เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 114 เตือนสติ
เฉินลั่วตะลึงงันอยู่ตรงนั้น
จริงด้วย! เหตุใดเขาถึงไม่กล้าทูลถามเสด็จลุงไปตามตรงว่าธูปหอมในพระตำหนักเฉียนชิงได้มาจากที่ใด เหตุใดเขาถึงไม่กล้าทูลถามเสด็จลุงไปตามตรงว่าเงินของท่าเรือค่ายเทียนจินหายไปไหน เหตุใดเขาถึงไม่กล้าพาหมอไปตรวจชีพจรให้เสด็จลุงโดยตรง?
เพราะลุงของเขามิใช่คนธรรมดาสามัญ
อันดับแรกลุงของเขาเป็นฮ่องเต้ จากนั้นถึงเป็นลุงของเขา
เฉินลั่วราวกับมีสายฟ้าฟาดอยู่บนศีรษะ ถึงกับตัวสั่น
เขาสู้เด็กสาวในห้องหอที่ไม่เคยเข้าออกราชสำนักแม้แต่ครั้งเดียวอย่างหวังซีไม่ได้ด้วยซ้ำ
คำตอบชัดเจนกระจ่างแจ้งขนาดนั้น เพื่อให้ได้มาซึ่งความอบอุ่นใจเพียงเล็กน้อยนั่นแล้ว เขาถึงกับยอมเลือกที่จะปิดหูขโมยระฆัง เห็นแต่แสร้งทำเป็นไม่เห็น
บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาทำอะไรก็ทำได้ไม่ดีเสียที?
ตรวนที่เพียงบิดเบาๆ ก็บิดให้ขาดได้แล้ว แต่เขากลับปล่อยให้มันผูกมัดตัวเองไว้โดยไม่รู้ตัว
เฉินลั่วยืดหลังตรงขึ้นมาตามสัญชาตญาณ ราวกับทำเช่นนี้แล้ว จะรักษาแผ่นฟ้าขนาดเล็กของตัวเองผืนนั้นเอาไว้ได้
“คุณหนูหวังพูดถูก” เขากล่าวเสียงเบา น้ำเสียงเคร่งขรึม ทว่าไม่เห็นร่องรอยความหดหู่ผิดหวัง ตรงกันข้ามดูมั่นคงขึ้นมาเล็กน้อยหลังจากย่ำเท้าอยู่บนความเป็นจริงได้แล้ว “เรื่องนี้ข้าต้องคิดให้ละเอียดรอบคอบถึงจะใช้การได้ เพียงแต่ว่าเรื่องต่อจากนี้ เกรงว่าคงต้องขอให้ตระกูลหวังช่วยนำทางให้ด้วยถึงจะถูก”
หวังซีอดกลั้นเอาไว้ ถึงระงับอาการหาวเอาไว้ได้ โบกมือกล่าวอย่างพอเป็นพิธีว่า “ในเมื่อช่วยเจ้าแล้ว ย่อมไม่ผิดคำพูดง่ายๆ เจ้าวางใจเถอะ เรื่องของเจ้าก็เหมือนเป็นเรื่องของตระกูลหวังของพวกข้า ข้าจัดการไม่ได้ ก็จะขอให้พี่ชายใหญ่ของข้าออกหน้า อย่างไรก็ไม่มีทางทำให้เจ้าผิดหวังแน่นอน”
ไม่อย่างนั้นสิ่งที่ลงทุนไปก่อนหน้านี้มิเท่ากับเป็นการลงทุนเสียเปล่าหรอกหรือ
คำที่นางสาบานต่อหน้าพี่ชายใหญ่เอาไว้อย่างหนักแน่นจะไม่กลายเป็นเรื่องตลกไปแล้วหรอกหรือ
หวังซีสะลึมสะลือไม่รู้ว่าตัวเองกลับมาถึงห้องได้อย่างไร จำได้แค่ว่าเมื่อล้มตัวเข้าไปอยู่ในผ้าห่มอันแสนนุ่ม พริบตานั้นความสบายทำให้นางถอนหายใจเบาๆ เพียงไม่นานก็หลับฝันหวานไปเรียบร้อย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองพูดอะไรไปบ้าง แล้วเฉินลั่วพูดอะไรบ้าง
เมื่อตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น นางมองหยดน้ำบนดอกซิ่วฉิว[1]สีม่วงอ่อนหนึ่งช่อที่ปักใหม่อยู่ในแจกันดอกไม้ ถึงได้นึกขึ้นมาได้รางๆ ว่ากลางดึกของเมื่อคืนเหมือนตนจะได้พบกับเฉินลั่ว
นางรีบถามไป๋ซู่ที่ปรนนิบัตินางเปลี่ยนอาภรณ์ว่า “เมื่อวานใต้เท้าเฉินมาหาใช่หรือไม่ ข้าไม่ได้หมายถึงที่เขามาหาเมื่อช่วงเย็น ข้าหมายความว่าเขามาอีกครั้งตอนกลางดึกยามสามใช่หรือไม่”
ไป๋ซู่พยักหน้ายิ้มๆ กล่าวว่า “คุณหนูคุยกับใต้เท้าเฉินไปด้วย สัปหงกเหมือนไก่จิกข้าวสารไปด้วย ไม่รู้ว่ายังคุยกับใต้เท้าเฉินรู้เรื่องได้อย่างไร”
คิดๆ ดูแล้วยังน่าขันอยู่เลย
ดวงหน้าของหวังซีกกลับมืดครึ้มขึ้นมา
พี่ชายใหญ่ของนางเคยเตือนนางมากกว่าหนึ่งครั้งว่า เวลาที่สมองยังตื่นไม่เต็มที่ห้ามพูดกับผู้อื่นเป็นอันขาด จะได้ไม่ไปสัญญาในสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้ ทำร้ายทั้งผู้อื่นและตัวเอง
“แล้วเมื่อวานข้าพูดอะไรไปบ้าง” นางรีบถามต่อ
ไป๋จื่อที่เกล้าผมให้นางอยู่ข้างๆ หัวเราะคิกกล่าวแทรกขึ้นมาว่า “ท่านไล่พวกข้าไปรออยู่ด้านข้าง พวกข้าจึงได้ยินไม่ชัดนัก รู้เพียงท่านรับปากใต้เท้าเฉินไปว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นย่อมจะช่วยเหลือเขาทุกอย่าง ยังบอกให้ใต้เท้าเฉินไม่ต้องเป็นห่วง พูดอะไรทำนองว่าที่ใต้เท้าเฉิน ‘ไม่รู้โฉมหน้าที่แท้จริงของภูเขาหลูซาน ก็เพราะตัวคนอาศัยอยู่ในภูเขาแห่งนี้’ ยังบอกด้วยว่าเป็นเพราะใต้เท้าเฉิน ‘จิตใจว้าวุ่น’ หากเปลี่ยนเป็นท่าน เกรงว่าท่านเองก็คงดูไม่ออกเช่นกัน”
ไป๋ซู่ช่วยไป๋จื่อเปิดกล่องเครื่องประดับ ให้หวังซีเลือกปิ่นที่ต้องการประดับในวันนี้ กล่าวรับคำยิ้มๆ ว่า “ท่านยังชมใต้เท้าเฉินว่าเป็นเพราะมีความจงรักภักดี ถึงได้มองไม่ทะลุปรุโปร่ง หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่มีเจตนาซ่อนเร้น คงไปกองบัญชาการทหารทั้งห้าด้วยความยินดีปรีดาไปแล้ว ไหนเลยจะยังสนใจความเป็นความตายของเสด็จลุงอยู่อีก ให้ใต้เท้าเฉินวางใจลงชั่วคราวก่อน เมื่อไปถึงหัวสะพานเรือย่อมแล่นผ่านไปได้ คนใจร้อนไม่ได้กินบัวลอยร้อนๆ ให้รอดูปฏิกิริยาของผู้อื่นก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที”
หวังซีอยากเอามือปิดหน้าเอาไว้เหลือเกิน
นี่นางพูดอะไรออกไป?
แต่นางก็ค่อยๆ จดจำใบหน้าของเฉินลั่วที่ไม่ว่าส่วนไหนนางก็ชื่นชอบไปหมด ทว่าภายใต้แสงจันทร์กระจ่างกลับดูเศร้าสร้อยใบหน้านั้นขึ้นมาได้
นางไม่อยากยอมรับว่าแปดถึงเก้าในสิบส่วนเป็นเพราะตัวเองถูกความหล่อเหลาล่อลวง นางคิดว่าน่าจะเป็นเพราะตนเห็นใจสงสารเฉินลั่วที่ไม่มีญาติสนิทมากกว่า
“เมื่อคืนข้าพูดเช่นนั้นกับเฉินลั่วจริงๆ หรือ” นางพยายามดิ้นรน ทั้งๆ ที่รู้ว่าไร้ประโยชน์แต่ก็ยังคงถามต่ออย่างไม่ถอดใจ “ข้าคงไม่โง่เขลาขนาดนั้นหรอกกระมัง”
ภายในห้องเงียบสงัด
เวลานี้ต่อให้หวังซีไม่อยากมุดศีรษะเข้าไปในทรายก็ต้องทำแล้ว!
***
ด้านเฉินลั่ว เมื่อกลับถึงศาลากวางร้องกลับไม่ได้นอนเลยทั้งคืน
เขายืนอยู่ข้างหน้าต่างมองเรือนหลักของจวนจ่างกงจู่และทิศตะวันออกที่เจิ้นกั๋วกงพักอยู่จนกระทั่งขอบฟ้าตะวันออกมีแสงขาวจางๆ เทียนสีแดงถูกเผาไหม้จนหมด ถึงได้กล่าวกับเฉินอวี้ที่อยู่เป็นเพื่อนเขามาตลอดทั้งคืนด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าว่า “สั่งการให้บ่าวชายตักน้ำเข้ามาเถอะ! ข้าเองก็ควรจะเปลี่ยนชุดไปประชุมเช้าแล้วเหมือนกัน”
เฉินอวี้ขานรับอย่างนอบน้อมแล้วออกจากประตูไป ทว่าน้ำตากลับไหลลงมาไม่หยุด
ใต้เท้าของพวกเขามีชีวิตที่ขมขื่นเกินไปแล้ว
ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าเจิ้นกั๋วกงลำเอียง!
ในเมื่ออยากให้เฉินอิงสืบทอดตำแหน่งเจิ้นกั๋วกงมากขนาดนี้ เหตุใดยังต้องการเสกสมรสกับองค์หญิงอีก ผู้ใดไม่รู้ว่าไม่อาจบีบบังคับบุตรชายขององค์หญิงได้ บรรดาตระกูลที่คิดจะเสกสมรสกับองค์หญิง เพื่อรักษาความเป็นระบบระเบียบของลำดับอาวุโสระหว่างบุตรชายคนโตคนเล็กจากภรรยาเอกแล้ว ผู้ใดให้บุตรชายคนโตของตระกูลเสกสมรสกับองค์หญิงบ้าง? ล้วนให้บุตรชายคนรองหรือไม่ก็บุตรชายคนเล็กไปดองด้วยทั้งนั้น
เจิ้นกั๋วกงเป็นคนเฉลียวฉลาดขนาดนั้น จะไม่รู้ความร้ายแรงของเรื่องนี้ได้อย่างไร
อย่าพูดว่าเพราะเป็นสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้เลย หากมิใช่เพราะเจิ้นกั๋วกงเข้าหาฮ่องเต้เอง ฮ่องเต้จะพระราชทานสมรสให้หรือ
นอกจากนี้ต่อให้เป็นสมรสพระราชทานทำให้ปฏิเสธไม่ได้ แต่จ่างกงจู่ก็มิได้ต้องการเข้าหาเจิ้นกั๋ว เขามีเหตุผลพอให้ต่างคนต่างเกรงใจกัน เป็นเพียงสามีภรรยากันแค่ในนาม เหตุใดต้องให้กำเนิดใต้เท้าของพวกเขามาด้วย?
มิใช่เพราะอยากประจบประแจงฮ่องเต้ อยากให้จ่างกงจู่ให้ความสำคัญกับจวนเจิ้นกั๋วกง ช่วงชิงผลประโยชน์มาให้จวนเจิ้นกั๋วกงหรอกหรือ
ยิ่งคิดเฉินอวี้ก็ยิ่งโมโห รู้สึกว่าเจิ้นกั๋วกงก็เหมือนอย่างที่คนในตลาดเหล่านั้นพูดกันที่ว่า ‘เป็นหญิงคณิกาแล้วยังอยากจะสร้างซุ้มประตู’ ทั้งอยากได้ประโยชน์ และไม่คิดจะจ่ายราคาค่างวด
แต่เช่นนั้นแล้วเจ้าดูแลเฉินอิงให้ดี ให้เฉินอิงเก่งทั้งบู๊และบุ๋น กดทับใต้เท้าของพวกเขาให้ได้ก็ได้นี่นา เฉินอิงกลับไม่เอาไหน เจิ้นกั๋วกงเชิญอาจารย์มากมายมาสอนเขาก็สู้เฉินลั่วไม่ได้ ทั้งยังเป็นคนคิดมาก เบื้องหน้าปฏิบัติกับใต้เท้าของพวกเขาอย่างถ่อมตัวให้เกียรติ ลับหลังปรารถนาให้ใต้เท้าของพวกเขาเป็นดั่งดินโคลนที่ขึ้นไปบนกำแพงไม่ได้ แต่ไม่ออกหน้าด้วยตัวเอง ปล่อยให้พี่สาวร่วมอุทรของตัวเองออกหน้าให้เขา ไม่สนใจว่าชื่อเสียงของเฉินเจวี๋ยจะเป็นอย่างไร ขอเพียงตัวเองได้ชื่อเสียงดีได้รับการสรรเสริญก็พอ
ไม่มีพี่ชายที่ไหนไร้ความสามารถและจิตใจชั่วร้ายเท่าเขาอีกแล้ว
นึกมาถึงตรงนี้ เฉินอวี้รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้
หากใต้เท้าของพวกเขาพานพบกับเรื่องเช่นนี้ ไม่มีทางปล่อยให้ผู้อื่นออกหน้าแทนเขา ส่วนตัวเองหลบอยู่ด้านหลัง รับผลประโยชน์แล้วยังแสร้งทำว่าตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเช่นนั้นอย่างแน่นอน
นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่บิดาของเขาดูแคลนเฉินอิงเป็นอย่างมาก
เฉินอิงไม่มีความรับผิดชอบเลยแม้แต่นิดเดียว
เจิ้นกั๋วกงเองก็มิใช่คนดีอะไรเช่นกัน
บัดนี้ยังต้องการขวางทางใต้เท้าของพวกเขาอีก บอกให้ใต้เท้าของพวกเขาหลีกทางให้เฉินอิง ทำเกินไปแล้ว
เฉินอวี้ตักน้ำเข้ามา สั่งการให้บ่าวชายปรนนิบัติเฉินลั่วผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ ส่วนตัวเองกลับเดินวนไปวนมาอยู่รอบกายเฉินลั่ว ทำเอาเฉินลั่วเวียนศีรษะไปหมด จำต้องถามเขาว่า “เจ้ามีอะไรจะพูดก็พูด มัวแต่ละล้าละลังอยู่เช่นนี้ ระวังข้าจะทำให้เจ้าเปิดปากพูดไม่ได้ตลอดไป”
เฉินอวี้ยิ้มแหย กล่าวว่า “หากท่านไปเป็นผู้ช่วยผู้บังคับบัญชาที่กองบัญชาการทหารทั้งห้า มิเท่ากับว่าท่านกั๋วกงก็จะได้แต่งตั้งคุณชายใหญ่เป็นซื่อจื่อหรอกหรือ เหตุใดท่านกั๋วกงต้องไม่พอใจ และยังต้องการให้ท่านไปปฏิเสธตำแหน่งผู้ช่วยผู้บังคับบัญชาที่กองบัญชาการทหารทั้งห้าอีก?”
“เพราะเขาขี้ขลาดไร้ความสามารถ” เฉินลั่วยังคิดถึงถ้อยคำของหวังซี ไม่คิดจะปกปิดให้บิดา พูดอย่างที่พอใจว่า “ผู้อื่นต่างคิดว่าบิดาข้าไปขอแต่งตั้งซื่อจื่อให้เฉินอิงแล้ว แต่ฮ่องเต้ไม่เห็นด้วย ซึ่งความเป็นจริงแล้วเขาไม่เคยไปขอแต่งตั้งซื่อจื่อกับราชสำนักและไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้ต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้มาก่อน คิดจะรอให้ฮ่องเต้เป็นคนเอ่ยปากถามเขาก่อนว่าต้องการแต่งตั้งผู้ใดเป็นซื่อจื่อหรืออย่างไร”
เฉินอวี้คิดๆ ดูแล้วเห็นเป็นเช่นนั้นจริงๆ
เจิ้นกั๋วกงไม่เคยไปขอแต่งตั้งซื่อจื่อกับราชสำนักอย่างเป็นทางการมาก่อน แน่นอนว่าฮ่องเต้ย่อมยินดียื้อเวลาต่อไปเรื่อยๆ เช่นนี้ ให้ใต้เท้าของพวกเขาสืบทอดตำแหน่ง
แต่เฉินลั่วกลับคิดต่างกัน เขากล่าวถ้อยคำดังกล่าวเสร็จ ก็แน่นิ่งไปทั้งร่าง
ถ้าหากเขาเป็นฮ่องเต้ เขาจะทำอย่างไร
ความหมายโดยนัยของสิ่งที่หวังซีกล่าวมาเมื่อวานล้วนบอกให้เขาลองยืนอยู่ในตำแหน่งของอีกฝ่ายแล้วคิดพิจารณาเรื่องราวดู ก็เหมือนเวลาพวกนางทำการค้า ถ้าไม่รู้ว่าคนซื้อของต้องการอะไรบ้าง จะขายสินค้าออกไปได้อย่างไร
เฉินลั่วนึกถึงท่าทางไร้เดียงสายามสัปหงกของหวังซีเมื่อวาน มุมปากอดเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมาไม่ได้ ราวกับว่าอารมณ์ก็เบิกบานขึ้นมาไม่น้อยด้วย
แต่อารมณ์เช่นนี้คงอยู่ไม่นาน เขานึกถึงว่าหากใช้หลักการที่หวังซีกล่าวมาไปคิดเรื่องเลื่อนตำแหน่งของเขา ผลที่ได้ทำให้เขาหวาดหวั่น
ถ้าหากเขาเป็นฮ่องเต้….
เฉินลั่วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ไปประชุมเช้ากันเถอะ!”
เฉินอวี้มองเขาด้วยความตกใจครั้งหนึ่ง
น้ำเสียงของใต้เท้าของพวกเขาเย็นชาเกินไป สีหน้าดุดันเกินไป และท่าทางก็เคร่งขรึมเกินไป คล้ายกำลังไปรบไม่ใช่ไปประชุมเช้า
เมื่อก่อนก็มีเวลาที่ใต้เท้าของพวกเขาไม่อยากไปประชุมเช้า และมีตอนที่สีหน้าไม่สู้ดีเช่นกัน ทว่าไม่เคยมีตอนไหนเหมือนตอนนี้ ที่แฝงไอสังหารเอาไว้ ทำให้แค่มองคนก็รู้สึกหวาดกลัวแล้ว
มิใช่บอกว่าฮ่องเต้จะเลื่อนตำแหน่งให้ใต้เท้าของพวกเขาหรอกหรือ นั่นหมายความว่าต้องโปรดปรานใต้เท้าของพวกเขามากนี่นา แต่เหตุใดใต้เท้าของพวกเขาถึงมีท่าทางเช่นนี้?
เฉินอวี้คิดไม่ตก เก็บความสงสัยไว้ในใจรีบสาวเท้าออกไป เริ่มจัดเตรียมการเดินทางให้เฉินลั่ว
ด้านหวังซีกลับได้รับจดหมายของครอบครัวส่งมาจากสู่จง
นอกจากการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบและคำย้ำเตือนจากบิดามารดาและพี่ชายรองแล้ว ยังมีโฉนดที่ดินของเขาซื่อกู้และไข่มุกอีกหนึ่งกล่องที่ท่านย่าของนางมอบหมายให้คนนำมาส่งให้ด้วย
ไข่มุกเป็นของขวัญตอบแทนที่หวังซีคัดพระธรรมให้นาง ส่วนโฉนดที่ดินมอบให้ไห่เทา
หวังสี่ที่ได้รับคำสั่งให้ไปเอาจดหมายมาจากหลงจู๊ใหญ่กล่าวกับนางด้วยน้ำเสียงเจือความซุกซนหลายส่วนว่า “นายหญิงผู้เฒ่าบอกว่า นางกำลังเป็นกังวลอยู่ว่าจะซื้อที่ดินตรงไหนเป็นสินเจ้าสาวให้ท่าน ก็ได้ยินว่าท่านถูกใจเขาซื่อกู้พอดี นี่ช่างดียิ่งแล้ว ในที่สุดโฉนดที่ดินที่โยนให้นางเพื่อเติมสินเจ้าสาวให้เต็มในปีนั้นก็ได้ใช้ประโยชน์ นางได้ปลดภาระนี้ออกไป เรื่องที่ดินสินเจ้าสาวของท่านก็ได้รับการแก้ไข นางไม่ต้องดึงเงินส่วนตัวไปหาซื้อสินเจ้าสาวมาชดเชยให้ท่านแล้ว เขาซื่อกู้นี้เป็นของท่านแล้ว ท่านอยากเอาไปทำอะไรก็เอาไปทำได้เลย!”
ท่านย่ายังคงเป็นคนอารมณ์ขันเหมือนเดิม หวังซีหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ เขียนจดหมายกลับไปประจบประแจงฉบับหนึ่ง จากนั้นให้หวังสี่นำโฉนดที่ดินไปที่วัดเจินอู่ กล่าวว่า “เป็นอันว่าจัดการได้หนึ่งเรื่องแล้ว”
หวังสี่รับคำยิ้มๆ ออกเดินทางไปวัดเจินอู่
หวังซีจึงเปิดหน้าต่างออก นั่งอยู่บนเตียงเตาตัวใหญ่ข้างหน้าต่าง อาศัยแสงสว่างสุกใสของดวงตะวันยามบ่ายชื่นชมไข่มุกกองนั้น
ของที่ท่านย่าของนางส่งมาให้ล้วนเป็นของดีทุกอย่าง
ไข่มุกในกล่องนี้มีขนาดใหญ่เท่าเมล็ดบัวทั้งหมด ประกายมุกระยิบระยับ ผิวละเอียดงดงาม
ไป๋กั่วเสนอความคิดให้นางว่า “ร้อยเป็นเสื้อไข่มุก เอาไว้สวมใส่ตอนที่ท่านไปเป็นแขกที่บ้านของคุณหนูลู่ดีหรือไม่เจ้าคะ”
หวังซีมีเครื่องประดับมากมาย ในสายตาของผู้อื่นไข่มุกกล่องนี้ย่อมเป็นของหายาก แต่เมื่ออยู่ในมือหวังซี ก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไรดี
นางได้ยินแล้วเบ้ปาก กล่าวว่า “ร้อยเป็นเสื้อไข่มุกอะไรกัน ข้ามิใช่นายหญิงชราเสียหน่อย เก็บไว้ให้ข้าเล่นสักสองสามชิ้นก็พอ ที่เหลือมอบให้พวกเจ้าเอาไปทำเป็นที่คาดผมสวมใส่ดีกว่า”
ไป๋กั่วและคนอื่นๆ มักจะได้รับของรางวัลจากหวังซีอยู่เสมอ รู้ว่าหวังซีไม่ค่อยให้ความสำคัญกับของพวกนี้ ได้รับไข่มุกดีขนาดนี้ ทุกคนต่างยิ้มแป้น ก้าวออกไปกล่าวขอบคุณหวังซี กล่าวถ้อยคำประจบประแจงต่างๆ ยังไม่ถึงเทศกาลปีใหม่ ทว่าก็ดูครึกครื้นเหมือนเทศกาลปีใหม่แล้ว
ตอนที่ฉังเหยียนเหยียบย่างเข้ามาในสวนร่มหลิว สิ่งที่เห็นจึงเป็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าว
………………………………………………………………..
[1] ดอกซิ่วฉิว ดอกไฮเดรนเยีย