวนั้นมีใบไม้สีทองเล็กๆ สองอันติดอยู่แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นนักเวทย์ชั้นยอดแล้ว การมาถึงขั้นนี้คือสิ่งที่ยากมาก แต่ว่าการที่เขามาปรากฎตัวที่ตระกูลฮิลล์ก็ไม่ได้รู้สึกว่าแปลกเท่าไหร่ ตระกูลฮิลล์ที่ทรงพลังย่อมมีการสะสมอำนาจแบบนี้ไว้ไม่น้อย
ชายวัยกลางคนไม่แสดงสีหน้าใดๆ แล้วหยิบลูกแก้วออกมาวางไว้ตรงหน้าของแคลร์ เขาไม่พูดอะไรให้เสียเวลา และพูดออกไปตรงๆ “คุณหนู เชิญเอามือของคุณหนูมาวางไว้ข้างบนนี้ แล้วตั้งสมาธิให้มั่น”
แคลร์ยื่นมือออกไปเบาๆ แล้ววางไว้ที่บนลูกแก้ว จากนั้นก็ค่อยๆ หลับตาลง
เวลาต่อมา เกิดเสียงดังขึ้นในห้อง
ลูกแก้วแตกกระจายไปทั่วห้อง ชายวัยกลางคนที่เดิมทีไม่แสดงสีหน้าอะไรนั้นก็อ้าปากค้างแล้วมองลูกแก้วที่กระจายอยู่ที่พื้นด้วยความอึ้งตะลึงงัน