เสน่ห์คมดาบ - เสน่ห์คมดาบ - ตอนที่ 41
มีน้อยคนมากที่จะมีลมหายใจแห่งแสงในร่างกาย ตอนนี้คนที่ยังไม่ติดเชื้อคือคนที่มีร่างกายแข็งแรง แต่หากยังปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ผู้คนในเมืองนี้จะติดเชื้อกันหมด ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการค้นหาผู้ใช้ความตายให้เจอ
“แต่ข้ามีวิธีที่จะหยุดมันเอาไว้ชั่วคราวนะ” วัลโดยิ้ม “ตอนนี้ใครมีลมหายใจแห่งแสงที่แข็งแกร่งที่สุดที่นี่ล่ะ? “
แน่นอนว่าคำตอบคือเหลิ่งหลิงยวิ๋นผู้ซึ่งเป็นบุตรแห่งแสงนั่นเอง
“บอกเด็กคนนั้นให้ล้างบาปทุกคนที่ไม่ยังติดเชื้อที่นี่ ให้รับลมหายใจแห่งแสงของเขาไปทีละคน เฮ้ แต่วิธีนั้นสามารถป้องกันได้ชั่วคราวนะ” วัลโดพูดอย่างมุ่งร้าย ในเมืองเนียร์ยังมีคนอีกจำนวนมาก ฮ่าๆ เจ้าคนผมสีเงินและดวงตาสีม่วงคงล้างบาปกันจนหน้าซีดเลย ฮ่าๆ ยิ่งนึกถึงเรื่องนี้วัลโดก็ยิ่งมีความสุข
“เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับเขา ถ้าเขาเต็มใจที่จะล้างบาปให้ก็ดีไป แต่ถ้าเขาไม่เต็มใจ ก็ไม่มีทางเกิดขึ้นหรอก” แคลร์พูดเบาๆ
แคลร์และจินเหยียนตระเวนดูไปทั่วเมืองแต่ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ
“เจ้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่แข็งแกร่งที่สุดของผู้ใช้ความตายหรือไม่?” แคลร์ถามพลางมองขึ้นไปบนฟ้า
“ตอนนี้ข้าสัมผัสอะไรไม่ได้เลย” วัลโดตอบอย่างตรงไปตรงมา
เมืองเนียร์ดูหดหู่ เงียบสงบ ถนนก็ว่างเปล่าราวกับเมืองร้าง
เมื่อแคลร์และจินเหยียนกลับมาถึงที่คฤหาสน์ของเจ้าเมือง เหลิ่งหลิงยวิ๋นก็กลับมานั่งพักผ่อนอยู่ในห้องโถงแล้ว
“คุณหนูแคลร์ เจ้ากลับมาแล้ว” เหลิ่งหลิงยวิ๋นยืนขึ้นทันทีที่เห็นแคลร์กลับมา “ข้ากำลังรอเจ้าอยู่ ข้ามีบางอย่างที่จะขอเจ้า”
“หือ?” แคลร์แปลกใจเล็กน้อยที่เหลิ่งหลิงยวิ๋นเอ่ยปากขอ
“คุณหนูแคลร์ ในฐานะที่เจ้าเป็นเจ้าเมือง เจ้าช่วยระดมผู้คนจากทั่วเมืองมารวมตัวกันที่จัตุรัสหน่อยเถอะ ข้าพบดูเหมือนลมหายใจแห่งความตายเหล่านั้นจะเกลียดแสง ดังนั้นข้าต้องการจะล้างบาปให้พวกเขา พวกเขาจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานเพราะติดเชื้อจากลมหายใจแห่งความตายนั้นอีกต่อไป” แคลร์รู้สึกอึ้งหลังจากที่ได้เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดคำขอนี้ออกมา นางยังไม่ทันได้เอ่ยปาก แต่เหลิ่งหลิงหยุนกลับเอ่ยขอที่จะทำสิ่งนี้แล้ว
“แต่ในเมืองนี้ยังมีคนจำนวนมากเลยนะ…” แคลร์ลังเล ที่นี่มีคนจำนวนมากเกินไป หากเป็นจริงตามที่วัลโดบอก เหลิ่งหลิงยวิ๋นอาจไม่ได้นอนไปอีกหลายวันหลายคืนเลย
“พระสันตปาปาส่งข้ามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือเจ้า เจ้าไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น ข้าจะหาวิธีที่เร็วที่สุดในการควบคุมลมหายใจแห่งความตายนั่น” เหลิ่งหลิงหยุนพูดอย่างหนักแน่น
“อืม ข้าจะสั่งการให้ทันที” แคลร์ไม่ปฏิเสธ ในระหว่างที่พวกเขายังหาผู้ใช้ความตายไม่พบ ลมหายใจแห่งความตายจะต้องไม่สามารถพรากชีวิตผู้คนได้อีกต่อไป
“ว้าว ฮ่าๆ เหนื่อยจนใบหน้าขาวซีดหมดแล้ว โถๆๆ …” น้ำเสียงของวัลโดดังขึ้นในหัวของแคลร์
แคลร์ล้วงมือไปในกระเป๋าของนางด้วยท่าทีนิ่งเฉย หยิบหินจิตวิญญาณแล้วบีบมันอย่างแรง
“อือ… อ๊าก…” วัลโดเหมือนเครื่องจักรที่พลังงานหมดเสียงของเขาค่อยๆ ลดลงจนไม่มีเสียงใดๆ อีก
ผู้รักษาการเจ้าเมืองเร่งรวบรวมผู้คนในเมืองมาที่จัตุรัสเมืองเนียร์อย่างรวดเร็ว ผู้คนมากันจนเต็มพื้นที่ ฮีธเป็นคนฉลาดมาก เขาบอกความจริงทั้งหมดทีละเรื่อง บอกทุกคนเรื่องเวทมนตร์แห่งความมืด จากนั้นก็บอกว่าแคลร์ได้เชิญให้บุตรแห่งแสงมาที่นี่ด้วยตัวเอง หากทุกคนยอมเข้ารับการล้างบาปจากบุตรแห่งแสงก็จะไม่ถูกลมหายใจแห่งความตายเข้ามาทำร้ายอีก
การใช้ชื่อของวิหารแห่งแสงมีประโยชน์มาก ไม่ช้าผู้คนก็มารวมตัวกันที่จัตุรัส พวกเขาต่างมองไปที่ชายหนุ่มผมสีเงินที่ยืนอยู่บนแท่นสูงด้วยความหวัง ดวงตาสีม่วงและผมสีเงินเป็นสัญลักษณ์ เขาเป็นสัญลักษณ์ของความสว่างและความสงบไปแล้ว
ผู้คนข้างล่างเริ่มพูดคุยกันมากขึ้น
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากแท่นสูง
“ไม่ต้องตกใจนะทุกคน ข้าเชื่อว่าทุกคนเข้าใจกันดีว่าโรคระบาดนี้มีนักเวทย์มนตร์ดำอยู่เบื้องหลัง เราจะตามหาเขาให้เจอโดยเร็วที่สุด และจะทำให้ทุกคนกลับคืนสู่ความปกติให้ได้ ตอนนี้บุตรแห่งแสงจะล้างบาปให้ทุกคน อีกไม่นานทุกคนจะได้กลับไปเจอกับญาติที่อยู่นอกเมือง แต่ในระหว่างนี้ข้าหวังว่าทุกคนจะทำตามมาตรการทุกอย่าง ข้าขอสาบานในนามของตระกูลฮิลล์ว่าเรื่องนี้จะต้องได้รับการแก้ไข ข้า อาจารย์คลิฟ และสภาเวทมนตร์จะช่วยกันอีกแรง ขอให้ทุกคนโปรดวางใจและผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปด้วยกัน “แคลร์ประกาศอย่างเคร่งขรึมบนแท่นสูง คลิฟใช้เวทมนตร์เพื่อทำให้เสียงของแคลร์ดังไปถึงทุกคนทั่วทุกมุม
ผู้คนค่อยๆ เงียบลง ใบหน้าของพวกเขาก็สงบลงด้วยเช่นกัน
ใช่แล้ว ตอนนี้มีบุตรแห่งแสงและปรมาจารย์คลิฟอยู่ที่นี่ พวกเขาจะต้องกลัวอะไรอีกล่ะ?
อย่างที่ท่านเจ้าเมืองบอก พวกเขาจะต้องรอดอย่างแน่นอน
แคลร์มองผู้คนที่ค่อยๆ เงียบลงแล้วหันหน้าไปทางเหลิ่งหลิงยวิ๋นพร้อมกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ตอนนี้จะทำอย่างไรต่อไปล่ะ? “
“ตรงนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าได้เลย” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดเบาๆ จากนั้นเขาก็ก้าวไปข้างหน้าหลับตาลงแล้วเงยหน้าขึ้น เขายกมือขึ้นช้าๆ และเริ่มท่องคาถา กลุ่มแสงสีขาวค่อยๆ เกิดขึ้นที่มือของเหลิ่งหลิงยวิ๋นและใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นแสงก็ลอยขึ้นไปในอากาศอย่างช้าๆ
แสงสีขาวค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น คาถาของเหลิ่งหลิงยวิ๋นยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
แสงสีขาวค่อยๆ ลดลงจากบนฟ้าก่อตัวเป็นโล่ขนาดใหญ่ปกคลุมไปทั่วทั้งจัตุรัส
“ไอ้เจ้านี่! ที่จริงแล้วเขาคิดจะล้างบาปทั้งหมดเลย! แม้ว่าเขาจะมีพลังเวทย์มาก แต่การทำเช่นนี้เป็นการทำร้ายตัวเองมากๆ! ” วัลโดกรีดร้องอยู่ในหัวของแคลร์
แคลร์ไม่พูดอะไรและขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่านางคิดอะไรอยู่
แสงสีขาวค่อยๆ ส่องและให้ความรู้สึกอบอุ่นแก่ทุกคน ไม่เพียงแต่ที่ร่างกายเท่านั้น แต่ในหัวใจก็เช่นกัน เป็นความอบอุ่นสบายที่ไม่อาจบรรยายได้
แสงสีขาวยังคงส่องอย่างต่อเนื่อง และคาถาของเหลิ่งหลิงยวิ๋นยังคงดำเนินต่อไป แต่ใบหน้าของเขาเริ่มค่อยๆ ซีดลงแล้ว
วัลโดมีความสุขมากจนอยากจะกระโดดโลดเต้น เจ้าทำต่อไปสิ เจ้าจงทำต่อไป ยิ่งเจ้าตายเร็วก็ยิ่งดีเลย ฮ่าๆ อย่าหยุดนะ ทำต่อไป วัลโดเพียงแต่กล้าพูดคำเหล่านี้เพียงในใจขิงเขสเท่านั้น เขาไม่กล้าพูดให้แคลร์ได้ยิน เพราะตอนนี้เขายังคงรู้สึกเจ็บไปทั่วร่างกายจากการถูกแคลร์บีบก่อนหน้าอยู่เลย ทรมานมาก!
คลิฟเลิกคิ้วเล็กน้อยและเม้มริมฝีปาก ไม่แปลกใจเลยที่เพื่อนเก่าแก่ของเขามักจะมาอวดอยู่ตลอดว่าศิษย์ของเขาไม่ธรรมดา ตอนนี้มีคนเป็นหมื่นๆ คนในจัตุรัสนี้ แต่เหลิ่งหลิงยวิ๋นกลับทำเช่นนี้ อืม ไม่เป็นไร วันหนึ่งศิษย์ของข้าก็จะทำได้เช่นกัน ไม่สิ! ศิษย์ของเขาจะต้องเหนือกว่าเหลิ่งหลิงยวิ๋นอย่างแน่นอน
แคลร์ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวของเหลิ่งหลิงยวิ๋น
สิ่งที่เขาทำมันมากเกินไปหรือเปล่า?
แม้ว่านางจะคิดเช่นนี้แต่ก็โล่งใจอยู่เหมือนกันที่เห็นผู้ชายที่มีบุคลิกเย็นชาผู้นี้ทำสิ่งนี้ ทุกคนล้วนมีจุดที่อ่อนโยนที่สุดอยู่ในใจ และทุกคนย่อมมีบุคคลหรือสิ่งที่พวกเขาห่วงใยที่สุด
หลังจากนั้นไม่นานเหลิ่งหลิงยวิ๋นก็หยุดร่ายคาถา แสงสีขาวก็ค่อยๆ สลายไป เหงื่อเย็นๆ ไหลออกมาจากหน้าผากของเหลิ่งหลิงยวิ๋น ทันทีที่เหลิ่งหลิงยวิ๋นหยุดร่ายคาถา เขาก็เซไปเล็กน้อย แคลร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ รีบเอื้อมมือไปพยุงเขาทันที
“ข้าสบายดี” เหลิ่งหลิงยวิ๋นหันไปมองแคลร์ด้วยรอยยิ้มจางๆ ขยับแขนออกอย่างใจเย็น แคลร์รู้สึกได้เลยว่าตอนที่นางจับตัวเหลิ่งหลิงยวิ๋น ร่างกายของเขาจะเกร็งขึ้นทันที เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คุ้นเคยกับการถูกคนอื่นสัมผัสตัว
แคลร์หันไปมองจินเหยียนแล้วพูด “จินเหยียน จากนี้ไปเจ้าคอยอยู่ปกป้องบุตรแห่งแสง อย่าให้คลาดสายตาจนกว่าพลังเวทย์ของเขาจะกลับคืนมา” จากนั้นนางก็มองเหลิ่งหลิงยวิ๋นและพูดอย่างเย็นชา “ข้าไม่อยากให้บุตรแห่งแสงต้องมาเป็นอะไรไปในพื้นที่ศักดินาของข้า ข้าแบกรับความรับผิดชอบนี้ไม่ไหวหรอก”
เหลิ่งหลิงยวิ๋นจะปฏิเสธ แต่ก็ถูกขัดด้วยคำพูดของแคลร์เสียก่อน
“ทุกคนโปรดอย่ากังวล ขอให้ใช้ชีวิตกันตามปกติ ท่านเจ้าเมืองและปรมาจารย์คลิฟจะต้องจับผู้ใช้ความตายได้ในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน แล้วทุกคนจะปลอดภัย” ฮีธรีบประกาศให้คนในจัตุรัสทราบ
เวลานี้จิตใจของผู้คนสงบลงแล้ว พวกเขาจึงกลับไปทำงานและพักผ่อนกัน
สิ่งที่ต้องทำตอนนี้ก็คือจับตัวผู้ใช้ความตายผู้นั้นให้ได้
“แคลร์ เจ้าต้องจำไว้ว่าผู้ใช้ความตายผู้นี้ไม่ธรรมดา หากเจ้าพบร่องรอยเบาะแสของเขา เจ้าต้องไม่ประมาทหรือทำตามอำเภอใจเด็ดขาดนะ ต้องแจ้งข้าทันทีรู้ไหม” คลิฟพูดอย่างจริงจัง
“ค่ะอาจารย์ ข้าเข้าใจ ข้ารู้ขีดจำกัดของข้าหรอกน่า” แคลร์รับปาก
ความกังวลของคลิฟมีเหตุผล เนื่องจากตอนนี้อัศวินที่คอยปกป้องแคลร์ต้องไปปกป้องบุตรแห่งแสงแล้ว ถ้าแคลร์ต้องตกอยู่ในอันตราย ก็จะไม่มีใครคอยคุ้มกันนางอีกต่อไป
“อาจารย์ไม่ต้องกังวลหรอก ข้ายังมีวัตถุเวทย์ที่ท่านให้ข้าอยู่ไง” แคลร์ยิ้มและชูกำไลข้อมือขึ้นมา
“อืม ถึงอย่างไรก็ห้ามทำอะไรคนเดียว ตอนนี้กลับไปกินข้าวและพักผ่อนเถอะ ยุ่งกันมามากแล้ว ทุกคนคงจะเหนื่อยกัน” คลิฟหาวแล้วพูด
ในที่สุดเมืองเนียร์ก็กลับมาปกติ แต่ประตูเมืองก็ยังคงต้องปิดไว้ และยังไม่สามารถยกเลิกการปิดประตูได้จนกว่าจะพบผู้ใช้ความตายแล้วสังหารเขาซะ
ในยามค่ำคืน เมืองเนียร์เงียบสงบมาก
แคลร์นอนอยู่บนเตียง มองม่านที่เตียงอย่างครุ่นคิด ส่วนไป๋ตี้กำลังนอนหลับอย่างสงบลงบนหน้าอกของแคลร์
“แคลร์! ” ทันใดนั้นวัลโดก็ตะโกนอย่างเย็นชา “ความมืด! แข็งแกร่งมากเลย! ข้ารู้สึกได้”
“ที่ไหน?” แคลร์ขมวดคิ้วแล้วถามทันที
“ใต้เตียงของเจ้า! ” วัลโดพูดด้วยความมั่นใจ “ไม่ผิดแน่! “
“ใต้เตียงข้าหรือ?” แคลร์สะดุ้ง
“ไม่ใช่อย่างนั้น ข้าหมายถึงมันอยู่ลึกลงไปจากใต้เตียงของเจ้า! มีห้องลับอยู่ใต้เตียงนี้! ” น้ำเสียงของวัลโดเริ่มพูดเร็วขึ้น “เขากำลังเคลื่อนที่เร็วมาก! เร็วเข้าแคลร์ เขากำลังจะไปทางทิศตะวันตก นอกหน้าต่างนั่น! ดู ดูสิ ควันดำนั่นไง!”
แคลร์รีบพลิกตัวแล้ววิ่งไปที่หน้าต่าง ท่ามกลางความมืดที่คนธรรมดามองไม่เห็นอะไร แต่สำหรับแคลร์ผู้ได้รับการฝึกฝนให้มองเห็นได้ชัดเจนในเวลากลางคืน นางเห็นควันดำจางๆ กำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว เวลานี้ไป๋ตี้รีบปีนขึ้นไปบนหัวของแคลร์และจับผมของนางไว้แน่น