เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 107 คำนวณแผนการ
น่าเสียดายที่คุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวได้รับคำสั่งมาอย่างกะทันหัน ช่วงนี้ที่บ้านมีงานเลี้ยงอะไรบ้างนั้นนางไม่ได้ใส่ใจเท่าไรจริงๆ หากทำอะไรพลาดไป ด้วยสถานะของหวังซีนั้นไม่เพียงพอให้จวนเซียงหยางโหวต้องจัดงานเลี้ยงให้นางเป็นพิเศษเพื่อกลบรอยรั่วนี้
เรื่องเอ่ยปากชวนอีกฝ่ายจึงเป็นอันต้องพับเก็บไป
คุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวออกจากจวนหย่งเฉิงโหวไปอย่างเศร้าสร้อย
เมื่อกลับถึงบ้าน ในฐานะที่เป็นคนรุ่นเด็ก สิ่งที่แรกที่ต้องทำเมื่อกลับมาถึงบ้านคือไปคารวะผู้อาวุโส
ตอนที่นางมาถึงเรือนหลักของเซียงหยางโหวฮูหยินผู้เฒ่านั้น เซียงหยางโหวฮูหยินผู้เฒ่ากับเซียงหยางโหวฮูหยินกำลังหารือเรื่องเข้าวังไปคารวะฮองเฮาเหนียงเหนียงอยู่ คุณหนูห้าจึงรออยู่ในห้องโถงรับรองครู่หนึ่ง ผลปรากฏว่าได้พบกับอาสะใภ้รองที่ไปบ้านตระกูลสือของผู้บังคับบัญชากองพลทองคำซ้ายกลับมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเช่นกัน นางทำความเคารพอาสะใภ้รองอย่างยิ้มแย้ม กำลังคิดจะสอบถามถึงเหตุการณ์ที่บ้านตระกูลสือสักสองสามประโยคอยู่นั้น ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินสาวใช้ข้างกายบอกว่าอาสะใภ้รองกลับมาแล้ว จึงเชิญอาสะใภ้รองเข้าไปคุยด้วย ให้คุณหนูห้ารอไปก่อน
นี่เป็นเพราะรู้สึกว่าเรื่องของตระกูลสือสำคัญกว่าเรื่องของหวังซีนั่นเอง
คุณหนูห้าชินกับการปฏิบัติเช่นนี้แล้ว นางดื่มชารออย่างสบายๆ กระทั่งอาสะใภ้รองออกมา ฮูหยินผู้เฒ่ากับโหวฮูหยินหารือเรื่องเข้าวังเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงเรียกนางเข้าไปรายงาน
นางเองก็มิได้กล่าววาจาเกินจริง เล่าเรื่องที่เห็นและได้ยินมาให้ฮูหยินผู้เฒ่าฟังทั้งหมด
ฮูหยินผู้เฒ่าประหลาดใจมาก ถือจอกชาไว้ไม่กล่าวอะไรไปครู่ใหญ่
คุณหนูห้าจำต้องย้ำเตือนฮูหยินผู้เฒ่าว่า “ตอนแรกปั๋วหมิงเย่ว์บอกว่าเป็นเพราะคุณหนูหวังหลงรักคุณชายรองเฉิน เขาถึงได้ปฏิเสธงานแต่งมิใช่หรือเจ้าคะ เป็นไปได้หรือไม่ว่าคนที่หนุนหลังคุณหนูหวังอยู่คือคุณชายรองเฉิน?”
“เป็นไปไม่ได้!” ฮูหยินผู้เฒ่าคัดค้านตามสัญชาตญาณ แต่เมื่อกล่าวออกไปแล้ว นางก็รู้สึกอีกว่าอาจเป็นไปได้เช่นกัน เงยหน้าเห็นนัยน์ตาของคุณหนูห้าระยิบระยับด้วยความสงสัย นางอดกล่าวไม่ได้ว่า “ทำให้ตระกูลสือยอมถอยให้ คุณชายรองมีอำนาจทำเช่นนั้นได้จริงๆ อย่างไรก็ตาม หากจ่างกงจู่ต้องการหาสะใภ้ที่งดงาม คุณชายรองคงหมั้นหมายไปนานแล้ว ต่อให้มีเรื่องเช่นนี้จริง ก็เป็นได้แค่การแต่งตั้งอย่างลับๆ ของพวกเขาเท่านั้น เชิดหน้าชูตาไม่ได้”
คุณหนูห้ารู้สึกว่าที่ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวมามีเหตุผล เอ่ยถามว่า “เช่นนั้นพวกเราควรทำเช่นไรดีเจ้าคะ”
“นับถือกันอย่างไม่ไกลและไม่ใกล้เช่นนี้ไปก่อน” ฮูหยินผู้เฒ่าพึมพำกล่าว “กลัวแต่ว่าคุณชายรองคิดจะเป็นพ่อสื่อให้คุณหนูหวัง”
คุณหนูห้าเข้าใจเรื่องราวขึ้นมา
ต่อให้เฉินลั่วกับหวังซีรู้สึกดีต่อกันมากเพียงใด ก็ไม่อาจคัดค้านการจัดเตรียมของจ่างกงจู่หรือของฮ่องเต้ได้ หากเฉินลั่วชอบหวังซีจริง รอให้ถึงตอนที่ความรู้สึกของทั้งสองคนจืดจางลงรับหวังซีเป็นอนุหรือไม่ก็เลี้ยงเป็นอนุอยู่ข้างนอก ชีวิตนี้ก็มีเพียงเท่านี้ จวนเซียงหยางโหวจะให้ความสนใจนางหรือไม่ก็ไม่สลักสำคัญอะไรแล้ว กลัวก็แต่ว่าเฉินลั่วจะอาลัยความรักนี้ ออกหน้าให้หวังซีได้แต่งเป็นภรรยาเอกของบุตรหลานตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจให้กำเนิดบุตรชายเลี้ยงไว้ภายใต้นามของผู้อื่น นั่นก็เท่ากับเป็นความรักจริงๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นหวังซีหรือลูกล้วนมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเฉินลั่วทั้งสิ้น หากบุตรของหวังซีมีความสามารถ อาจถึงขั้นปลอมแปลงภูมิหลังของครอบครัวได้ด้วยซ้ำ
เรื่องราวในโลกมนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน หากเกิดเหตุการณ์นี้จริง ผู้ใดจะกล้ารับประกันว่าจวนเซียงหยางโหวจะไม่มีวันต้องขอความช่วยเหลือจากหวังซี
เรื่องเช่นนี้มิใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
อย่างเจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่า เล่ากันว่านางเคยเป็นหญิงคนสนิทของฮ่องเต้พระองค์ก่อนมาก่อน
คุณหนูห้ากล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นงานเลี้ยงของจวนชิงผิงโหวนั้น ข้าต้องไปหรือไม่เจ้าคะ”
นางหวังว่าก่อนตนออกเรือนที่บ้านจะให้นางสมาคมกับพวกหวังซีเท่านั้น เช่นนี้นางก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเหมือนผีเสื้อตอมดอกไม้ที่วันนี้สมาคมกับคนนี้พรุ่งนี้สมาคมกับคนนั้นแล้ว
หากมิใช่เพราะคนไร้ทักษะการเข้าสังคมจะมีชีวิตยากลำบากในจวนเซียงหยางโหวล่ะก็ นางยินดีซ่อนตัวอยู่ในบ้าน ทำงานเย็บปักหรือปลูกดอกไม้ทุกวันมากกว่า
ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า กล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ไปเถอะ!”
คุณหนูห้าขานรับคำ อยู่คุยกับฮูหยินผู้เฒ่าเหมือนที่ผ่านมาสองสามประโยคก่อนแล้วค่อยลุกขึ้นกล่าวขอตัว
***
เวลานี้ฮูหยินผู้เฒ่าจวนหย่งเฉิงโหวเองก็กำลังคุยเรื่องหวังซีกับซือหมัวมัวอยู่เช่นกัน
“แม้นกล่าวว่างานเลี้ยงของนางมีคนมาร่วมเพียงไม่กี่คน ทว่าจัดได้อย่างรอบคอบและเอาใจใส่ยิ่ง คุณหนูทั้งหลายต่างชื่นชม” ซือหมัวมัวกระซิบเล่าข้อมูลที่นางได้ยินมา “คุณหนูรองของจวนชิงผิงโหวยังชวนคุณหนูต่างสกุลไปเป็นแขกที่บ้านด้วย ด้านคุณหนูซือนั้น ได้ยินว่าเข้าวังไปนั่งรอกว่าครึ่งค่อนวันถึงได้พบองค์หญิงฟู่หยาง คุยกันไม่กี่ประโยคก็ถูกไล่ออกจากวังแล้ว คุณหนูซือคงรู้สึกเสียหน้า จึงพาคุณหนูสามไปเดินเล่นที่ตรอกเย็บปักย่านต้าจ้าหลาน ซื้อหนังมาหลายผืนบอกว่าจะทำผ้าโพกศีรษะส่งไปที่อวี๋หลิน ถึงได้กลับมาเย็นขนาดนี้”
ฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้ว ถามว่า “เรื่องฮองเฮาเหนียงเหนียงเป็นเหตุหรือเปล่า”
ราชวงศ์ปัจจุบันมีกฎอยู่ว่า ฮองเฮาจะจัดงานประชุมที่วังทุกๆ วันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าของเดือน แต่นับตั้งแต่ที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนเพิกถอนฮองเฮาสองคนติดๆ กันเป็นต้นมา กฎนี้ก็ถูกทำลายไปด้วย กระทั่งปั๋วฮองเฮาได้รับตราหงส์ แม้นกล่าวว่าอยากนำกฎมาปฏิบัติใหม่อีกครั้ง แต่ฮ่องเต้ทรงคิดว่าไม่มีความจำเป็น จึงเปลี่ยนเป็นการพบปะสตรีชั้นสูงจากนอกวังที่พระตำหนักคุนหนิงทุกวันที่หนึ่งของเดือนแทน
แต่เดือนนี้เนื่องจากฮองเฮาเหนียงเหนียงไม่ค่อยสบาย จึงยกเลิกงานประชุมไป
ต้องรู้ว่า ในวังหลังซูเฟยเหนียงเหนียงเป็นที่โปรดปรานที่สุดในหกตำหนัก เพื่อดึงความสนใจให้ตัวเองยังคงความโดดเด่นแล้ว ไม่ว่าจะมีพายุฝนหรือไร้แสงแดด ปั๋วฮองเฮาก็ไม่เคยขาดการประชุมมาก่อน
ทุกคนต่างคาดเดาถึงอาการป่วยของฮองเฮาเหนียงเหนียงไปต่างๆ นานาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างจวนเซียงหยางโหว ก็คงส่งเทียบขอเข้าเยี่ยมไปที่วังโดยตรงแล้ว
หย่งเฉิงโหวฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกว่าที่องค์หญิงฟู่หยางรีบไล่ซือจูออกมา ต้องเป็นเพราะจะรีบไปเฝ้าไข้ฮองเฮาเหนียงเหนียงอย่างแน่นอน นางกล่าว “พวกเราเองก็ควรเข้าวังไปดูสักหน่อยหรือไม่”
ซือหมัวมัวรีบกล่าว “ท่านย่อมสมควรไปดูสักหน่อยเจ้าค่ะ!”
เพียงแต่ว่าเมื่อก่อนหากมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น หย่งเฉิงโหวฮูหยินผู้เฒ่ามักจะนัดหมายไปพร้อมกับเซียงหยางโหวฮูหยินผู้เฒ่า บัดนี้ทั้งสองครอบครัวมีเรื่องบาดหมางกัน จึงไม่อาจร่วมทางไปด้วยกันแล้ว
แต่ฮูหยินผู้เฒ่ามีนิสัยชอบไกล่เกลี่ย คิดว่างานเลี้ยงของหวังซีคุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวยังมาร่วมงาน ต้องเป็นเพราะจวนเซียงหยางโหวอยากคืนดีกับจวนหย่งเฉิงโหวเป็นแน่ จึงกล่าวว่า “พวกเราควรจะสอบถามเซียงหยางโหวฮูหยินผู้เฒ่าสักหน่อยหรือไม่ว่าจะเข้าวังเมื่อใด”
ซือหมัวมัวไม่รู้จะกล่าวอะไรดีแล้ว
เรื่องเข้าวังย่อมต้องหารือกับโหวฮูหยิน จวนเซียงหยางโหวส่งแค่หลานสาวผู้หนึ่งมา แต่จวนหย่งเฉิงโหวของพวกนางต้องส่งฮูหยินไปกระนั้นหรือ
นั่นไม่สมราคาเกินไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม นางรู้ว่าเรื่องเช่นนี้คุยกับฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้แล้ว จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นข้าจะไปบอกโหวฮูหยินสักคำเจ้าค่ะ”
นางเชื่อว่าโหวฮูหยินต้องไม่ยอมสานสัมพันธ์กับจวนเซียงหยางโหวอีกแน่นอน เรื่องปฏิเสธนั้น ย่อมมีโหวฮูหยินเป็นคนพูดกับฮูหยินผู้เฒ่าเอง
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ถามอะไรอีกอย่างที่คาดเอาไว้ ซือหมัวมัวรีบนำความไปแจ้ง เอ่ยถึงงานเลี้ยงของจวนชิงผิงโหวขึ้นมาด้วย
***
ด้านหวังซี ผ่านไปสองวันถึงติดต่อเฉินลั่วได้
เฉินลั่วไม่ไร้เหตุผล ให้คนที่นางส่งไปนำความกลับมาแจ้งว่า คืนนี้ให้นางรอเขา เขามีเวลาว่างแล้วจะมาเยี่ยมนาง
หวังซีคิดว่าเขาเพิ่งกลับมาจากทำงานนอกสถานที่เป็นแน่ คงยังมีเรื่องให้ต้องจัดการอีกมากมาย จึงไม่กังวล โบกพัดอย่างสบายๆ ในใจตรึกตรองเรื่องที่งานเลี้ยงในวันนั้นไปด้วย คิดว่าเมื่อเจอเฉินลั่วแล้วจะพูดอะไรบ้าง รอเช่นนี้จนกระทั่งใต้ชายคาของทุกๆ เรือนในจวนต่างแขวนโคมไฟมังกรเอาไว้แล้ว ก็ยังไม่มีข่าวคราวมาจากเฉินลั่ว
คงมิใช่ว่าติดพันธุระอะไรแล้วกระมัง หวังซีพึมพำกล่าวอยู่ในใจ รออีกเกือบหนึ่งชั่วยาม เลยเวลาอาบน้ำของนางไปนานแล้ว มีเสียงตีกลองบอกเวลาดังเข้ามาจากนอกบ้านรางๆ แต่ก็ยังไม่มีข่าวคราวของเฉินลั่ว
นางจำต้องยอมแพ้ ไปอาบน้ำก่อน
ผู้ใดจะรู้ว่ากระทั่งนางอาบน้ำเสร็จ สางผมยุ่งเหยิงด้วยมือ ขณะที่กำลังลังเลว่าจะไปตากผมให้แห้งตรงลานบ้านหรือเป่าผมให้แห้งอยู่ที่ชานเรือนดีนั้น กลับมีเสียงหน้าต่างถูกเขวี้ยงด้วยก้อนหินดังขึ้นมา
ไม่มีทั้งลมและฝนเช่นนี้ ต่อให้หินก้อนนั้นจะแม่นยำเพียงใด ก็ไม่มีทางกระเด็นมาถึงหน้าต่างของนางได้
สัญชาตญาณของหวังซีบอกว่าเฉินลั่วมาแล้ว
นางรีบให้ไป๋จื่อไปเปิดหน้าต่าง ตะโกนเรียกสาวใช้เด็กมาเป่าผมให้อย่างรีบร้อน
มีเสียงของเฉินลั่วดังมาจากด้านนอกจริงๆ เขากล่าว “ไม่เป็นไร! ข้าคุยกับคุณหนูของพวกเจ้าเพียงสองประโยคก็ไปแล้ว”
เสียงของเขาดูเหน็ดเหนื่อยมาก ราวกับว่าต่อให้อยากปกปิดเพียงใดก็ไม่อาจปกปิดเอาไว้ได้
เหนื่อยเพียงนี้เชียว?
ตอนแรกหวังซีรู้สึกว่าเฉินลั่วปฏิบัติต่อนางอย่างสบายๆ เกินไป ไม่เห็นนางเป็นเด็กผู้หญิง กล่าวคือมีเด็กผู้หญิงคนไหนบ้างไม่อยากแต่งตัวให้เรียบร้อยยามเจอผู้คน แต่เมื่อนางได้ยินเสียงของเขา นางก็รู้สึกว่า เขาไม่เห็นนางเป็นเด็กผู้หญิงก็ดีเหมือนกัน พวกเขาเป็นพันธมิตรกันแล้ว หากพิถีพิถันเรื่องความต่างของชายหญิงมากเกินไป ยามร่วมมือกันคงไม่ค่อยสะดวกนัก
ก็เหมือนทำการค้า หากเด็กผู้หญิงให้ความสำคัญกับเพศของตัวเองมากเกินไป ก็ยากจะช่วงชิงสินค้า นอนกลางดินกินกลางทราย หรือทำเงินจากการขนสินค้าใต้ไปขายทางเหนือเหมือนเด็กผู้ชายได้
นางรู้สึกผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว คว้าผ้ามาห่อศีรษะแล้วเดินออกไป ยังกล่าวด้วยว่า “เหตุใดเจ้าถึงมาเอาป่านนี้ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า”
เฉินลั่วกลับไม่ว่าเวลาไหนก็ยังคงหล่อเหลาเช่นเดิม
ฟังจากเสียงดูเหน็ดเหนื่อยขนาดนั้น แต่เมื่อเห็นคนกลับดูไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียว
อากาศร้อนขนาดนี้ เขายังคงสวมชุดอี้ส่านคอป้ายด้านล่างเป็นกระโปรงจีบสีแดงทอลายสีทองอยู่เช่นเดิม ภายใต้แสงตะเกียงเสื้อตัวในสีขาวไร้ซึ่งฝุ่นเกาะ สะอาดสะอ้านจนเปล่งประกาย ทว่าก็มิได้สุกใสเท่าหมวกหยก ดูไม่ออกว่าเหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่นิดเดียว กระทั่งมองไม่ออกว่าดวงหน้ากระจ่างใสมีเหงื่อด้วยซ้ำ
ทันใดนั้นนางถามอย่างใส่ใจว่า “เจ้าเพิ่งกลับมาจากวังหลวงหรือ”
มีเพียงตอนเข้าเฝ้าเท่านั้น หากแต่งกายไม่เรียบร้อยจะถูกฟ้องร้อง ถึงต้องแต่งกายอย่างพิถีพิถันขนาดนี้?
“อื้อ!” เฉินลั่วตอบ สีหน้าเหน็ดเหนื่อยยิ่งเด่นชัดมากขึ้น
หวังซีจึงรู้สึกว่าตนไม่ควรใจแคบ รีบชี้ไปที่โต๊ะหินใต้ซุ้มองุ่นในลานบ้าน “นั่งลงมาคุยกันเถอะ!” แล้วก็สั่งการไป๋ซู่กับคนอื่นๆ ว่า “ไปยกน้ำบ๊วยเปรี้ยวมาถ้วยหนึ่ง แล้วก็หยิบพัดมาด้วยสองสามด้าม”
ไป๋ซู่และคนอื่นๆ รับคำแล้วจากไป ไม่เพียงยกน้ำบ๊วยเปรี้ยวที่แช่น้ำแข็งมาเรียบร้อย และหยิบพัดใบลานมาสองสามด้ามเท่านั้น ยังยกน้ำแข็งมาวางรอบๆ เฉินลั่วสองสามกะละมังอีกด้วย
เฉินลั่วดื่มน้ำบ๊วยเปรี้ยวเย็นที่หวานทว่าไม่เลี่ยนแล้ว สัมผัสได้ถึงลมเย็นที่ลอยมาปะทะใบหน้า ไม่เพียงรู้สึกผ่อนคลายเท่านั้น ยังสัมผัสได้ถึงความอิ่มเอมใจที่ไม่ได้พานพบมานานแล้ว
เหตุใดข้างกายเขาถึงไม่มีบ่าวไพร่ที่รู้ใจขนาดนี้อยู่บ้าง?
ชีวิตของหวังซีช่างสุขสบายมากเกินไปแล้วกระมัง!
แต่เขาไม่ได้กล่าวอะไรออกมา ความอิจฉาหนึ่งสายที่วาบผ่านเข้ามาในหัวใจก็ถูกเขาสลัดทิ้งไปอย่างรวดเร็ว
เขากล่าว “ข้าไปค่ายเทียนจินมา กลับมาก็ได้ยินว่าเจ้าตามหาข้า ข้ามีเรื่องอยากคุยกับเจ้าพอดี จึงปีนกำแพงเข้ามา”
หวังซีละอาย
เอาเรื่องปีนกำแพงมาพูดได้อย่างมั่นอกมั่นใจเช่นนี้ เขานับว่าเป็นคนแรกแล้ว!
เฉินลั่วอ่านความคิดของนางออก กล่าวอย่างไม่ยี่หระว่า “มีอะไรพิเศษ? ตอนข้าอายุเจ็ดแปดขวบก็ปีนกำแพงบ้านของจวนหย่งเฉิงโหวบ่อยๆ สำหรับข้าแล้วกำแพงบ้านของพวกเขาก็ไม่ต่างจากพื้นดินราบเรียบ มีก็เหมือนไม่มี”
แต่อย่างไรผู้อื่นก็ล้อมรั้วบ้านเอาไว้
เรื่องประเภทนี้ช่างสอดคล้องกับที่ว่ากุญแจป้องกันผู้ร้ายไม่ได้นั่นจริงๆ!
หวังซีคิดว่าหากตนโต้เถียงกับเขาด้วยเรื่องพวกนี้ คืนนี้ก็อย่าหวังจะได้นอนกันเลย นางจึงโยนเรื่องพวกนี้ทิ้งไป ถามเขาตามตรงว่า “เจ้ามีธุระอะไรกับข้าหรือ”
นางกลับดีดลูกคิดอยู่ในใจ ระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน เฉินลั่วก็เดินทางไปค่ายเทียนจินมาแล้วถึงสองครั้ง ทางโน้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
…………………………………………………………………………..