เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 122 อย่างง่ายดาย
ความรู้สึกที่ปั๋วหมิงเย่ว์มีต่อเฉินลั่วนั้นค่อนข้างซับซ้อน ตอนเด็ก เขารู้เพียงว่าพี่ชายผู้นี้เก่งกาจกว่าเขาทั้งเรื่องเรียนและขี่ม้ายิงธนู แล้วก็สนิทสนมกับองค์ชายในวังมากกว่าเขาด้วย ประกอบกับเคยถูกเฉินลั่วยิงธนูใส่ด้วยความเข้าใจผิดมาก่อน เขาจึงพยายามหลบเฉินลั่ว แต่เมื่อโตขึ้นแล้ว เขารู้สึกเพียงว่าเฉินลั่วน่าสงสาร
ต่อให้เรียนหนังสือเก่งกว่านี้แล้วมีประโยชน์อะไร ขี่ม้าเก่งกว่านี้แล้วอย่างไร ได้รับความโปรดปรานมากกว่าเขาแล้วอย่างไร
เมื่อไร้การปกป้องจากบิดามารดา ของเหล่านี้ล้วนไร้ประโยชน์
เมื่อเขามองเฉินลั่วอีกครั้ง ไม่รู้ว่ารู้สึกเห็นใจหรือเศร้าใจมากกว่ากัน
บัดนี้ชิ่งอวิ๋นโหวให้เขาเอาเรื่องนี้ไปบอกเฉินลั่ว เห็นชัดว่าต้องการลากเฉินลั่วลงน้ำ ถึงเขาไม่รู้ว่าปีศาจใต้น้ำจริงๆ คืออะไร แต่แผนการที่บิดาแย้มออกมาให้เห็นรางๆ เหล่านั้น เขาพอจะสัมผัสถึงมันได้
“เช่นนี้ เหมาะสมหรือ” ปั๋วหมิงเย่ว์กล่าวอย่างไม่แน่ใจ “ฮ่องเต้ตามใจเขามาตลอด เขาเองก็เทิดทูนกตัญญูต่อฮ่องเต้ ต่อให้บอกเขาแล้ว เขาก็คงไม่ไปโวยวายต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้อยู่ดี!”
“เจ้าทำตามที่ข้าบอกก็พอ” ชิ่งอวิ๋นโหวยิ้มตาหยีขณะกล่าว “ส่วนเรื่องที่เหตุใดต้องทำเช่นนี้ ตอนนี้ข้ายังบอกเจ้าไม่ได้ รอวันไหนน้ำลดความจริงปรากฏ ข้าค่อยเล่าให้เจ้าฟังดีๆ”
ให้ความรู้สึกกำลังสอนเรื่องการปฏิบัติตัวให้บุตรชายหญิงอยู่
ปั๋วหมิงเย่ว์ครุ่นคิด รู้สึกว่าต่อให้บิดาของตัวเองอยากคิดบัญชีเฉินลั่วก็ไม่น่าจะคิดบัญชีเขาด้วย แน่นอนว่าย่อมยินดีให้ผู้อื่นตายมากกว่าตัวเอง เขารีบโยนความไม่สบายใจเล็กน้อยเหล่านั้นทิ้งไปให้ไกลแสนไกล ยิ้มหน้าทะเล้น กลับมามีท่าทางเป็นหนุ่มเจ้าสำราญที่ทุกคนในเมืองหลวงคุ้นเคยผู้นั้นอีกครั้ง กล่าวว่า “ข้าช่วยท่านพ่อเอาไว้ครั้งใหญ่ขนาดนี้ ท่านต้องให้รางวัลข้าสักหน่อยกระมัง ของรางวัลอื่นท่านให้มาข้าก็ไม่ได้ใช้ ท่านให้คลังกองกลางเพิ่มเบี้ยรายเดือนให้ข้าสักห้าสิบตำลึงดีกว่า ตอนนี้ข้าโตแล้ว ต้องออกไปข้างนอก ไปไหนก็ต้องใช้เงิน เบี้ยรายเดือนเพียงเล็กน้อยนั่น ข้าใช้ไม่ถึงสิ้นเดือนด้วยซ้ำ ผู้อื่นชวนข้าไปดื่มน้ำชาข้าล้วนไม่กล้าออกไป ท่านเห็นใจสงสารบุตรชายเถอะ ให้บุตรชายได้ออกจากบ้านอย่างมีหน้ามีตาบ้าง!”
ชิ่งอวิ๋นโหวได้ยินแล้วลุกพรวดขึ้นมาจะตีเขา กล่าวว่า “เดือนหนึ่งเจ้าได้เบี้ยรายเดือนยี่สิบตำลึง แม่ของเจ้าแอบเพิ่มให้เจ้าอีกยี่สิบตำลึง ย่าของเจ้าก็แอบเพิ่มให้เจ้ายี่สิบตำลึง น้าชายของเจ้าก็แอบเพิ่มให้เจ้าสิบตำลึง และยายของเจ้าก็ให้อีกสิบห้าตำลึง ยังอยากได้เบี้ยรายเดือนเพิ่มอีก? อย่าคิดว่าข้าไม่สนใจเรื่องในบ้านแล้วจะไม่รู้ว่าพวกเจ้ากำลังทำอะไรอยู่”
เขาหยิบที่ทับกระดาษบนโต๊ะมาจะตีคน
ปั๋วหมิงเย่ว์มือกุมศีรษะวิ่งหนีไปประหนึ่งหนู วิ่งไปหลบภัยที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่า
ชิ่งอวิ๋นโหวมองเงาหลังของบุตรชายที่วิ่งหนีไปอย่างลนลานแล้วหัวเราะเสียงดัง ถึงตระหนักได้ว่าการที่บุตรชายสร้างเรื่องจอแจเช่นนี้ ทำให้อารมณ์ของเขาผ่อนคลายตามลงมาด้วย
***
เมื่อเฉินลั่วได้รับข่าว ก็ผ่านไปสามวันแล้ว
เขามองเว่ยไหวที่มาส่งข่าว รู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้เล็กน้อย
ตระกูลปั๋วอยากใช้ประโยชน์จากเขา เขาเองก็อยากใช้ประโยชน์จากตระกูลปั๋ว สุดท้ายแล้วทุกคนต่างอยากซุ่มยิงอยู่ข้างหลัง ดูทีแล้วต่อให้อยากร่วมมือด้วยก็มิใช่เรื่องง่ายดายขนาดนั้น
เว่ยไหวคิดถึงคราวก่อนที่เขานำข่าวไปส่งที่วัดอวิ๋นจวี นึกถึงเรื่องที่ในตลาดเล่าลือกันเกี่ยวกับปั๋วหมิงเย่ว์ เฉินลั่วและคุณหนูต่างสกุลจวนหย่งเฉิงโหว เขาอดหันไปขยิบตาให้เฉินลั่วไม่ได้ กล่าวว่า “ปั๋วหมิงเย่ว์หมายความว่าอย่างไรกันแน่ คงมิได้อยากให้ท่านออกหน้าหรอกกระมัง เขาช่างดูถูกท่านเกินไปแล้ว”
เฉินลั่วเลิกคิ้ว ตอบ “อื้อ” เสียงหนึ่งแต่ไม่แสดงความเห็นอะไร ในใจกลับตรึกตรองเจตนาของปั๋วหมิงเย่ว์
ที่ลากเขาลงน้ำ เป็นความคิดของปั๋วหมิงเย่ว์หรือความคิดของชิ่งอวิ๋นโหวกันแน่?
หากเป็นความคิดของปั๋วหมิงเย่ว์ ปั๋วหมิงเย่ว์ก็แค่อยากเห็นเรื่องตลกของเขาเท่านั้น แต่ถ้าเป็นความคิดของชิ่งอวิ๋นโหว เช่นนั้นก็มีเรื่องสนุกแล้ว!
ดวงหน้าของเฉินลั่วแต้มยิ้ม ทว่ากำหมัดแน่น
เมื่อท่าทีนี้ของเขาตกไปอยู่ในสายตาของเว่ยไหว เขาอดคิดไม่ได้ว่าเป็นอาการของคนหึงหวง
เว่ยไหวครุ่นคิด กล่าวว่า “ใต้เท้าเฉิน ท่านอย่าหาว่าข้าอาศัยที่ตัวเองอายุมากกว่าท่านแล้วพูดจาโอ้อวดไปบ้างเลย ข้าว่าด้านคุณชายปั๋วนั้น ท่านต้องหาวิธีแก้ไขสักอย่างถึงจะถูก ตอนแรกจวนเซียงหยางโหวเป็นแม่สื่อให้เขากับคุณหนูต่างสกุลจวนหย่งเฉิงโหวอย่างเป็นทางการ แม้นบอกว่าตอนนั้นปั๋วหมิงเย่ว์ปฏิเสธไปแล้ว แต่ต่อมาเขาก็รู้สึกเสียใจภายหลังมิใช่หรือ ยังส่งของไปขอโทษคุณหนูต่างสกุลจวนหย่งเฉิงโหวอีกหนึ่งคันรถด้วย…
…ข้าคิดว่า เรื่องนี้ท่านต้องให้บทเรียนเขาสักครั้งถึงจะถูก ไม่ว่าอย่างไร เขาก็เป็นแค่ขุนนางตัวเล็กยศขั้นเจ็ดไร้การงานที่อาศัยร่มเงาของบรรพบุรุษได้รับการแต่งตั้งเข้ามาเท่านั้น แต่ท่านเป็นขุนนางใหญ่ยศขั้นสามบนที่น่านับถือจริงๆ”
กล่าวถึงตรงนี้ เขาก็นึกถึงข่าวลือที่ได้ยินมาเมื่อสองสามวันก่อน ถามขึ้นอย่างอดไม่อยู่ว่า “ข้าได้ยินว่าฮ่องเต้มีพระประสงค์ให้ท่านไปดำรงตำแหน่งที่กองบัญชาการทหารทั้งห้า รับผิดชอบการศึกที่หมิ่นหนานโดยเฉพาะ มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือไม่ ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะติดตามท่าน หากท่านไปกองบัญชาการทหารทั้งห้า ช่วยย้ายข้าไปด้วยได้หรือไม่”
ใครไม่รู้บ้างว่ามีเทพแห่งความตายอย่างเหยียนเจิ้งอยู่ด้วยผู้หนึ่ง อีกไม่นานการศึกที่หมิ่นหนานก็จะจบสิ้นลง ใกล้ถึงเวลาแจกจ่ายรางวัลแล้ว เวลานี้ผู้ใดมีความสามารถได้มีส่วนร่วมกับการศึกที่หมิ่นหนานต่อไปผู้นั้นเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน เอาผลงานการศึกครั้งนี้ไปโอ้อวดยี่สิบปี และได้รับการสรรเสริญไปยี่สิบปี
ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานหลานชายผู้นี้จริงๆ เห็นโอกาสดีก็ใช้อำนาจเบียดเฉินลั่วเข้าไปเลือกลูกท้อจากผลงานของผู้อื่นด้วย
เฉินลั่วตะลึงงัน
เขารู้ว่าข่าวลือนั้นยิ่งลือก็ยิ่งเกินจริง แต่เขาคิดไม่ถึงว่ามันจะลือต่อไปจนพิลึกถึงเพียงนี้แล้ว
“นี่เจ้าไปฟังใครพูดจาเหลวไหลมา” เขาได้แต่กล่าวกับเว่ยไหวอย่างไร้ทางเลือกว่า “คำพูดเช่นนี้เจ้าก็เชื่อ? ต่อให้ฮ่องเต้ยอม ข้ายอม ก็ยังต้องดูว่าเหยียนเจิ้งเห็นด้วยหรือไม่!”
เหยียนเจิ้งผู้นี้เก่งทั้งบู๊และบุ๋น มีพรสวรรค์และมากความสามารถ เปรียบเทียบกับชิ่งอวิ๋นโหวผู้เฒ่าเมื่อสี่สิบปีก่อนแล้ว เนิ่นนานหลายปีขนาดนี้เขาล้วนเวียนวนอยู่ที่หมิ่นเจ้อซูตลอด ไม่เข้าจิงเฉิงเลย แค่คิดก็พอจะจินตนาการได้แล้วว่าเขาเป็นคนเช่นไร
เว่ยไหวยิ้มแหยลูบศีรษะเบาๆ กล่าวว่า “มิใช่เพราะพวกเราต่างก็คาดหวังให้ท่านได้เลื่อนตำแหน่งหรอกหรือ ถึงเวลาจะได้พาพวกพี่น้องไปด้วย!”
คำพูดนี้ทำให้เฉินลั่วคิดตาม
คนส่วนใหญ่ในกองพลส่วนพระองค์ของฮ่องเต้ล้วนไม่ต่างจากเว่ยไหว อยากก่อร่างสร้างตัวด้วยตัวเองก็ทำไม่ได้ แต่ถ้าไม่ก่อร่างสร้างตัวด้วยตัวเองที่บ้านก็ไม่มีของมากมายมอบให้พวกเขา เบื้องหลังของแต่ละคนจึงมีวงศ์วานที่สลับซับซ้อนอยู่ด้วย
เขารับไว้ใช้งานได้หรือไม่นะ?
ยิ่งคิดเฉินลั่วก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นยินดี เขาไล่เว่ยไหวออกไปอย่างปุบปับ เดินไปถึงหน้าประตูร้านเจกุ้ยซุ่นแล้วก็เลี้ยวกลับมา ไปร้านเฉียวจยาที่ขายขนมเจียงซูโดยเฉพาะแทน ซื้อขนมพิชิตชัย ขนมเกาลัด ขนมปั้นขลิบ ขนมขดธูป ขนมกระดานหมากและอื่นๆ หนึ่งกองใหญ่ บ่าวชายสามถึงสี่คนเดินไปกลับกว่าหลายเที่ยวถึงขนของไปเก็บที่รถม้าเสร็จ จากนั้นเขาไปซื้อแตงหวาน ลูกไหน ลูกหลี และองุ่นด้วย นอกจากนี้ยังวกกลับไปที่จวนจ่างกงจู่อีกครั้ง ขนลิ้นจี่บรรณาการจากฝูเจี้ยนสองตะกร้าไปวัดอวิ๋นจวี
หวังซีกับฉังเคอกำลังล่อหลอกอาหลีเล่นอยู่
หากอาหลีนับเม็ดหมากล้อมขาวดำบนโต๊ะได้ พวกนางจะให้แม่ครัวทำน้ำแข็งบดถั่วเขียวให้เขากินหนึ่งถ้วย
เด็กชายนั่งคุกเข่าอยู่บนเบาะนั่งสีสันสดใสตามแบบฉบับของซื่อชวน นับหมากล้อมบนกระดานหมากอย่างเอาจริงเอาจัง “หกสิบเจ็ด หกสิบแปด หกสิบเก้า…”
มือขวาของเขาขยับเม็ดหมากล้อม มือซ้ายงอนิ้วนับไปตามข้อ คนไม่รู้อาจคิดว่าเป็นเพียงท่าทางที่เด็กน้อยทำโดยไม่ตั้งใจ ทว่าคนที่รู้กลับมองออกว่าเด็กคนนี้กำลังใช้วิชาเลขนับเลขอยู่
วิธีคำนวณประเภทนี้ปกติใช้กับคัมภีร์แห่งการเปลี่ยนแปลง ตอนหวังซีเป็นเด็กเคยเรียนกับสหายผู้ละกิเลสทางโลกท่านหนึ่งของท่านปู่นาง แต่เวลานั้นนางไม่รู้ว่าวิธีนับเลขแบบนี้ล้ำค่ามาก อีกทั้งชอบทำเสื้อผ้าใหม่ๆ ให้ตุ๊กตาไม้มากกว่า ทำความเข้าใจเพียงคร่าวๆ ได้ครู่เดียวก็ยอมแพ้ ท่านปู่ของนางกับสหายของเขาก็ไม่ว่าอะไร จึงปล่อยให้นางทิ้งการเรียนมันไปเช่นนั้น
วันนี้มาคิดดูแล้ว หวังซีรู้สึกละอายเล็กน้อย
ส่วนฉังเคอพอจะมองออกเล็กน้อย นางกลัวจะรบกวนเด็กน้อย จึงกระซิบที่ข้างหูหวังซีว่า “อาเก้าของเขาผู้นั้นคงเป็นคนสอนกระมัง ดูทีแล้วตระกูลหลิวเป็นอย่างที่ผู้อื่นพูดกันไว้จริงๆ เป็นตระกูลบัณฑิต มีภูมิปัญญาที่ส่งต่อกันมายาวนาน”
หวังซีพยักหน้า
นึกถึงสิ่งที่อยู่ในความทรงจำแต่ไม่รู้ว่าไปได้ยินใครพูดมา บอกว่าคนที่ชื่นชอบการคำนวณนอกจากค่อนข้างเชี่ยวชาญวิชาเลขและคัมภีร์แห่งการเปลี่ยนแปลงแล้ว ยังชอบโหราศาสตร์ ดูดวงชะตา ชอบเรื่องลี้ลับและพอจะมีความสามารถในการล่วงรู้ความลับสวรรค์ หากอยู่ในช่วงที่บ้านเมืองปั่นป่วน โดยมากจะได้เป็นที่ปรึกษา
ที่ปรึกษา!
นางเท้าคาง
เฉินลั่วกำลังขาดผู้ช่วยอยู่มิใช่หรือ
หากเขาเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดจริง ก็ต้องมีผู้ช่วยที่ให้คำปรึกษาได้ผู้หนึ่งถึงจะถูก
ไม่เห็นหรือว่าคนที่เป็นหนึ่งในเก้าแผ่นดินเหล่านั้น ข้างกายล้วนแล้วแต่มีที่ปรึกษาที่ยอดเยี่ยมด้วยทั้งสิ้น
หวังซีมองอาหลีอีกครั้ง รู้สึกว่าร่างของเด็กน้อยเต็มไปด้วยรัศมีสีทองระยิบระยับ ดั่งเด็กน้อยที่นั่งอยู่ข้างองค์พระโพธิสัตว์
นางรีบกวักมือเรียกไป๋กั่ว “เจ้าไปบอกในครัว หากใครทำขนมที่พวกเด็กๆ ชอบกิน ถ้าอาหลีกินแล้วชอบ ทำให้เขาวิ่งมาหาข้าทุกวันได้ ข้าจะตกรางวัลให้ผู้นั้นสิบตำลึง ไม่สิ ห้าสิบตำลึง”
หวังซีมักจะมีความคิดแปลกประหลาดอยู่เสมอ ไป๋กั่วเห็นจนชินแล้ว จึงเพียงตอบรับยิ้มๆ แล้วถอยออกไป แต่ฉังเคอกลับมองสำรวจหวังซีขึ้นลง ถามว่า “เจ้าจะทำอะไร”
นางคิดว่าถึงหลิวจ้งผู้นั้นอายุมากไปสักหน่อย แต่นั่นก็เป็นผู้มีพรสวรรค์คนหนึ่ง ทั้งยังไม่แต่งงาน หวังซีคงไม่ได้ชอบหลิวจ้งหรอกกระมัง
แน่นอนว่าหวังซีไม่บอกความจริงกับฉังเคอ เพราะยังไม่ได้เริ่มต้นทำอะไรเลยนี่นา!
นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าชอบอาหลีมากมิใช่หรือ คราวก่อนหลังจากที่อภัยให้อาของผู้อื่นอย่างสุภาพไปแล้ว เวลาอาหลีมาหาเจ้ายังเห็นใจสงสารมากมิใช่หรือ กลัวเท้าของเขาเป็นตุ่มพอง กลัวเขาเหนื่อยและกระหายแล้วถูกคนลักพาตัวไป ยังให้สาวใช้ไปถามหลิวจ้ง ให้แม่ครัวของข้าทำขนมอร่อยๆ มากมายให้อาหลี ทำเอาอาหลีวิ่งมาหาอยู่เสมอ ข้าก็แค่ว่างไม่มีอะไรทำ จึงช่วยเจ้าสักครั้งหนึ่ง เจ้าช่างดีเหลือเกิน กลับมาตั้งคำถามข้าได้ ถ้าอย่างนั้น ข้าไปบอกในครัวว่าทำขนมถั่วเขียวอย่างเดียวก็พอ ไม่ต้องทำอย่างอื่นแล้วดีกว่า!”
ฉังเคอฟังน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ซุกซนของนางนั่นแล้ว กัดฟันพร้อมกับตีหวังซีไปหลายครั้ง กล่าวว่า “มิใช่เพราะข้ากลัวว่าจะรบกวนเจ้าหรอกหรือ ข้าอาศัยอานิสงส์ของเจ้า ถึงได้ติดตามเจ้ามาด้วย”
หวังซีหัวเราะฮ่า รีบจับไหล่ของฉังเคอเอาไว้ กล่าวว่า “เจ้ากับข้าเป็นพี่น้องกัน พูดเรื่องเหินห่างเหล่านี้ไปทำไม อาหลีผู้นี้เป็นเด็กที่ทำให้คนหลงรักจริงๆ ต่อให้เจ้าไม่พูด ข้าเองก็ย่อมให้พวกแม่ครัวทำของอร่อยๆ มาให้เขาอยู่แล้ว เพียงแต่เขาอายุน้อย ดูแล้วก็ไม่เหมือนคนที่ถูกเลี้ยงมาอย่างตามใจ พวกเราไม่รู้ว่าเด็กคนนี้แพ้อาหารอะไรหรือไม่ ต่อให้อยากดีกับเขาเพียงไร ก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยด้วย”
ฉังเคอหน้าแดง
ประจวบเหมาะกับที่เฉินลั่วมาพอดี
หวังซีส่งตัวอาหลีให้ฉังเคอ มองดวงอาทิตย์สว่างจ้านอกซุ้มองุ่นครั้งหนึ่ง รีบสั่งการให้เรือนครัวเตรียมมื้อกลางวัน ยังถามบ่าวชายที่รายงานว่า “ใต้เท้าเฉินได้บอกหรือไม่ว่ามาด้วยเรื่องอันใด เขามาคนเดียวหรือว่าพาคนมาด้วย พวกเจ้าไปจัดเก็บโถงรับรองทางนั้นให้เรียบร้อย เอาน้ำแข็งมาวาง แล้วก็ไปยกขนมถั่วเขียวที่แขวนแช่อยู่ในบ่อน้ำออกมาเล็กน้อย ให้ใต้เท้าเฉินกินคลายร้อน”
ปกติบ่าวชายรับผิดชอบแค่เรื่องมาแจ้งข่าวเท่านั้น ไหนเลยจะจำเรื่องมากมายขนาดนี้ได้ มองไป๋ซู่คนข้างกายของหวังซีอย่างขอความช่วยเหลือ
ไป๋ซู่ยิ้มพลางสั่งการลงไปเป็นเรื่องๆ ส่วนหวังซีเดินไปที่โถงรับรอง
…………………………………………………………………………