เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 132 เข้าวัง
ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะร่า รู้สึกว่าการแต่งกายของหลานสาวคนที่สี่ครานี้ ทั้งโดดเด่นและดึงดูดสายตา ต้องสร้างความประทับใจให้นายหญิงคนดูแลบ้านเหล่านั้นได้เป็นแน่ ก็เท่ากับว่างานแต่งสำเร็จไปกว่าครึ่งแล้ว
“ได้ ได้ ได้!” นางรับปากหวังซีอย่างอารมณ์ดี “เจ้าอยากไปเล่นที่ไหนก็ได้ทั้งสิ้น! อย่างไรก็ตาม ห้ามสร้างปัญหา การสร้างปัญหาในวังหลวงไม่เหมือนอยู่ข้างนอก แม้แต่ยายก็ปกป้องเจ้าไม่ได้!”
“วางใจได้เลยเจ้าค่ะ!” หวังซียิ้มแป้นกอดแขนฮูหยินผู้เฒ่าเอาไว้กล่าวออดอ้อนว่า “ข้าไปกับคนจวนชิงผิงโหว รับประกันว่าจะอยู่ในระเบียบอย่างเคร่งครัด ไม่สร้างปัญหาอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
ซือจูแสยะยิ้มเย็น กล่าวว่า “คุณหนูหวังแต่งกายงดงามประหนึ่งดอกไม้ แดงสว่างไสวไปทั้งตัวเช่นนี้ เกรงว่าคงยากจะปิดบังความเซ่อซ่าได้ ข้าว่าท่านย่าคงต้องระวังเอาไว้สักหน่อย เตรียมการเผื่อคุณหนูหวังเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ถึงจะดีเจ้าค่ะ”
ความหมายโดยนัยก็คือหวังซีทำตัวเหลาะแหละ ต้องการเป็นที่โดดเด่นในวังหลวง
ฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย
หวังซีหันไปเบ้ปากใส่ซือจูอย่างเย็นชา ท่าทางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “หากงานเลี้ยงของวังหลวงครานี้เป็นเพียงงานเลี้ยงธรรมดาทั่วไป ข้าแต่งกายให้งดงามอีกสักหน่อยแล้วจะเป็นไรไป แต่ถ้าเป็นอย่างที่คนข้างนอกลือกันว่าเป็นงานที่ฮ่องเต้กับฮองเฮาเหนียงเหนียงทรงจัดขึ้นเพื่อคัดเลือกชายาให้เหล่าองค์ชายจริงๆ ข้ากลับไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีบ้านไหนที่ยังไม่มีภรรยาเอกแต่กลับรับอนุภรรยาเข้าบ้านแล้ว ทุกวันนี้ใต้ผืนฟ้ายังคงเป็นใต้หล้าของฮ่องเต้ ต่อให้เป็นองค์ชายใหญ่ เกรงว่าก็ไม่มีความกล้าหาญเพียงนั้นกระมัง”
สีหน้าของซือจูไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่ง
เป็นจริงตามนั้น หากงานเลี้ยงครานี้จัดขึ้นเพื่อคัดเลือกชายาให้เหล่าองค์ชายจริง ระหว่างที่ยังไม่มีการหมั้นหมายชายาเอกนั้น ต่อให้หวังซีหน้าตางดงามกว่านี้ มีสินเจ้าสาวมากกว่านี้ ก็ไม่มีองค์ชายพระองค์ไหนกล้าหาประโยชน์จากนาง คิดรับนางไปเป็นอนุชายาหรือตบแต่งเข้าบ้าน หาไม่อาจเป็นการเสียกิริยาต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ กระทบกับการช่วงชิงตำแหน่งรัชทายาทหรือไม่ก็กระทบกับอนาคตในวันข้างหน้าได้
ในบรรดาพวกนางนี้ หวังซีที่มีพื้นเพมาจากครอบครัวพ่อค้าปลอดภัยที่สุดแล้ว
นางคิดไม่ถึงว่าหวังซีจะมีสมองเฉลียวฉลาดขนาดนี้
ไม่รู้ว่าเป็นความคิดของนางเองหรือคนในครอบครัวบอกนางกันแน่
ไม่ว่าซือจูจะคิดหรือคาดเดาอย่างไร ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินถ้อยคำนี้ของหวังซีแล้วกลับรู้สึกวางใจลงมาได้ นางยิ้มร่ากล่าวกับซือจูว่า “น้องสาวของเจ้าเป็นคนมีความคิด เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงนางหรอก เป็นเจ้ามากกว่า แน่นอนว่าการที่เจ้าสนิทสนมกับองค์หญิงฟู่หยางเป็นเรื่องดี แต่อย่าลืมว่ายังมีฮองเฮาเหนียงเหนียงอยู่ เจ้าเองก็อย่าได้เสียมารยาทจนเกินไป”
กลายเป็นมาอบรมนางแทนเสียแล้ว
ซือจูถอนสายตากลับมาเล็กน้อย
ฮูหยินผู้เฒ่าเลอะเลือนแล้วจริงๆ นี่นางกำลังเป็นห่วงหวังซีอย่างนั้นหรือ นางกำลังถากถางหวังซีอยู่ต่างหากเล่า
อยู่จวนหย่งเฉิงโหวต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ
มีแต่เรื่องเหลวไหลไร้สาระ
ซือจูสีหน้าเยียบเย็น เดินตามหลังทุกคนไปขึ้นรถม้า
เนื่องจากงานชมบุปผาครานี้จัดขึ้นที่อุทยานหลวง พวกนางเข้าวังจากประตูซุ่นเจิน จากนั้นลงจากรถม้า แล้วเดินตามข้าราชสำนักสตรีฝ่ายในของวังหลวงตรงไปยังพระที่นั่งชินอาน
ฮองเฮาเหนียงเหนียงและคนอื่นๆ ยังเสด็จมาไม่ถึง แต่คนจากครอบครัวขุนนางชั้นสูงมาถึงกันเกินครึ่งแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าและโหวฮูหยินทักทายบรรดาฮูหยินของแต่ละจวน ส่วนพวกเด็กๆ อย่างหวังซีก้มหน้าก้มตาติดตามอยู่ด้านข้างประหนึ่งเป็นกำแพงดอกไม้ ทำความเคารพและกล่าวทักทายอย่างยิ้มแย้มตามคำบอกกล่าวของผู้อาวุโส
หวังซีเป็นคนซุกซน เพียงไม่นานสายตาก็สอดส่ายไปเห็นคุณหนูรองอู๋และลู่หลิงที่ยืนอยู่ในแถวหน้า
คุณหนูรองอู๋อยู่กับบรรดาพี่สะใภ้และอาสะใภ้ของตัวเอง ส่วนลู่หลิงอยู่กับคุณหนูห้าของจวนเซียงหยางโหว ด้านข้างของพวกนางเป็นสตรีจากจวนชิ่งอวิ๋นโหว แต่นางกลับไม่เห็นคุณหนูหกปั๋ว
ขณะที่หวังซีกำลังครุ่นคิดว่าควรจะแอบลากคุณหนูรองอู๋ออกไปเดินเล่น ดูว่าอุทยานหลวงหน้าตาเป็นอย่างไรเสียแต่ตอนนี้ หรือควรจะรอให้งานเลี้ยงเริ่มอย่างเป็นทางการก่อนแล้วค่อยหาโอกาสหนีออกไปดีนั้น ก็ได้ยินเสียงเตือนให้เงียบ
ทุกคนในพระที่นั่งชินอานเงียบเสียงลงทันที เงียบจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มหล่น
หวังซีเองก็อดหยุดหายใจไปด้วยไม่ได้ ได้ยินเสียงขันทีตะโกนเสียงดังขึ้นว่า “ฮองเฮาเหนียงเหนียงเสด็จ!”
ทุกคนก้มหน้าลง
มีเสียงสวบสาบหนึ่งดังขึ้น หวังซีเห็นเพียงรองเท้าที่ปักลายเมฆาแห่งท้องทะเลเดินผ่านหน้านางไปเท่านั้น
ครู่ใหญ่หลังจากนั้นก็มีเสียงอ่อนโยนของสตรีกล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินทุกท่านลุกขึ้นได้”
ห้องโถงถึงได้มีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง มีเสียงฝีเท้าเดินไปมา และเสียงปัดอาภรณ์ดังขึ้น
หางตาของหวังซีกวาดมองไปที่บัลลังก์หงส์ตรงกลางห้องโถงครั้งหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ที่นั่งของจวนหย่งเฉิงโหวอยู่ตรงกลาง ทว่าค่อนไปข้างทิศตะวันออก นางเห็นแค่สตรีสวมชุดหงส์สีเหลืองอร่ามกับสวมมงกุฎหงส์ติดขนนกกระเต็นสีฟ้าผู้หนึ่ง เห็นไม่ชัดว่าหน้าตาเป็นอย่างไร รู้สึกได้ว่ารูปร่างอวบเล็กน้อยเพียงเท่านั้น
นางนั่งตัวตรง ไม่กล่าวอะไร
กลับมีสตรีวัยสาวสะพรั่งสวมมงกุฎดอกไม้ผู้หนึ่งยืนอยู่ทางซ้ายของบัลลังก์หงส์กล่าวเสียอบอุ่นขึ้นว่า “เชิญนั่ง!”
ฟังจากเสียงแล้ว น่าจะเป็นสตรีคนที่กล่าว ทุกท่านลุกขึ้นได้ เมื่อครู่
ทุกคนนั่งลงตามป้ายชื่อ
ที่นั่งของจวนหย่งเฉิงโหวค่อนไปทางด้านหน้า
หวังซีถึงได้พบว่าคนที่นั่งอยู่ด้านซ้ายของฮองเฮาเหนียงเหนียงคือเป่าชิ่งจ่างกงจู่มารดาของเฉินลั่ว ส่วนคนที่นั่งอยู่ด้านขวาเป็นสตรีอายุประมาณห้าสิบปีท่านหนึ่ง ดูจากอาภรณ์และเครื่องประดับแล้ว น่าจะเป็นหลินอานต้าจ่างกงจู่
ในรัชสมัยปัจจุบันเบื้องซ้ายตำแหน่งสูงกว่า หลินอานต้าจ่างกงจู่เป็นเสด็จป้าของฮ่องเต้ ทว่ากลับอยู่ต่ำกว่าเป่าชิ่งจ่างกงจู่…ภายในเรื่องนี้มีเรื่องราวอะไรซ่อนอยู่หรือไม่?
หวังซีครุ่นคิด คนที่นั่งถัดจากเป่าชิ่งจ่างกงจู่เป็นสตรีอายุประมาณหกสิบปีท่านหนึ่ง สวมอาภรณ์ของฮูหยินตราตั้งขั้นหนึ่ง นางดูไม่คุ้นตานัก
แต่ว่าข้างกายของฮูหยินผู้นั้นมีคุณหนูหกปั๋วยืนอยู่
หวังซีเดาว่าฮูหยินผู้นั้นคงเป็นฮูหยินผู้เฒ่าของจวนชิ่งอวิ๋นโหว
ก่อนหน้านี้นางไม่เห็นคุณหนูหกปั๋ว แล้วก็ไม่เห็นเป่าชิ่งจ่างกงจู่ด้วย…กล่าวได้ว่า คุณหนูหกปั๋วกับท่านย่าของนาง รวมถึงเป่าชิ่งจ่างกงจู่ต่างมาพร้อมกับฮองเฮาเหนียงเหนียง
ส่วนคนที่นั่งถัดจากหลินอานต้าจ่างกงจู่คือองค์หญิงฟู่หยาง
นอกเหนือไปจากนี้แล้ว ก็ไม่เห็นพระสนมท่านอื่นๆ เลย รวมถึงซูเฟยเหนียงเหนียงผู้สง่างามก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นเช่นกัน
หวังซีแปลกใจเล็กน้อย
หลังจากที่ทุกคนนั่งลงแล้ว เหล่านางกำนัลก็เริ่มนำน้ำชาและของว่างขึ้นโต๊ะ
ฮองเฮาเหนียงเหนียงจึงเริ่มสนทนากับจ่างกงจู่
เนื่องจากในห้องโถงเงียบมาก แม้นสุรเสียงของฮองเฮาเหนียงเหนียงไม่ดังมาก แต่หวังซีฟังแล้วก็พอจะเดาออกได้เจ็ดถึงแปดส่วน
ฮองเฮาเหนียงเหนียงตรัสถามว่าเฉินลั่วไปไหน ให้จ่างกงจู่ส่งคนไปตามหาที่ตำหนักขององค์ชายทั้งหลาย ดูว่าเขาอยู่ที่นั่นหรือไม่
เสียงของฮองเฮาเจือความแหบแห้งไว้หลายส่วน ทำให้คนรู้สึกเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย
เพราะไม่ค่อยได้พักผ่อนดีๆ หรือเป็นเพราะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
หวังซีไม่เจอเฉินลั่วมาหลายวันแล้ว นึกถึงคำพูดที่เฉินลั่วกล่าวกับนางก่อนหน้านี้ขึ้นมา นางรู้สึกว่าเรื่องของหนิงผินนั้นต่อให้ตอนนี้ปกปิดเอาไว้ได้ แต่ก็ไม่อาจปิดบังไปตลอดได้ ต่อให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงจับผิดไม่ได้ แต่ก็น่าจะรู้สึกอะไรได้บ้างถึงจะถูก
จ่างกงจู่ตอบกลับฮองเฮาเหนียงเหนียงเสียงเบาไปสองสามประโยค หวังซีไม่ได้ยิน ทว่าเห็นฮองเฮาเหนียงเหนียงกับคนที่อยู่ใกล้ๆ พวกนางต่างหัวเราะออกมา หลินอานต้าจ่างกงจู่ยิ่งแล้วใหญ่กล่าวขึ้นว่า “เสด็จป้าผู้นี้รักหลานชายจริงๆ งานแต่งของเหล่าโอรสตัวเองยังไม่รู้เลยว่าอยู่ที่ใด ท่านกลับเป็นห่วงเรื่องงานแต่งของหลินหลาง ไม่แปลกที่หลินหลางจะกตัญญูต่อฮ่องเต้และท่านเป็นที่สุด นี่ก็นับเป็นวาสนาของพวกท่านแล้ว”
ฮองเฮาเหนียงเหนียงฟังแล้วไม่ได้ตรัสสิ่งใด ทว่าสีหน้าของคนในห้องโถงกลับแตกต่างกันออกไป เต็มไปด้วยความอัศจรรย์ใจ เห็นได้ชัดว่างานชมบุปผาครานี้จัดขึ้นเพื่อคัดเลือกชายาให้เหล่าองค์ชายจริงๆ
หวังซีมองหลินอานต้าจ่างกงจู่อีกสองสามครั้ง
ไม่รู้ว่าหลินอานต้าจ่างกงจู่ท่านนี้ตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจกันแน่ งานชมบุปผายังไม่ทันเริ่ม แต่ทุกคนกลับรู้เรื่องกันหมดแล้ว จากผลงานก่อนหน้าของต้าจ่างกงจู่ท่านนี้ คนที่สอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องแต่งตั้งรัชทายาทของฮ่องเต้ได้ ไม่น่าจะเป็นคนโง่เขลาเช่นนี้
แต่คนที่ส่งเสริมถ้อยคำนี้ของนาง หรือทำให้นางพูดถ้อยคำเช่นนี้ออกมาได้คือผู้ใดกันนะ?
ไม่นานงานชมบุปผาก็เริ่มขึ้น
งานนี้ไม่เหมือนกับงานเลี้ยงของตระกูลใหญ่ตระกูลโตเหล่านั้น กระทั่งแตกต่างจากงานวันคล้ายวันเกิดของจ่างกงจู่เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงที่หวังซีเคยเข้าร่วมก่อนหน้านี้หรืองานวันคล้ายวันเกิดของจ่างกงจู่ก็ตาม ทุกคนต่างเบิกบาน อย่างน้อยบนใบหน้าก็แต้มความชื่นชมยินดี มีแต่ความครื้นเครง ทว่างานชมบุปผาของวังหลวงกลับเงียบสงบ เป็นลำดับขั้นตอน เลี่ยงไม่พูดได้ทุกคนก็จะเลือกไม่พูด ต่อให้มีเรื่องเอ่ยปากพูด ก็ต้องพูดตามลำดับอาวุโสและตำแหน่ง มีฮูหยินและคุณหนูของขุนนางขั้นสี่บางส่วนนั่งอยู่ด้านนอก ย่อมไม่ได้ยินว่าพวกฮองเฮาเหนียงเหนียงคุยอะไรกันบ้าง แต่ละคนต่างนั่งอย่างสงบ หนึ่งชั่วยามผ่านไปแล้วก็ยังไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว ทำให้คนที่นั่งไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็รู้สึกเบื่อหน่ายแล้วอย่างหวังซีรู้สึกนับถือเป็นอย่างมาก
ทุกคนต่างออกจากบ้านกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง และการเข้าวังนั้นนอกจากต้องตรวจสอบราชโองการและสิ่งของที่นำเข้ามาด้วยแล้ว ยังไม่อาจกระทำต่อหน้าสาธารณชน ต้องพาคนไปยังพระที่นั่งปีกที่อยู่ด้านข้าง เมื่อเป็นเช่นนี้จึงใช้เวลาตรวจสอบอย่างยาวนาน และกว่าจะรอจนฮองเฮาเหนียงเหนียงปรากฏวรกาย พูดคุยกันหนึ่งชั่วยาม ก็ถึงเวลารับประทานอาหารกลางวันแล้ว
ทุกคนย้ายไปนั่งที่ศาลาว่านชุน เนื่องจากจัดโต๊ะอาหารไว้ที่นั่น
ทั้งหมดนั่งลงตามลำดับยศตำแหน่งอีกครั้ง
ครานี้หวังซีเห็นชัดแล้วว่าฮองเฮาเหนียงเหนียงหน้าตาเป็นอย่างไร
คุณหนูหกปั๋วกับปั๋วหมิงเย่ว์ต่างมีหน้าตาคล้ายพระนาง แต่พระนางดูไม่เหมือนคนที่ได้รับการดูแลร่างกายเป็นอย่างดีจากคนทั้งแผ่นดินเลย ประทับยืนอยู่กับเป่าชิ่งจ่างกงจู่แล้วเหมือนคนสองรุ่น รอยย่นรอบพระเนตรกลมลึกมาก และเนตรบวมเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่าการดำรงตำแหน่งฮองเฮาของพระนางมิใช่เรื่องน่ายินดีมีความสุข หาไม่คงไม่ดูชราได้มากขนาดนี้
หวังซีปรายมองครั้งหนึ่งแล้วก็ดึงสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว
คุณหนูรองอู๋ฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนกำลังนั่งประจำที่นั่งกันอยู่นั้นมาดึงแขนเสื้อของหวังซีเบาๆ หันมาขยิบตาให้นางครั้งหนึ่ง ประหนึ่งกำลังบอกนางว่า ข้าอยู่ตรงนี้ เจ้ามีเรื่องอะไรก็ไม่ต้องกลัว
หวังซีหันไปพยักหน้าให้นางอย่างซาบซึ้งใจ ทั้งสองคนแยกย้ายกันไปนั่งประจำที่
เหล่านางกำนัลเริ่มยกสำรับมาขึ้นโต๊ะ
หวังซีถึงได้ค้นพบว่าในวังหลวงมีต้นไม้น้อยมาก ที่มีอยู่ไม่กี่ต้นนั้นก็ล้วนอยู่อย่างกระจัดกระจาย มองเพียงครั้งเดียวก็เห็นกำแพงเมืองที่อยู่ถัดไปได้แล้ว
ไม่แปลกที่คนทางเหนือต่างชื่นชอบสวนของเจียงหนาน
แม้แต่ราชวงศ์ก็ไม่ได้มีต้นไม้มากมาย ช่างมีชีวิตอย่างหยาบกระด้างจริงๆ
หวังซีดูแคลนราชวงศ์อยู่ในใจไปหนึ่งคำรบ ไม่คาดหวังอะไรกับทิวทัศน์ของอุทยานหลวงอีก ขบคิดอยู่ในใจว่า หากนางกลับสู่จงไปแล้วเล่าเรื่องที่พบเห็นในวันนี้ให้พี่สาวน้องสาวในบ้านฟัง ไม่รู้ว่าพวกนางจะเชื่อตนหรือไม่
อาหารกลางวันเป็นอาหารตามแบบฉบับของงานเลี้ยงในวังหลวง หากมิใช่อาหารตุ๋นก็เป็นอาหารต้ม ไม่ใช่อาหารต้มก็เป็นอาหารอบ หรือไม่ก็เป็นของดองและของที่หมักในน้ำปรุงรส นอกจากนี้ตอนที่ยกมาขึ้นโต๊ะล้วนแล้วแต่ยังอุ่นอยู่ทั้งสิ้น
หวังซีฝืนกินหมูเส้นผัดพริกหนุ่มไปสองสามคำ จากนั้นค้นพบว่าทุกคนต่างไม่กินอะไร เพียงใช้ตะเกียบแตะๆ ชามข้าวแสร้งทำเหมือนกำลังกินเท่านั้น
ตอนออกจากบ้านฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้บอกอะไรพวกนาง นางพกขนมมาด้วยเพียงไม่กี่ชิ้นเผื่อเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นเท่านั้น ไม่เพียงพอสำหรับคนจวนหย่งเฉิงโหวด้วยซ้ำ
แล้วพวกนางคิดจะกินอะไร หรือว่าประเดี๋ยวจะมีอะไรที่นางไม่รู้มาอีก?
หวังซีจึงแสร้งทำท่าทางตามทุกคนไปด้วย ตอนเงยหน้าขึ้นโดยไม่ตั้งใจนั้นกลับเห็นสายตาของซือจูเจือแววเยาะเย้ยเอาไว้หลายส่วน
ไม่ว่านางจะมีเรื่องทะเลาะกับอะไรแต่ก็ไม่มีทางไปทะเลาะกับกระเพาะที่ท้องอย่างแน่นอน
หวังซีไม่ยี่หระ คิดว่าหากประเดี๋ยวหิว นางค่อยไปแอบกินรองท้องกับฉังเคอ ส่วนคนอื่นๆ นั้น ในเมื่อไม่บอกนาง คาดว่าคงมีทางออกของตัวเองกันแล้ว
โชคดีที่หลังจากรับมื้อกลางวันเสร็จแล้ว ฮองเฮาเหนียงเหนียงนำทุกคนไปเดินเล่นที่อุทยานหลวง
อุทยานหลวงมีภูเขามีน้ำและมีหินทะเลสาบไท่หูก็จริง แต่หินทะเลสาบไท่หูเพียงกองๆ ขึ้นมาเป็นภูเขาจำลองลูกหนึ่งเท่านั้น น้ำก็เป็นแค่ลำธารที่มองเห็นก้อนกรวดสายหนึ่ง ส่วนภูเขาก็เป็นแค่เขายอดเล็กๆ ลูกหนึ่งเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นในอุทยานหลวงนั้น นอกจากต้นไม้สูงเทียมหลังคาบ้านและมีขนาดใหญ่เท่าคนโอบรอบเพียงไม่กี่ต้นนั้นแล้ว ต้นไม้ต้นอื่นๆ ล้วนค่อนข้างเตี้ย ส่วนใหญ่เป็นไม้ประดับที่ปลูกอยู่ในกระถางมากกว่า แม้นกล่าวว่าไม้ประดับในกระถางเหล่านั้นประณีตงดงามมาก แต่ดูเหมือนเป็นของที่ท่านปู่ของหวังซีชื่นชอบมากกว่า สำหรับหวังซีแล้ว อย่างไรก็สู้ต้นไม้ดอกไม้สี่ฤดูที่มีสีสันสดใสและหลายหลากเหล่านั้นไม่ได้
อุทยานหลวงแห่งนี้ไม่มีอะไรให้น่าดูนัก!
……………………………………………………………………