เสน่ห์คมดาบ - เสน่ห์คมดาบ - ตอนที่ 55
เสน่ห์คมดาบ – ตอนที่ 55
“เช่นนั้นก็ดี” แคลร์ยิ้มอย่างเย็นชา “เจ้าฟังให้ดีนะ ไม่ต้องเหลือเก็บไว้สักคน” โดยลักษณะนิสัยของวิหารแห่งแสง พวกเขาจะไม่ยอมให้ใครมาท้าทายอำนาจของตนอย่างเด็ดขาด และในเมื่อแคลร์และคนอื่นๆ ตั้งใจจะลงมือแล้ว ก็ต้องจัดการปัญหาอย่างเหมาะสม ต้องทำลายให้ถึงรากถึงโคน และไม่เปิดโอกาสให้คู่ต่อสู้พลิกสถานการณ์ได้แม้แต่นิดเดียว
“ครับ” ดวงตาของจินเหยียนเย็นชาและตอบตกลงอย่างนุ่มนวล เขาชักดาบออกมาและเข้าร่วมการต่อสู้
“พวกเจ้าเป็นใคร? พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าการขัดขวางวิหารแห่งแสงจากการจับคนทรยศนั้นมีความผิดเท่าใด? ” อัศวินคนหนึ่งมองมายังผู้ที่แข็งแกร่งอีกสองคนที่กำลังจะเข้าร่วมการต่อสู้นี้แล้วตะโกนขึ้นมา
“หลังจากฆ่าพวกเจ้าแล้ว ก็จะเอาศพไปเผาให้ไม่เหลือแม้แต่ขี้เถ้า เอาเกราะปทำลายทิ้ง แล้วยังจะมีใครรู้อีกล่ะว่าพวกเจ้าเป็นคนของวิหารแห่งแสง? ” น้ำเสียงเย็นชาของแคลร์ทำให้อัศวินตัวสั่น หญิงผู้นี้ สิ่งที่นางพูดเป็นเรื่องจริงแน่นอน นางตั้งใจจะทำอย่างนั้นจริงๆ นางมีจิตใจชั่วร้ายตั้งแต่อายุยังน้อยเลยหรือ?!
“อย่าปล่อยให้พวกเขาหนีไปได้” แคลร์สั่ง
“หนีไม่ได้หรอก” เฟิงอี้เซวียนพูดอย่างเย็นชาแล้วพุ่งเข้าหาพวกเขาอย่างร้ายกาจ
แคลร์เดินไปทางอัศวินที่สุ่ยเหวินโม่ปกป้อง แล้วค่อยนั่งยองๆ ลง แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าเด็กสาวในอ้อมแขนของอัศวินมีผมสีดำและตาสีดำ! หรือว่าเด็กหญิงผู้นี้จะเป็นคนที่โค่นเทพธิดาแห่งแสงได้ใช่หรือไม่? บุคคลในคำทำนายพันปีใช่หรือไม่? เพราะเช่นนี้เด็กสาวผู้นี้จึงถูกตามล่าหรือ?
แล้วเสียงของวัลโดดังขึ้นในขณะนี้ “แคลร์ เจ้าอย่าเพิ่งคิดไป เด็กผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนในคำทำนาย ลองมองไปในส่วนลึกของดวงตานางอย่างละเอียดสิ มันมีสีฟ้าอยู่ในนั้นจางๆ แม้ว่ามันจะเบาบางมาก แต่ก็มีอยู่ วิหารแห่งแสงน่าจะฆ่าคนผิดไปเป็นพันคน และคงจะไม่ปล่อยไปเลยสักคน นี่คือนิสัยของวิหารแห่งแสง วันนี้โชคดีมากที่เรามาเจอพวกเขาเข้า”
แคลร์มองอย่างละเอียดก็เห็นนัยน์ตาของหญิงสาวเป็นสีฟ้าอ่อน
“อีกทั้งชะตากรรมของเด็กผู้หญิงคนนี้ก็ธรรมดามากด้วย” วัลโดพูดอย่างมั่นใจ เขามีความรู้เรื่องโหราศาสตร์อยู่บ้างเล็กน้อย
แคลร์หยิบดาบของอัศวินที่จะเป็นลมขึ้นมาแล้วหันกลับมาเพื่อจะเข้าร่วมการต่อสู้ด้วย
การต่อสู้กลายเป็นสี่ต่อห้า
เมื่อคลิฟเดินเข้ามา เขาก็เห็นฉากที่ทำให้หัวใจของเขาแทบจะพุ่งออกมาจากลำคอเลยทีเดียว
แคลร์และผู้ชายสองสามคนไล่ล่าอัศวินของวิหารแห่งแสงและดูจะไม่ยอมแพ้หากไม่ได้ฆ่าพวกเขาเสีย
แต่คู่ต่อสู้ก็มีฝีมือสมกับที่เป็นอัศวินของวิหารแห่งแสง เมื่อเผชิญหน้ากับเฟิงอี้เซวียน การโจมตีที่รุนแรงของพวกเขาก็ถูกจัดการไปได้ทีละคน แต่ด้วยความร่วมมือที่ราบรื่นระหว่างเฟิงอี้เซวียนและสุ่ยเหวินโม่ก็ทำให้พวกเขาปวดหัวมากอยู่
แคลร์และจินเหยียนก็ฝึกฝนด้วยกันจนการต่อสู้มาเข้ากันได้ดีมาก ทำให้อีกฝ่ายเสียแรงไปมากเช่นกัน
คลิฟมองไปที่ฉากตรงหน้าด้วยความงุนงงและก็อึ้งไป
“พวกเจ้าทำอะไรกันน่ะ?” คลิฟขมวดคิ้วแล้วถามออกไป
“ปรมาจารย์คลิฟ?! ” อัศวินที่เป็นหัวหน้าจำคลิฟได้ในทันที จากนั้นก็มองเขาราวกับเห็นผู้มาช่วยชีวิต แล้วพูดออกมาอย่างร้อนใจ
“เขาไม่ใช่คลิฟ” แคลร์ตะโกนด้วยความไม่พอใจ จากนั้นนางก็ลูกบอลเพลิงตามมา
คลิฟขมวดคิ้วสับสน
“อาจารย์ สัตว์ร้ายพวกนี้จะทำร้ายเด็กผู้หญิง พวกเราหยุดมันไว้ พวกมันพยายามเข้ามายุ่งกับข้าอย่างไร้ยางอายด้วย พวกมันบอกว่าชอบเด็กที่อายุเท่าข้าและบอกว่าร่างเล็กๆ นั้นรู้สึกได้อารมณ์ที่สุด” ใบหน้าของแคลร์ไม่แดง และการเต้นของหัวใจไม่ได้เร็วขึ้นจากคำโกหก แต่คำพูดที่ไร้ยางอายและไม่เหมาะสมดังกล่าวทำให้อัศวินฝ่ายตรงข้ามตกตะลึงจนหน้าแดง
“อะไรนะ?! ” ความโกรธของคลิฟพุ่งสูงขึ้นในทันที เขาเอาไม้กายสิทธิ์ออกมาเพื่อจะต่อสู้
“ไม่ใช่ครับ อาจารย์คลิฟ โปรดฟังพวกเราอธิบาย พวกเราเป็นอัศวินที่ซื่อสัตย์ที่สุดของวิหารแห่งแสง พวกเราจะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร พวกเรา…อ๊าก! ” ไม่มีคำพูดอะไรจากพวกเขาอีกแล้ว มีเพียงเสียงกรีดร้องเท่านั้น
แคลร์แลบลิ้นออกมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ในความเป็นจริงแล้วนางรู้ดีว่าไม่มีทางหลอกลวงคลิฟด้วยคำโกหกที่เงอะงะเช่นนี้ได้หรอก แต่เมื่อสถานการณ์กลายเป็นเช่นนี้ หากคลิฟไม่ลงเรือมาด้วยก็ไม่มีหนทางอื่นแล้วเพราะเขารู้จักนิสัยของวิหารแห่งแสงดีกว่าใครๆ คำพูดของแคลร์เป็นเพียงข้ออ้างให้เขาในการฆ่าเท่านั้นเอง
เมื่อคลิฟลงมือด้วยตัวเอง ใครจะสู้เขาได้ล่ะ?
ในไม่ช้า อัศวินเหล่านั้นก็ถูกโจมตีตรงๆ
“อาจารย์ คืออาจารย์กลับไปพักผ่อนก่อนนะ เดี๋ยวพวกเราตามไป” แคลร์ยิ้มอย่างอ่อนโยน ฉากนองเลือดด้านล่างไม่เหมาะให้ผู้สูงอายุได้เห็น
คลิฟมองขึ้นไปบนฟ้า “อืม วันนี้อากาศดีจริงๆ ข้าจะไปทำบาร์บีคิวรอพวกเจ้าก่อนแล้วกัน” หลังจากที่คลิฟพูดเสร็จ เขาก็หยิบกระต่ายตัวน้อยที่เพิ่งถูกสุ่ยเหวินโม่โยนลงบนพื้นแล้วจากไป เป็นการดีกว่าถ้าเขาจะไม่อยู่ที่นั่นตอนที่คนอื่นกำลังจัดการกับคนของวิหารแห่งแสง เขาแสร้งทำเป็นไม่เห็นเหตุการณ์ เพราะอย่างไรคนเหล่านี้ก็มาจากฝั่งของราอูล
“จินเหยียน พยุงพวกเขาไปรักษาหน่อย” แคลร์มองอัศวินที่บาดเจ็บและหญิงสาวที่เปื้อนเลือดแล้วพูดกับจินเหยียน
“ขอบคุณ ขอบคุณพวกเจ้ามาก” หญิงสาวที่เต็มไปด้วยเลือดมองพวกเขาอย่างซาบซึ้งและขอบคุณ ไม่มีบาดแผลใดๆ บนร่างกายของนาง เลือดทั้งหมดบนร่างกายของนางเป็นของอัศวินคนนั้น
“ครับ คุณหนู” จินเหยียนโค้งตัวช่วยอัศวินที่บาดเจ็บสาหัสแล้วเดินตามหลังคลิฟไป
เหล่าอัศวินที่พ่ายแพ้ไม่สามารถสู้ต่อไปได้ พวกเขามองไปที่ด้านหลังของคลิฟที่หายตัวไปด้วยสายตาที่ไม่เชื่อและโกรธแค้น นั่นคือปรมาจารย์คลิฟ พวกเขาไม่ได้จำผิดแน่ๆ แล้วสาวผมทองผู้นี้ก็คือแคลร์ ฮิลล์ ศิษย์ของเขา! พวกเขากล้าโจมตีคนของวิหารแห่งแสงอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?!
“เอามากองรวมกัน ข้าจะเผาทิ้ง” ดวงตาของแคลร์มีประกายเย็นชา นางพูดเบาๆ กับสุ่ยเหวินโม่และเฟิงอี้เซวียน
“พวกเจ้าต้องการจะทำอะไร? ดวงตาของเทพีแห่งแสงจะเห็นบาปทั้งหมดของพวกเจ้า พวกเจ้าจะถูกลงโทษนะ…” อัศวินที่เป็นหัวหน้าพูดขึ้นมา
เฟิงอี้เซวียนและสุ่ยเหวินโม่ทำเป็นไม่ได้ยิน พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว สุ่ยเหวินโม่ก้าวไปข้างหน้าด้วยดาบหนึ่งเล่มและลงดาบ อัศวินทั้งหมดจ้องมาที่พวกเขาดวงตาเบิกกว้าง
“ดวงตาแห่งปัญญาของเทพีแห่งแสง ก็คล้ายกับดวงตาของสุนัขนั่นแหละ”วัลโดตะคอกด้วยความโกรธ
สุ่ยเหวินโม่เอาศพมารวมกันอย่างรวดเร็ว
แคลร์ร่ายคาถาปล่อยเปลวไฟเผาร่างพวกนั้น ร่างค่อยๆ กลายเป็นเถ้าถ่าน แต่เกราะกลับละลายอย่างเชื่องช้า เพราะมีผลของพรบางอย่างของนักเวทย์แห่งวิหารแห่งแสงอยู่ แคลร์ขมวดคิ้ว นางคิดว่าจะเผาชุดเกราะเหล่านี้โดยเร็วที่สุดได้อย่างไร แต่ทันใดก็มีอากาศแปลกๆ ไหลผ่านร่างกายของนาง ภายใต้สายตาที่ตกตะลึงของเฟิงอี้เซวียนและสุ่ยเหวินโม่ เปลวไฟที่ปล่อยออกมาจากแคลร์ค่อยๆ กลายเป็นสีเหลืองทอง แล้วชุดเกราะก็ละลาย กลายเป็นเหล็กหลอมเหลวแล้วค่อยๆ ไหลไปยังพื้นที่ไกลออกไป
“ลองดูว่ามีอะไรอีกที่จะเผยตัวตนของพวกเขาได้อีกบ้าง?” แคลร์หยุดเปลวไฟและเดินไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบว่ามีอะไรอยู่ที่พื้นหรือไม่
“แค่ฝังก็จบแล้ว” สุ่ยเหวินโม่ชักดาบฟันลงกับพื้น จากนั้นก็มีหลุมขนาดใหญ่เกิดขึ้น สุ่ยเหวินโม่ไม่พูดอะไรแล้วใช้พลังอีกครั้งทำให้แผ่นดินที่เพิ่งถูกไฟไหม้พลิกกลับลงด้านล่างแล้วก็ปิดหลุมขนาดใหญ่ ร่องรอยทั้งหมดถูกฝังกลบแล้ว
ทั้งสามคนตรวจสอบสภาพแวดล้อมอย่างละเอียดอีกครั้ง พวกเขาเตรียมพร้อมที่จะกลับหลังจากไม่มีอะไรผิดปกติ
“แคลร์…” ทันใดนั้นสุ่ยเหวินโม่ก็หยุดและเรียกชื่อแคลร์เบาๆ
“หืม? ” แคลร์หันไปมองสุ่ยเหวินโม่อย่างงงงวย
“ขอบคุณนะ” เสียงขอบคุณของสุ่ยเหวินโม่เบาแต่ชัดเจนมาก
แคลร์เข้าใจความหมายของสุ่ยเหวินโม่ทันที ใช่ ถ้าไม่ใช่สุ่ยเหวินโม่ พวกเขาคงจะไม่เข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้และจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของวิหารแห่งแสง พวกเขาไม่อยากเป็นศัตรูกับวิหารแห่งแสงเลย
“ขอบคุณอะไร? ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดถึงอะไรอยู่ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่นี่สักหน่อย”แคลร์หัวเราะเบาๆ และหันหน้าหนี
รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของสุ่ยเหวินโม่
เฟิงอี้เซวียนวางแขนของเขาไว้รอบคอของสุ่ยเหวินโม่และพูดด้วยน้ำเสียงที่มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ได้ยิน “ข้าจะเตือนเจ้านะ แคลร์เป็นของข้า ถ้าเจ้ากล้าคิดที่จะแย่งข้าล่ะก็……”
“ให้ตายเถอะ! ต่อให้โลกนี้จะถล่ม ข้าก็ไม่คิดอะไรกับภรรยาของเจ้าหรอก” สุ่ยเหวินโม่ตะคอกอย่างเย็นชา
“นับว่าเจ้าเข้าใจได้ดี” เฟิงอี้เซวียนคลายแขนที่คอของสุ่ยเหวินโม่
ทั้งสองเดินไปยังที่พัก
อัศวินและเด็กสาวที่เต็มไปด้วยเลือดผู้ยังคงเป็นปริศนา แต่เชื่อว่าพวกเขาจะบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อกลับมาที่กระโจม อัศวินได้รับยารักษาจากคลิฟแล้ว เขาดูดีขึ้นมาก
เมื่อเห็นทั้งสามกลับมา หญิงสาวที่เต็มไปด้วยเลือดก็รีบลุกขึ้นยืนเพื่อทักทาย
“นั่งลงเถอะ ตอนนี้อาการของเขาเป็นอย่างไรบ้าง? เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้ากันแน่” แคลร์โบกมือให้หญิงสาวนั่งลง
“เพราะคำทำนายโง่ๆ นั่น วิหารแห่งแสงจึงสั่งให้ข้าไปฆ่านาง เด็กสาวที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสา เด็กผู้หญิงที่อ่อนแอไม่มีกำลังต่อสู้แม้แต่น้อย” อัศวินที่ยังคงอ่อนแอพูดด้วยความขุ่นเคืองเล็กน้อย “นางไร้เดียงสาเช่นนี้จะไปล้มล้างวิหารแห่งแสงได้อย่างไร? ดวงตาของนางใสบริสุทธิ์ยิ่งกว่าน้ำพุเสียอีก!” อัศวินพูดพลางหันไปมองหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ อย่างกังวล หญิงสาวส่ายหัวเบาๆ แล้วมองอย่างไม่เข้าใจ “ข้า ข้าไม่คู่ควรกับคนมีตำแหน่งเช่นเจ้าหรอก”
“มีตำแหน่งอะไรกัน ข้าก็เป็นเป้าหมายของวิหารแห่งแสงเช่นกัน ข้าเป็นอัศวินที่หมดหน้าที่ไปแล้ว” อัศวินยิ้มอย่างใจเย็นและยื่นมือออกไปจับมือของหญิงสาวไว้แน่น “ข้าพูดไปก่อนหน้านี้แล้วว่าต่อไปเราจะร่วมชีวิตไปด้วยกัน”
“เหอะๆ สุดยอดจะเลี่ยนเลย…” วัลโดตัวสั่น
“แคลร์ ข้าก็อยากอยู่และตายไปพร้อมกับเจ้านะ” วินาทีต่อมา เฟิงอี้เซวียนก็จับมือของแคลร์ มองที่นางแล้วพูดประโยคนั้นอย่างจริงจัง
วินาทีต่อมา เฟิงอี้เซวียนก็ได้ลงไปนั่งยองๆ บนพื้นและคร่ำครวญปิดตาข้างหนึ่ง
“ถ้าครั้งหน้าเจ้ากล้าทำเช่นนี้อีก ข้าจะทำที่ตาอีกข้างของเจ้าด้วย” แคลร์ดึงกำปั้นของนางกลับแล้วพูดอย่างบึ้งตึง