เสน่ห์คมดาบ - เสน่ห์คมดาบ - ตอนที่ 6
อำนาจกษัตริย์กับอำนาจเทพมีการขัดกันอยู่เสมอ แคลร์ดับลูกไฟขนาดเล็กในมือ แล้วนึกถึงคาถาที่อูมาริสอนเมื่อตอนเย็นอย่างโล่ไฟ เห็นได้ชัดเลยว่าคาถานี้คงจะไม่ใช่เวทย์ธาตุไฟที่แพร่หลายในวงกว้างอย่างแน่นอน แต่เป็นพลังเวทย์ของอูมาริเอง เป็นทรัพย์สินล้ำค่าของเขา แต่ว่าเขากลับเอาวิชาส่วนตัวแบบนี้มาสอนแคลร์อย่างไม่หวงแม้แต่น้อย คาถานี้คือการรวบรวมธาตุไฟที่อยู่รอบตัวให้กลายเป็นโล่เพื่อป้องกันการโจมตี
เพียงแต่ในตอนนี้ดูเหมือนว่าแคลร์จะยังไม่สามารถใช้โล่ไฟได้ แคลร์จำคำพูดของอูมาริได้อย่างดีว่านางไม่สามารถที่จะเร่งความสำเร็จได้ หลังจากลองทำไปสองสามครั้ง แคลร์ก็ยอมวางมือก่อน นักเวทย์ไม่เหมือนกับคนทั่วไป เพราะคนทั่วไปไม่นอนเป็นเวลานานก็จะเหนื่อยมาก ส่วนนักเวทย์สามารถฟื้นฟูพลังกายและพลังเวทย์ด้วยสมาธิได้ แคลร์ลุกขึ้นนั่งแล้วก็เริ่มทำสมาธิ ดูดซับธาตุเข้าร่างกายอย่างต่อเนื่อง จับองค์ประกอบธาตุแล้วเก็บไว้ ผ่านไปสามชั่วโมง แคลร์ก็ลืมตาและรู้สึกสดชื่นขึ้น สิ่งนี้ได้ผลดียิ่งกว่าการนอนหลับสามชั่วโมงเสียอีก
สามวันต่อมา แคลร์ผ่านการประเมินของโรงเรียนไรซิ่งซันและสามารถเข้าเรียนที่ไรซิ่งซันได้แล้ว ส่วนเหยียนเหยียนที่เป็นอัศวินของแคลร์ก็จำเป็นจะต้องคอยปกป้องอยู่ข้างกายตลอด แต่ว่าจินเหยียนเป็นนักดาบขั้นสูงแล้วจึงไม่สามารถที่จะเข้าไปในโรงเรียนด้วยตัวตนที่เป็นนักเรียนได้ เขาจึงทำได้เพียงแค่แอบตามปกป้องอย่างลับๆ
ตัวอักษรของโรงเรียนไรซิ่งซันติดอยู่ที่ด้านบนของประตูใหญ่ คำเหล่านี้จะเรืองแสงในเวลากลางคืนหรือในเวลาที่ฟ้ามืดลงเพราะมันถูกร่ายเวทมนต์ไว้
“คุณหนู ข้าจะแอบตามปกป้องคุณหนูเอง” จินเหยียนพูดประโยคนี้ทิ้งไว้ตอนที่แคลร์เข้าไปในโรงเรียน แล้วเขาก็หายตัวไป
ตอนที่แคลร์ได้รับบัตรประจำตัวแล้วเดินตามอาจารย์ท่านหนึ่งเข้าไปที่ห้องเรียนธาตุไฟ เมื่อนางเข้าไปแล้วก็รู้สึกได้ถึงสายตาแปลกๆ ของคนจำนวนมากในห้องเรียนนั้น แคลร์เงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็ได้เจอกับคนคุ้นเคย ซึ่งก็คือองค์ชายสองนั่นเอง เขาเองก็อยู่ในห้องเรียนธาตุไฟงั้นหรือ?
“วันนี้เรามีนักเรียนใหม่ แคลร์ ฮิลล์ ถ้าเช่นนั้น วันนี้เรามาทบทวนความรู้ขั้นพื้นฐานกันอีกสักครั้งนะ” อาจารย์ที่ยืนอยู่ที่ด้านหน้านั้นคือเอมิลี่ สาววัยกลางคนที่ดูอบอุ่นอ่อนโยน เธอเป็นอาจารย์ในห้องเรียนธาตุไฟ แคลร์เพิ่งจะเข้ามาเรียนให้ห้องเรียนธาตุไฟ อาจารย์ท่านนี้จึงคำนึงถึงเรื่องที่แคลร์ยังไม่ได้เรียนความรู้พื้นฐานเลย จึงเสนอให้ทบทวนเรื่องความรู้พื้นฐานก่อน
“แคลร์ หาที่นั่งได้เลยนะ” เอมิลี่รู้ถึงตัวตนของเด็กสาวตรงหน้า จึงพูดด้วยอย่างเกรงใจ
“ขอบคุณค่ะอาจารย์” แคลร์พยักหน้าเรียบๆ หลังจากขอบคุณเสร็จก็เดินไปที่เก้าอี้ที่ว่างอยู่ด้านหลังห้องเรียน
นางรู้สึกได้ถึงสายตาแปลกๆ แต่แคลร์ก็ไม่ได้ไปใส่ใจ จึงแค่นั่งลงแล้วฟังในสิ่งที่เอมิลี่กำลังสอนอยู่ ซึ่งคล้ายคลึงกันกับที่หนังสือเล่มนั้นได้บอกไว้ องค์ชายสองที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ส่งสายตามาสังเกตตลอด
หลังจากเรียนวิชานี้ ผู้คนที่โรงเรียนไรซิ่งซันก็ได้รับรู้กันแล้วว่าแคลร์ คุณหนูใหญ่บ้าผู้ชายแห่งตระกูลฮิลล์ผ่านการประเมินได้เข้ามาเรียนในโรงเรียน! อีกทั้งยังได้เรียนห้องเรียนเดียวกับองค์ชายสองที่นางไล่ตามไม่ยอมปล่อยก่อนหน้านี้ไม่กี่วันด้วย!
คนส่วนมากคิดว่าแคลร์ใช้เส้นของตระกูลถึงได้เข้ามาเรียนในโรงเรียนนี้ได้ ผู้คนยิ่งตกใจกันใหญ่เลยว่าหญิงบ้าผู้ชายผู้นี้ทำได้ทุกอย่างเลยเพื่อไล่ตามผู้ชาย ชื่อเสียงของแคลร์ยิ่งแย่ไปเข้าใหญ่
ในห้องเรียนของธาตุสายฟ้า
“อะไรนะ? นางมาโรงเรียนงั้นหรือ?” ราเซียหงุดหงิดขึ้นมาทันที คนที่มาบอกข่าวที่อยู่ข้างกายของนางเริ่มรู้สึกว่าคิดผิดไปหน่อย ราเซียที่เดิมทีมีใบหน้าที่สวยบริสุทธิ์จู่ๆ ก็บิดเบี้ยวขึ้นมาในทันที ในใจของนางก็รู้สึกโกรธเกลียดมาก นังงี่เง่านั่น! ยังจะมาทำขายหน้าที่โรงเรียนงั้นสิ! ทำไมท่านปู่ถึงยอมให้นางมาทำขายหน้าผู้อื่นที่โรงเรียนได้นะ? หรือว่าชื่อเสียงของตระกูลฮิลล์ยังถูกนางทำให้เสียหายไม่พออีกหรือ? หึ! แคลร์ นังงี่เง่าบ้าผู้ชาย ข้าจะทำให้เจ้ายอมไสหัวออกไปจากโรงเรียนแต่โดยดีเลย! ราเซียตัดสินใจแล้วกำหมัดแน่น
“ราเซีย เจ้าจะทำสิ่งใดกัน?” เด็กสาวที่อยู่ข้างๆ ถามอย่างไม่สบายใจ “นางเป็นพี่สาวของเจ้านะ เจ้าอย่าทำให้มากเกินไปเลย……”
“หุบปาก!” ราเซียตะคอก ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ “ข้าไม่ได้มีพี่สาวเช่นนี้!” น่าอายนัก คนเช่นนี้เป็นพี่สาวของเด็กสาวผู้มีพรสวรรค์อย่างราเซีย ช่างน่าอายอย่างที่สุดจริงๆ!
ผู้คนรอบตัวเห็นท่าทางโกรธของราเซียก็เงียบปากไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก ต้องรู้ว่านางไม่เพียงแต่จะเป็นหลานสาวของตระกูลชั้นสูงอย่างตระกูลฮิลล์แล้ว แต่นางยังเป็นนักเรียนที่เป็นที่น่าภาคภูมิใจของโรงเรียนด้วย ใครจะกล้าไปมีเรื่องกับนางล่ะ
โรงเรียนไรซิ่งซันเป็นโรงเรียนแบบประจำจึงมีพื้นที่สำหรับเรียน พื้นที่กิจกรรม และพื้นที่หอพัก เนื่องจากการที่เป็นโรงเรียนพลังเวทย์และพลังยุทธ์เพียงแห่งเดียวในอันพาแกรนด์นั้น โรงเรียนจึงมีขนาดใหญ่มาก ทั้งชนชั้นสูงและคนธรรมดาขอเพียงแค่มีความสามารถก็มาสามารถเข้ามาเรียนที่นี่ได้ และจะอยู่หอพักหรือจะไปกลับก็ได้เช่นกัน
หลังเลิกเรียน แคลร์เดินออกจากห้องเรียนและได้รับรู้ว่าแคลร์คนก่อนในร่างนี้ไม่เป็นที่ต้อนรับของคนอื่นมากเพียงใด พวกผู้หญิงล้วนมองมาที่นางด้วยสายตารังเกียจราวกับเห็นงู และก็ต้องยอมรับเลยว่าชายหนุ่มที่รูปร่างหน้าตาดีน่ารักนั้นพอเห็นนางก็ยิ่งหลบไปไกลเลย นางทำตัวไม่ถูกและดอะไรไม่ออกเลยจริงๆ
ที่โรงอาหารตอนกลางวัน แคลร์นั่งอยู่ที่มุมหนึ่ง แล้วทานข้าวอย่างเงียบๆ นางนึกถึงเรื่องที่กอร์ตั้นได้พูดเอาไว้ไปด้วยว่าหากต้องการจะพบคนผู้นั้น นางก็ต้องมาอยู่ที่โรงเรียนนี้เท่านั้น? คนผู้นั้นคือเป็นอาจารย์ของโรงเรียนงั้นหรือ? น่าจะไม่ใช่อาจารย์ใหญ่ของที่นี่ เพราะถ้าหากเป็นอาจารย์ใหญ่ กอร์ตั้นก็น่าจะพูดออกมาแล้ว แสดงว่าคนผู้นั้นจะต้องมีพลังเหนือกว่าอาจารย์ใหญ่ แล้วจะเป็นใครล่ะ?
โรงอาหารที่คึกคักนั้น มีเพียงบริเวณรอบๆ ที่แคลร์นั่งอยู่เท่านั้นที่เป็นพื้นที่โล่ง จึงเป็นที่สะดุดตามาก
จู่ๆ ที่ประตูก็เกิดความวุ่นวายขึ้น แคลร์เงยหน้าขึ้นไปมอง แล้วก็เห็นราเซียที่ดูหยิ่งผยองราวกับนกยูงกำลังเดินเข้ามาโดยที่รายล้อมไปด้วยหนุ่มสาวจากชนชั้นสูง ราเซียผู้เป็นอัจฉริยะเดินไปที่ไหนก็เป็นจุดสนใจ
แล้วทันใดนั้นราเซียก็มองมาทางแคลร์ แคลร์ก้มลงกินข้าวต่ออย่างไม่สนใจ ความชั่วร้ายปรากฏขึ้นในแววตาของราเซีย จากนั้นนางก็ไม่มองไปทางแคลร์อีก แต่มองไปทางอื่นแทน
เจ้าเด็กเอาแต่ใจ แคลร์แอบถอนหายใจ แต่ว่าตอนนี้นางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของราเซีย ความเกลียดชังที่อยู่ในแววตาของนางไม่ควรที่จะอยู่ในเด็กอายุสิบสองเลย สภาพแวดล้อมที่เหนือกว่าและคำชื่นชมจากคนรอบตัวทำให้นางลืมความเหมาะสมไปแล้ว หากนางจะลงมือกับตนเองอีกจริงๆ ตนเองก็คงไม่อาจจะต้านทานได้
หากจะต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของราเซียจริงๆ ตนเองควรจะทำเช่นไรล่ะ? แคลร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ในมุมเล็กๆ ที่อยู่ห่างไกล
“จินเหยียน เจ้าทำงานที่รับมอบหมายอย่างดีเลยนะ” ชายผู้พูดมีเรือนผมสีเกาลัด เขายิ้มน้อยๆ แล้วพูดเล่นกับจินเหยียนที่ยืนพิงต้นไม้อยู่
“โธ่ องค์ชายสอง ได้โปรดเถิดฝ่าบาท อย่ายินดีกับความโชคร้ายของข้าเลย” จินเหยียนพูดออกมาเบาๆ
“ฮ่าๆ … ข้าอดไม่ไหวนี่” ผู้ที่พูดก็คือองค์ชายสองนั่นเอง “แต่ว่า คิดไม่ถึงเลยจริงๆ นะว่าท่านดยุกจะส่งนางมาที่โรงเรียนจริงๆ นางจะเป็นนักเวทย์ได้งั้นหรือ?” ในน้ำเสียงนั้นเจือด้วยความดูถูก
“สิ่งนี้พูดยาก” จินเหยียนขมวดคิ้วแล้วพูดอย่างจริงจัง “ฝ่าบาททราบหรือไม่? ว่านางผ่านการประเมินจริงๆ ไม่ใช่ท่านดยุกเป็นคนขอให้ได้เข้ามา”
“อะไรนะ?” ครั้งนี้องค์ชายอึ้งเสียเอง ยัยคุณหนูงี่เง่านั่นผ่านการประเมินด้วยตัวเองงั้นหรือ? !
“คงต้องเชื่อแล้วล่ะฝ่าบาท นี่คือเรื่องจริง” จินเหยียนสีหน้าจริงจัง “ข้าค้นพบแล้วว่าข้าไม่ได้รู้จักนางจริงๆ เลย”
“ค่อนข้างแปลกนะ การกระทำของนางในตอนนี้กับนางเมื่อก่อนช่างต่างกันราวกับคนละคน” องค์ชายขมวดคิ้วแล้วพูดนิ่งๆ
“คราวแรกข้าคิดว่านางจะให้กลยุทธ์ปล่อยเพื่อจับกับฝ่าบาท แต่พอดูในตอนนี้แล้วคงจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว” จินเหยียนพูดตามที่คิด
“เช่นนั้นเจ้าคิดเห็นอย่างไร?” องค์ชายถาม
“ต้องคอยสังเกตไปก่อน” จินเหยียนยิ้มอย่างมีความหมายบนใบหน้าอันหล่อเหลา “เกรงว่าบางคนจะอดไม่ได้แล้วลงมือเสียก่อน”
องค์ชายพูดอย่างสงสัย “เจ้าหมายถึงราเซีย?”
“ใช่ ฝ่าบาท” จินเหยียนพยักหน้า ที่มุมปากมีรอยยิ้มเย็นชา “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้านายที่งี่เง่าและบ้าผู้ชายของข้า ข้าคิดว่าอีกไม่นานนี้ก็คงจะมีคนที่ทดลองให้พวกเราเห็นแล้วล่ะฝ่าบาท”
“หน้าที่รับผิดชอบของเจ้าไม่ใช่การปกป้องดูแลความปลอดภัยของนางหรือ?” องค์ชายยิ้มเย็นชาที่มุมปาก
“ปล่อยให้นางลำบากบ้างก็ดี เข้าไปช้าหน่อยก็ได้ การรับผิดชอบดูแลความปลอดภัย ข้าไม่ปล่อยให้นางได้รับอันตรายถึงชีวิตหรอก เพียงแค่พี่น้องสองคนมีเรื่องขัดแย้งกันเท่านั้นเอง ไม่ใช่หรือ?” จินเหยียนโบกมือแล้วพูดอย่างไม่สนใจ แต่สายตากลับมีความสนุกที่รอชมอยู่
องค์ส่ายหัวยิ้มๆ แต่ไม่รู้ว่าทำไมในใจจึงรู้สึกแปลกๆ เหมือนว่าไม่สงบ
จะลองหยั่งเชิงดูได้จริงๆ หรือว่าเกิดอะไรขึ้น?
ตอนบ่าย แคลร์ไม่มีเรียนจึงเดินในโรงเรียนที่เงียบสงบ แคลร์อยากจะไปดูที่ห้องสมุดก่อน
“ขอถามหน่อย ห้องสมุดไปทางไหนหรือ?” แคลร์ถามนักเรียนชายที่เดินผ่านมา
ใครจะรู้ว่าชายหนุ่มผู้นั้นเมื่อเห็นแคลร์ ก็ราวกับเจอผี สีหน้าของเขาตื่นตระหนก แล้วคอยมองไปด้านหลังอยู่ตลอด กลัวว่าแคลร์จะมายุ่งและไล่ตามเขา
แคลร์ไม่ได้พูดอะไร ชายผู้นี้มีหน้าอย่างกับหมู ถึงแม้ว่าจะเป็นแคลร์คนก่อนก็คงจะไม่มองคนแบบนี้หรอก คนพวกนี้ไม่รู้เลยจริงๆ ว่ามีกระจกไว้ส่องบ้างหรือไม่ หลงตัวเองจริงๆ ช่างดูถูกสายตาของแคลร์คนก่อนยิ่งนัก
มุมปากของแคลร์กระตุก ผู้คนที่ผ่านไปมามองนางราวกับเห็นงู ทุกคนล้วนหลีกเลี่ยงกันหมด ดูแปลกมากๆ
จากมุมระยะไกล ดวงตาที่เป็นประกายมองมาที่แคลร์อย่างอยากรู้อยากเห็น นั่นคือคุณหนูงี่เง่าบ้าผู้ชายแหล่งเมืองหลวงงั้นหรือ? ดูแล้วไม่เห็นเหมือนที่พูดกันเลย ตรงกันข้ามกลับดูมั่นใจมาก แล้วยังมีความเป็นผู้ใหญ่ไม่เหมือนกับวัยของนางด้วย โดยเฉพาะกับคนที่ปฏิเสธนาง นางดูไม่แยแสเลยสักนิด
ในขณะที่แคลร์กำลังคิดว่าจะไปถามอาจารย์ถึงทางไปห้องสมุด ก็มีเสียงหวานๆ ดังขึ้นมา “สวัสดี เจ้ากำลังหาห้องสมุดอยู่ใช่หรือไม่? ถ้าไม่รังเกียจให้ข้าพาเจ้าไปเถิด”
แคลร์หันไปมองด้วยความอึ้ง เพราะว่าเสียงนี้ไม่ได้มีความเสแสร้งหรือเยาะเย้ยเลย มีแต่ความจริงใจ ใครกันที่มาคุยกับนาง? ตอนที่แคลร์เห็นหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลัก็ตะลึงไปเล็กน้อย หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าสวมชุดสีม่วงเรียบง่าย แต่ดูสง่างาม ลายปักรูปดอกเรดบัดสีทองที่คอเสื้อแสดงได้ถึงตัวตนของนาง องค์หญิงเพียงองค์เดียวของอันพาแกรนด์… องค์หญิงแมริส เอเดรีย ผู้มีผมลอนยาวสีเกาลัด ดวงตาสีฟ้า และริมฝีปากเล็กๆ หญิงสาวที่เป็นมาตรฐานแห่งความงาม