เสน่ห์คมดาบ - เสน่ห์คมดาบ - ตอนที่ 76
เสน่ห์คมดาบ – ตอนที่ 76
“ข้าตีเจ้าแล้วจะทำไมล่ะ? รีบเอาของออกมาให้ข้าดูเลย! ” คามิลล์พูดอย่างอ่อนโยนแต่ฟังดูอันตราย
แคลร์เม้มปาก “แน่ใจหรือว่าจะไม่ได้มาแย่งของข้า? “
มือของคามิลล์ยกขึ้นอีกครั้ง แคลร์รีบขยับออกไปทันทีพร้อมจับหัวของนางเอาไว้
ทั้งสองคนจ้องตากันอยู่นาน จากนั้นแคลร์ก็ค่อยๆ หยิบอะไรบางอย่างออกมา
“ของขวัญจากเทพีแห่งแสง? เจ้าจะเอาสิ่งนี้มาทำอะไร? ” คามิลล์จำสิ่งนี้ได้ในทันที แต่เขาก็ไม่ได้ดูแปลกใจนัก
“ยังไงมันก็มีประโยชน์แล้วกันน่า” แคลร์มองค้อนใส่คามิลล์ คนชอบแกล้งคนนี้สามารถทำอะไรก็ได้ที่เขาต้องการด้วยความเร็วที่เร็วกว่าตนเองเสมอ
“ชิ ข้าก็คิดว่าของดีอะไร ไปนอนดีกว่า” คามิลล์เป่าลมออกจากจมูกอย่างเย็นชาและเดินออกไป
แคลร์มองไปที่ประตูอย่างสงสัย ปฏิกิริยาของชายผู้นี้หมายความว่าอย่างไร? แปลกจริงๆ
แต่ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้วัลโดก็จะมีร่างกายได้แล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากๆ
แคลร์ปิดประตู จากนั้นก็นั่งลงบนเตียง นางหยิบหินจิตวิญญาณออกมาและเริ่มถูอย่างชั่วร้ายอีกครั้ง
“อย่า ไม่ต้องถูแล้ว! ” นี่คือประโยคแรกที่วัลโดพูดเมื่อตื่นขึ้น ในใจมีความขุ่นเคืองอยู่ ครั้งนี้ปีศาจน้อยโหดร้ายจริงๆ ถ้าหากนางไม่ถู ก็ไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่วัลโดถึงจะตื่น
“สิ่งนี้ใช้งานอย่างไร? ” แคลร์หยุดทำร้ายวัลโดและถามพร้อมชี้ไปที่สิ่งที่รูปร่างเหมือนเปลือกหอย
วัลโดอึ้งแล้วอ้าปากค้าง
“บอกมาสิ! ” เล็บของแคลร์สะกิดหินจิตวิญญาณเบาๆ วัลโดจึงกลับมามีสติอีกครั้ง
“แคลร์! เจ้าเอามาได้จริงๆ หรือ? เจ้าไปเอามาจริงหรือ?! ” วัลโดตื่นเต้นอย่างมาก สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น
“ข้ากำลังถามเจ้าอยู่ว่าจะใช้มันอย่างไร! ” แคลร์ถามอย่างเคร่งขรึม
“อ้อ แค่เปิดเปลือกออกและนำสิ่งที่อยู่ด้านในออกมาบดเป็นผง จากนั้นก็โรยลงบนร่างจิตวิญญาณของข้า แต่เจ้าต้องร่ายคาถาป้องกันอย่าให้ลำแสงของมันออกไปได้เพื่อป้องกันไม่ให้ใครรู้ อีกไม่นานข้าก็จะมีร่างแล้ว ข้ามีความสุขมากจริงๆ” วัลโดตอบทันทีอย่างเชื่อฟังโดยพูดไม่หยุดในรวดเดียว
แคลร์ก็ไม่พูดอะไรให้เสียเวลา นางร่ายคาถาวางเขตกั้น จากนั้นก็เปิดเปลือกออกหยิบลูกกลมเล็กๆ นั้นออกมา นางยืนขึ้นบนเตียงแล้วบีบลูกบอลให้เป็นผงด้วยมือ จากนั้นก็โรยผงทั้งหมดให้กระจายไปที่ทั่วร่างจิตวิญญาณของวัลโด
“รอก่อน! ” วัลโดตะโกน ทันใดสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก
แต่มันสายเกินไปแล้ว ผงค่อยๆ กระจายไปทั่วร่างของเขาแล้ว
แคลร์อยากจะหยุดตามที่วัลโดบอก แต่ผงได้กระจายไปทั่วแล้ว มันตกลงบนร่างจิตวิญญาณของวัลโด แสงพราวที่เพิ่งแผ่ออกมาจากวัลโดทำให้แคลร์ไม่สามารถลืมตาได้เต็มที่ แคลร์หรี่เล็กน้อยแต่ก็ยังมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นในแสงนั้น
“อ่า…” เสียงทุ้มต่ำของวัลโดดังมาจากแสงสีขาว
“เฮ้ วัลโด เจ้าสบายดีหรือไหม? เจ้าบอกให้ข้ารอก่อนอะไรกัน? ” แคลร์ได้ยินเสียงของวัลโดที่ดูเหมือนปกติ คงไม่มีอะไรที่ผิดปกติเกิดขึ้นใช่หรือไม่?
“ข้าสบายดี” เสียงทุ้มต่ำของวัลโดดังมา แต่เขาตอบคำถามเพียงแรกเท่านั้น ไม่ได้ตอบคำถามหลัง
แคลร์นั่งลงใช้มือค้ำคางไว้ รอให้แสงสีขาวสลายไปเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น
แสงสีขาวค่อยๆ สลายไป ร่างของวัลโดก็ค่อยๆ ปรากฏออกมา อย่างแรกคือส่วนหัว ใบหน้าที่บอบบางและผมสีดำ แคลร์จ้องมองด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง มันน่าทึ่งมากที่วัลโดมีเนื้อหนังขึ้นมาแล้ว! ต่อมาก็เผยให้เห็นส่วนของร่างกาย แคลร์นั่งอยู่ข้างเตียงและเฝ้าดูการสร้างใหม่ของร่างกาย ไหล่ หน้าอก เอว และส่วนถัดไปของวัลโด…
แคลร์ตัวแข็งทื่อเป็นหิน ส่วนถัดไปต่อจากเอวของผู้ชายคือ…
วัลโดปิดส่วนนั้นของเขาและมองใบหน้าอึ้งๆ ของแคลร์แล้วพูด “ข้าแค่จะบอกว่าหยุดก่อน ข้าต้องการให้เจ้าหาเสื้อผ้าให้ข้าก่อน แล้วจะบอกว่าหลังจากที่เจ้าโรยผงแล้วก็ให้เจ้าไปนั่งรออยู่ที่มุมอื่น” วัลโดมองราวกับว่าไม่ใช่ความผิดของเขา
“ออกไปเลย! ” แคลร์คว้าหมอนแล้วโยนใส่วัลโด วัลโดเอื้อมมือไปจับหมอนเพื่อแล้วเอามาปิดส่วนสำคัญของตนเองแล้วขยับหนีไป
“มันไม่ใช่ความผิดของข้า สิ่งนั้นมันสามารถทำให้ร่างกายของข้าเกิดใหม่ได้ แต่มันไม่ได้มีเสื้อผ้าให้ข้านี่ ข้าก็ไม่ได้อยากให้เป็นเช่นนี้หรอก” วัลโดอธิบายด้วยสีหน้าเศร้าโศก
“ข้าบอกให้เจ้าออกไปไม่เข้าใจหรือ?” แคลร์กำลังจะระเบิดแล้ว
“เจ้า เจ้าเอาผ้าห่มให้ข้าห่อร่างกายของข้าหน่อยก็ได้” วัลโดมองแคลร์
“ไสหัวออกไป” แคลร์จับผ้าห่มโยนให้วัลโดที่รีบห่อร่างกายแล้ววิ่งออกไปอย่างเขินอาย
หลังจากวัลโดวิ่งออกจากห้องไปก็ได้ยินเสียงปิดประตู
วัลโดยืนอยู่ตรงทางเดิน ตอนนี้เป็นเวลาเช้าตรู่และท้องฟ้าก็สว่างแล้ว วัลโดเปลือยเปล่าโดยมีผ้าห่มพันอยู่รอบเอว เขายืนอยู่หน้าประตูห้องของแคลร์ด้วยความงุนงง สายลมเย็นพัดมาที่วัลโดจนสั่นสะท้านแล้วเขาก็ได้สติ หันไปเคาะประตู “แคลร์ เจ้าจะทิ้งข้าไว้ที่นี่แบบนี้หรือ? “
ไม่มีจากเสียงตอบรับจากข้างใน
“เจ้าจะทิ้งข้าไว้ตรงนี้หรือ? จะไม่จัดการอะไรเลยหรือ? เจ้าควรแนะนำตัวตนของข้าให้กับพวกเขารู้จักด้วยสิ จู่ๆ ข้าก็โผล่มามันจะดูไม่ค่อยดีหรือไม่? ” วัลโดเคาะประตูอย่างแรง
ยังคงไม่มีเสียงตอบกลับจากข้างใน
“เดี๋ยวคนอื่นตื่นขึ้นมาแล้วเห็นชายรูปงามไม่ใช่เสื้อผ้ามาเคาะประตูห้องเจ้าอยู่แต่เช้า เจ้าคิดว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร? คนอื่นๆ คงจะคิดว่าเจ้า… ” มือของวัลโดที่เคาะประตูค้างอยู่กลางอากาศ เบื้องหน้าคือใบหน้าที่มืดมนของแคลร์
วัลโดหัวเราะโดยไม่รู้ตัว “คนอื่นจะคิดว่าเจ้าทำอะไรแล้วไม่รับผิดชอบข้า”
“อ๊า… ” จากนั้นเสียงกรีดร้องของวัลโดก็ดังขึ้นในยามเช้าและทุกคนก็เริ่มต้นวันใหม่ด้วยเสียงกรีดร้องนี้
ทุกคนรีบวิ่งไปที่ห้องของแคลร์ พวกเขาเห็นชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งนั่งยองๆ อยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด เขากุมหัวและกรีดร้องโดยมีเพียงผ้าห่มพันรอบเอวของเขาอยู่ ใบหน้าของแคลร์บูดบึ้ง นางเพิ่งจะหยุดตีเขา
ทันใดนั้นทุกคนก็รู้สึกเหมือนลมพัดปั่นป่วน นี่มันคือสถานการณ์อะไรกัน?
ดวงตาของซัมเมอร์เฉียบคมมาก พอนางเห็นผ้าห่มรอบเอวของวัลโดก็ขมวดคิ้วและพูด “นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นผ้าห่มบนเตียงของแคลร์นะ”
หลังจากลมปั่นป่วน ก็ตามมาด้วยความโกรธเยี่ยงสายฟ้าฟาดในทันที
แคลร์มองซัมเมอร์ด้วยสายตาเย็นชา ความหมายในดวงตานั้นชัดเจนมาก เจ้าจะตายไหมถ้าไม่พูดเช่นนี้ออกมา?
ซัมเมอร์เห็นดวงตาที่เย็นชาของแคลร์ก็กลืนน้ำลายแล้วหดตัวกลับไปด้วยความกลัว
จินเหยียนมองชายคนนั้นที่นั่งยองๆ อยู่บนพื้นแล้วกระซิบเบาๆ “วัลโดหรือ? “
วัลโดเงยหน้าขึ้นมองจินเหยียนพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูแย่ยิ่งกว่าการร้องไห้เสียอีก “จินเหยียน ขอชุดให้ข้าก่อน”
“โอ้ เจ้ารู้จักหรือ? ” ซัมเมอร์พูดขึ้นมา “เช่นนั้นคือเจ้าคนนี้แอบบุกเข้าไปในตอนดึกแล้วถูกแคลร์จัดการจนเป็นแบบนี้ สุดท้ายก็เลยโยนออกมาใช่หรือไม่?” ซัมเมอร์ใช้จินตนาการและพูดออกมาอย่างสบายๆ
“ข้าจะพักผ่อน! ไม่อนุญาตให้ใครมายุ่งกับข้าทั้งนั้น! ” ใบหน้าของแคลร์นิ่ง นางหันกลับเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูเสียงดังโดยไม่สนใจคนที่อยู่ข้างนอก
ที่โต๊ะอาหาร ซัมเมอร์แตะที่คางและมองวัลโดที่กำลังกินอยู่ ผมสีดำสลวย ใบหน้าบอบบาง ดวงตาใสราวกับน้ำ มองยังไงก็ดูมีเสน่ห์ คนที่อ่อนแอและบอบบางเช่นนี้ นางไม่อยากเชื่อว่าชายตรงหน้านางจะทำร้ายแคลร์ในเวลากลางคืนได้ เว้นแต่เขาจะไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว หลังจากพูดเรื่องไร้สาระมาสักพัก นางก็ลองคิดดูดีๆ ว่าถ้าคนๆ นี้เป็นเพื่อนของแคลร์ เขาก็คงจะไม่มีวันวิ่งไปที่ห้องของแคลร์ในตอนกลางคืน เว้นแต่เขาจะไม่อยากมีชีวิตอยู่อีก ด้วยนิสัยของแคลร์ นางจะต้องตัดเขาออกเป็นชิ้นๆ อย่างแน่นอน
“เจ้าเป็นใคร? ทำไมเจ้าถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่ห้องของแคลร์ได้ล่ะ? ” ซัมเมอร์ถามวัลโดที่กำลังกินอาหารอยู่อย่างสงสัย
“ข้าชื่อวัลโด แล้วเจ้าล่ะ?” วัลโดถามหลังจากเอาผ้าเช็ดปาก
“ข้าชื่อซัมเมอร์ เจ้ายังไม่ตอบคำถามของข้าเลย” ซัมเมอร์ขมวดคิ้วแล้วถาม
“ข้ามาเมื่อคืนนี้ แต่ลมกระโชกแรงพัดเสื้อผ้าของข้าหายไป มันจึงกลายเป็นอย่างที่เห็นเมื่อครู่นี้” วัลโดพูดอย่างจริงจัง
ซัมเมอร์บุ้ยปาก “ไม่อยากบอกก็ช่างเถอะ ฮึ”
วัลโดแค่ยิ้มแต่ไม่ตอบ ยิ่งมีคนรู้เรื่องนี้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
คามิลล์เดินไปที่สวนหลังบ้านพร้อมกับเนื้อจานใหญ่ ในใจก็ก่นด่าไปด้วย ยัยตัวแสบคนนั้น มีสัตว์เวทย์ขนาดใหญ่มาเลี้ยงอยู่ในสวนหลังบ้านก็ไม่เท่าไหร่ แต่ตอนนี้ยังจะมีอีกคนมาอยู่เพิ่มอีก นางคิดว่าบ้านของเขาเป็นองค์กรการกุศลหรือไง?! แต่ก็ไม่คาดคิดเลยว่าหญิงผู้นั้นจะขโมยของขวัญจากเทพีไปเพื่อใช้กับใครสักคน
ตอนนี้แคลร์กำลังนั่งสมาธิอยู่บนเตียง
ตอนนี้วัลโดมีร่างกายแล้ว การเชื่อมต่อทางจิตวิญญาณกับแคลร์ก็เลยหายไป ปัญหาที่สำคัญที่สุดก็คือนักเวทย์มนตร์ดำอย่างวัลโด ทำอย่างไรจึงจะสามารถซ่อนลมหายใจแห่งความมืดของเขาและอยู่กับทุกคนได้ล่ะ ก่อนที่จะคิดวิธีได้ นางจึงทำได้เพียงแค่ให้ชายผู้นี้ซ่อนตัวอยู่ในบ้านไม่ให้ออกไปข้างนอก ชายผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นที่ต้องการของวิหารแห่งแสงเลยนะ?
ในเวลานี้มีเสียงเคาะประตูเบาๆ
“ข้าไม่ได้บอกหรือว่าไม่ให้มารบกวนข้า?” แคลร์พูดอย่างร้ายกาจ
“คุณหนู ข้าเอง ข้าเอาอาหารมาให้” เสียงของจินเหยียนดังขึ้นเบาๆ ที่ด้านนอกประตู
แคลร์ลุกขึ้นและเปิดประตูให้จินเหยียน เขาถือจานอยู่ในมือ แต่สีหน้าของเขากลับดูโดดเดี่ยว
“เข้ามาสิ” แคลร์พูดอย่างเคร่งขรึม
“คุณหนู… ” จินเหยียนปิดประตู วางจานในมือลงบนโต๊ะก่อนจะนั่งลงและมองแคลร์
“ยังมีเรื่องอะไรอีกหรือ? ” แคลร์ถามพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย
“คุณหนู ข้าอยากถามคุณหนูว่าคุณหนูยอมรับความภักดีของข้าจริงๆ หรือ?” สีหน้าของจินเหยียนดูเคร่งขรึมผิดปกติ
แคลร์ตกตะลึง นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
“หากข้าไม่ยอมรับก็คงจะทิ้งเจ้าไปตอนที่เจ้าสู้กับมังกรทองตัวใหญ่นั่นแล้วล่ะ” แคลร์พูดอย่างเย็นชา
“แต่ว่า คุณหนู ทำไมเมื่อคืนคุณหนูไม่บอกข้าเรื่องที่จะออกไปเสี่ยงล่ะครับ ข้าเป็นอัศวินส่วนตัวของคุณหนู ข้าไม่ได้ขอแค่จะร่วมสุข แต่ข้าจะขอร่วมทุกข์กับคุณหนูด้วย ข้าหวังว่าข้าจะแบ่งเบาความทุกข์ของคุณหนูได้ ข้าหวังว่าในยามที่คุณหนูตกอยู่ในอันตราย ข้าจะสามารถยืนอยู่ข้างหน้าคุณหนูได้” การแสดงออกของจินเหยียนดูเคร่งขรึมแต่ก็แฝงด้วยความโดดเดี่ยว