เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 169 เพิกเฉย
เฉินอิงรู้สึกว่าเช่นนี้ยิ่งดี
เขาเชื่อมั่นในตัวเฉินเจวี๋ยผู้เป็นพี่สาวของเขาอย่างมาก
โชคดีที่เฉินเจวี๋ยฉลาดมีความสามารถ เรื่องสร้างสัมพันธ์กับผู้คนนั้นนางมีประสบการณ์มามากและพอจะมีวิสัยทัศน์อยู่บ้าง แค่มองไม่กี่ครั้งก็รู้แล้วว่าต้องทำอะไรบ้าง
สองพี่น้องจึงงานยุ่งขึ้นมา
จ่างกงจู่รู้สึกว่าเฉินเจวี๋ยกำลังระแวดระวังนาง ไม่ต่างกับเหตุการณ์ต่างๆ นับไม่ถ้วนก่อนหน้านี้ ที่กลัวนางจะเป็นภัยต่อเฉินอิง จึงแบกรับภาระทุกอย่างไว้กับตัวเอง นางแสยะยิ้มเย็น กอดอกยืนดูอยู่ด้านข้างเพียงเท่านั้น ส่วนเจิ้นกั๋วกง ไม่รู้ว่ากำลังวุ่นอยู่กับอะไร ตอนเฉินเจวี๋ยไปพบเขาเขาคัดค้านเฉินเจวี๋ยไม่ให้นางเข้าไปจัดการเรื่องงานหมั้นหมายของเฉินอิง แต่พอถึงเวลาที่เฉินเจวี๋ยเข้าไปจัดการจริงๆ และเริ่มยุ่งขึ้นมานั้น เขากลับไม่พูดอะไรสักคำ
เฉินเจวี๋ยสองพี่น้องรวมถึงจ่างกงจู่และเฉินลั่วต่างไม่มีใครเก็บเอาเรื่องนี้มาใส่ใจ ทว่าหวังซีกลับฮึดฮัดไม่พอใจ รู้สึกว่าที่จวนเจิ้นกั๋วกงไร้กฎระเบียบเช่นนี้ก็เป็นเพราะจ่างกงจู่กับเฉินลั่วปล่อยปละละเลย
นางจึงใช้โอกาสที่หลายๆ ตระกูลจัดงานชมบุปผาในช่วงปลายฤดูร้อนต้นฤดูใบไม้ร่วงนี้ไปซุบซิบเรื่องนี้กับคนที่มาร่วมงาน “จวนเจิ้นกั๋วกงช่างแปลกประหลาดนัก มารดาเลี้ยงไม่เหมือนมารดาเลี้ยง ลูกเลี้ยงไม่เหมือนลูกเลี้ยง งานแต่งที่เป็นสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้ ผู้อาวุโสของตระกูลเฉินไม่ออกหน้ามาจัดการ กลับให้กูไหน่ไนที่ออกเรือนแล้วผู้หนึ่งกลับมาจัดการให้ คนที่ทราบเรื่องอาจบอกว่ากูไหน่ไนใหญ่ตระกูลเฉินเป็นคนมีความสามารถ แต่คนไม่รู้อาจเข้าใจว่าตระกูลเฉินไร้คนมีความสามารถ เจิ้นกั๋วกงก็ยังทนได้!”
คนที่ร่วมวงสนทนากับนางมีคุณหนูจากตระกูลถานอยู่ด้วยท่านหนึ่ง คุณหนูท่านนี้พูดจาไม่ระวังเลยแม้แต่นิดเดียว ได้ยินแล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “หากบ้านพวกเขามีกฎระเบียบก็คงไม่แต่งจ่างกงจู่แล้ว และถ้ามีกฎระเบียบก็คงไม่แต่งจ่างกงจู่มาแล้วทอดทิ้งผู้อื่นให้เปล่าเปลี่ยวเช่นนั้น”
มีสตรีลักษณะเหมือนสตรีออกเรือนแล้วผู้หนึ่งได้ยินเช่นนั้นแล้วขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย ถอนหายใจกล่าวต่อจากคำพูดดังกล่าวว่า “เมื่อก่อนข้ารู้สึกว่าอาเจวี๋ยเป็นคนฉลาดที่หาได้ยิ่งผู้หนึ่ง บัดนี้ดูแล้ว ยิ่งอยู่การกระทำของนางก็ยิ่งสุดโต่งขึ้น ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือร้าย?”
ต่อให้เป็นห่วงว่าน้องชายร่วมอุทรของตัวเองจะถูกรังแก แต่เฉินเจวี๋ยในฐานะบุตรสาวที่ออกเรือนแล้วก็ไม่ควรเข้าไปจัดการเรื่องงานแต่งของน้องชายโดยตรง หากนางต้องการทำเพื่อประโยชน์ของน้องชายและตระกูลเดิมด้วยใจจริง ก็ควรเชิญผู้อาวุโสของตระกูลเฉินช่วยออกหน้าให้ ส่วนนางก็ให้ความช่วยเหลืออยู่ข้างๆ แต่ไม่ควรเอาเรื่องนี้มารับผิดชอบด้วยตัวเองทั้งหมดเช่นนี้
นี่ก็เป็นเพราะตระกูลสามีของนางอ่อนแอ หาไม่แล้ว ตระกูลสามีควรจะเป็นคนแรกที่กระโดดออกมาตำหนินาง
หวังซีเห็นสตรีผู้นี้มีท่าทางเป็นห่วงมาก หลังจากแอบกระซิบถามคุณหนูของตระกูลถานแล้วถึงทราบว่า ที่แท้ท่านผู้นี้ก็คือสหายสนิทของเฉินเจวี๋ยก่อนที่นางจะออกเรือนนั่นเอง เพียงแต่ว่าบัดนี้ทุกคนต่างแต่งงานมีครอบครัวและต้องเลี้ยงดูบุตรชายหญิง จึงไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กันแล้วเท่านั้น
นางจึงจงใจพูดต่อหน้าสตรีผู้นั้นว่า “กลัวแต่ว่าตระกูลซือจะรู้สึกว่าถูกดูแคลน ต่อไปคนที่จะต้องลำบากใจก็คือคุณชายใหญ่ตระกูลเฉิน”
สตรีผู้นั้นไม่พูดอะไร แต่เมื่อหมุนกายจากไปก็นำเรื่องนี้ไปเล่าให้เฉินเจวี๋ยฟัง
ช่วงนี้เฉินเจวี๋ยได้ยินถ้อยคำเช่นนี้มาไม่น้อย นางไม่เก็บมาใส่ใจแม้แต่นิดเดียว
นางรู้สึกว่าบิดาของนางพูดถูก ตราบใดที่เจ้ามีอำนาจอยู่ในมือ ผู้ใดก็ไม่กล้าทำอะไรเจ้า แต่ถ้าเจ้าไม่มีอำนาจ ต่อให้เจ้าอยู่ในกฎระเบียบมากเพียงใด ยามผู้อื่นอยากรังแกเจ้าก็ยังคงรังแกเจ้าได้อยู่ดี
นางเหยียดริมฝีปาก ถามสตรีผู้นั้นว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครเป็นคนพูดถ้อยคำนี้”
นางสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับเฉินลั่ว
มีเพียงเขาเท่านั้นที่พยายามทำลายชื่อเสียงของนางในทุกวาระและโอกาส
สตรีผู้นั้นตรึกตรองพลางกล่าว “เหมือนจะเป็นคุณหนูต่างสกุลท่านหนึ่งของจวนหย่งเฉิงโหว แซ่หวัง”
เฉินเจวี๋ยไม่เคยได้ยินมาก่อน
อย่างไรก็ตาม คุณหนูต่างสกุลของจวนหย่งเฉิงโหวนั้น โดยมากก็คงเป็นกาฝากที่มาจากที่ไหนสักแห่ง
นางจำชื่อนี้เอาไว้ในใจ ตั้งใจว่าต่อไปหากมีโอกาสต้องลองเจอหวังซีสักครั้ง จึงโยนเรื่องนี้ทิ้งไปก่อน ถามคนข้างกายว่าเฉินลั่วกับจ่างกงจู่กำลังทำอะไรกันบ้าง
เฉินเจวี๋ยกลับมาถึงจิงเฉิงก็ให้คนจับตาดูเฉินลั่วกับจ่างกงจู่เอาไว้แล้ว คนข้างกายนางต่างรู้นิสัยของนางดี ตอบโดยไม่ต้องคิดว่า “หลายวันมานี้จ่างกงจู่มักจะไปเยี่ยมเจียงไท่เฟย ได้ยินว่านับวันอาการประชวรของเจียงไท่เฟยก็ร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ ส่วนคุณชายรองอยู่แต่ในจวนจ่างกงจู่ไม่ได้ออกไปไหน แม้แต่การงานที่กรมอาญาก็ยังหาข้ออ้างหนึ่งผลักออกไป”
เฉินเจวี๋ยได้ยินแล้วไม่ชอบใจ กล่าวขึ้นว่า “เขาใช้ข้ออ้างอะไร คงมิใช่บอกว่าเพราะคุณชายใหญ่กำลังจะแต่งงาน เขาต้องช่วยเตรียมงานหรอกกระมัง”
ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่กล้าตอบ
เฉินเจวี๋ยด่าเสียงเบาไปหลายประโยคว่า “เสแสร้งแกล้งทำจนเคยตัว ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าเขาจิตใจชั่วร้าย อาอิงแต่งงาน เขาไม่สร้างปัญหาให้ก็ดีแค่ไหนแล้ว ยังจะมาพูดเรื่องช่วยงานอีก”
ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหลายต่างปิดปากเงียบด้วยความหวาดกลัว
เมื่อข่าวแพร่ไปถึงหูเฉินลั่ว เขานอนเกียจคร้านไม่ขยับเขยื้อนอยู่บนเตียง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องตอกกลับเลย
เนื่องจากว่าตั้งแต่เด็กหากเขาไม่อยู่ภายใต้สายตาของจ่างกงจู่ก็อยู่ภายใต้สายตาของเจิ้นกั๋วกง ทั้งสองคนนี้ผู้หนึ่งกวดขันเรื่องมารยาทกับเขาอย่างเข้มงวด ส่วนอีกผู้หนึ่งก็เอาแต่หาข้อผิดพลาดของเขาเหมือนเฟ้นหากระดูกจากไข่ไก่ ต่อมาเขาไปอยู่ภายใต้การดูแลของฮ่องเต้ ก็ถูกผู้อื่นอิจฉาริษยาอีก ทำให้เขารู้สึกว่าการที่ตนถูกผู้อื่นจับตามอง ก็เหมือนถูกผู้อื่นมาจ้ำจี้จำไช ถูกผู้อื่นอบรมสั่งสอน และถูกผู้อื่นวิพากษ์วิจารณ์ เขาไม่ชอบใจเป็นอย่างมาก
แต่ทั้งๆ ที่เขารู้ว่าคนที่แอบสอดส่องเขาคือหวังซี ก็ยังยกขึ้นสูงแล้วค่อยๆ วางลง ปล่อยผ่านไปง่ายๆ เช่นนั้น และทั้งๆ ที่รู้ว่าชายหญิงมีความต่าง แต่ยามเขามีเรื่องอะไรก็ต้องปีนกำแพงบุกบ้านไปพบนาง รู้สึกว่าเมื่อได้อยู่ข้างนาง เขาผ่อนคลายและรู้สึกสบายใจ
แต่สิ่งเหล่านี้หมายถึงอะไรนั้น ถึงแม้เขาจะไม่เคยชอบใครมาก่อน ทว่าก็พอจะเข้าใจความรู้สึกในใจอยู่บ้าง
แค่คิดเขาก็รู้สึกกระวนกระวายใจแล้ว
หากผู้อื่นติดตามเขา แม้แต่ชีวิตยังรักษาเอาไว้ไม่ได้ นั่นมิใช่การชอบผู้อื่น แต่คือการทำร้ายผู้อื่นต่างหาก
แต่จะให้ทนมองหวังซีกลับสู่จงไปเฉยๆ ไปแต่งงานกับผู้อื่น นับจากนี้จนแก่เฒ่าไม่พบหน้ากันอีก เขาก็ไม่ยินยอม นิสัยของหวังซีแปลกประหลาดออกขนาดนั้น คนทั่วไปคงคิดว่านางเป็นคนวุ่นวายกระมัง? หากคนที่นางแต่งงานด้วยไม่ชอบนิสัยเช่นนี้ของนางจะทำอย่างไร
เฉินลั่วนอนพลิกตัวกลับไปกลับมาอยู่บนเตียงเหมือนย่างขนมแป้งย่าง รู้สึกว่าชีวิตมนุษย์แสนสั้นและไร้ความหมาย แทนที่ต่อไปจะต้องรู้สึกโศกเศร้าและเสียดายภายหลัง มิสู้ปิดหูปิดตา ไม่ต้องทำอะไร ราวกับเวลาหยุดนิ่งอยู่ตรงนี้ตลอดกาลไปเลยจะดีกว่า
เพียงแต่ว่าในขณะที่เขาอยากปิดหูขโมยระฆังนั้น ผู้อื่นกลับไม่อนุญาตให้เขาได้สมปรารถนา
จู่ๆ องค์ชายใหญ่ก็ให้องครักษ์คนสนิทมาพบเขา บอกว่าปีนี้วัดหลิงกวงปลูกดอกเบญจมาศนิล เชิญเขาไปกินอาหารเจและชมดอกไม้ที่วัดหลิงกวง
เฉินลั่วไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว
เนื่องจากตอนที่มารดาขององค์ชายใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ชอบไปวัดหงหลัว ตัวเขาเองก็ชอบไปวัดหงหลัว หากตั้งใจเชิญเขาจริง ควรเชิญไปวัดหงหลัวถึงจะถูก แต่กลับเลือกไปวัดหลิงกวงที่ฮองเฮาเหนียงเหนียงกับองค์ชายรองต่างชอบไป หากมิใช่เพราะอยากส่งความปรารถนาดีผ่านเขาไปให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงหรือไม่ก็องค์ชายรองล่ะก็ ก็เป็นเพราะอยากแสดงความปรารถนาดีกับเขา
นอกจากนี้วัดหลิงกวงได้ประโยชน์จากการขับเคี่ยวกันระหว่างวัดเจินอู่กับวัดต้าเจวี๋ย แล้วพวกเขาก็ร่วมมือกับวัดเจินอู่ ให้ความรู้สึกถึงการแบ่งแยกพุทธเต๋ากับวัดเจินอู่อยู่รางๆ ช่วงนี้เขาอยู่แต่ในบ้านทุกวันหดหู่จนเหมือนสัตว์ป่าที่ถูกขังอยู่ในกรง ออกไปผ่อนคลายสักหน่อย ดูว่าตกลงองค์ชายใหญ่ต้องการพบเขาด้วยเรื่องอันใดก็ดีเหมือนกัน
เฉินลั่วระมัดระวังตัวจนชินไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาตระหนักได้ว่าไม่มีใครเป็นที่พึ่งให้เขาตลอดไปได้เป็นต้นมา ก่อนเดินทางไปวัดหลิงกวงเขาจึงสืบเรื่องขององค์ชายใหญ่อย่างละเอียด
หลิวจ้งขันที่เขาระมัดระวังจนเกินเหตุ “ช่วงนี้องค์ชายใหญ่อยู่ในกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด นอกจากกองพลที่ฮ่องเต้พระราชทานให้เขาแล้ว ข้างกายก็ไม่มีบุคคลอื่นปรากฏกายออกมาให้เห็น กลับเป็นท่านมากกว่า จอมยุทธ์ที่ตระกูลหวังเชิญตัวมาเก่งกาจมากจริงๆ มีหลายคนที่ข้าพยายามสืบแล้วสืบอีกก็สืบข้อมูลอะไรมาไม่ได้ ส่วนสถานะของคนที่สืบมาได้ก็ไม่ใช่เล่นๆ เลย เห็นได้ชัดว่าตระกูลหวังลงเรี่ยวแรงมหาศาลเพื่อช่วยเหลือท่าน ไม่รู้ว่าต่อไปท่านจะตอบแทนตระกูลหวังอย่างไรถึงจะสมน้ำสมเนื้อ”
บัดนี้เขากับเฉินลั่วลงเรือลำเดียวกันแล้ว หากชื่อเสียงของเฉินลั่วย่ำแย่ เขาก็ได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นกัน
เฉินลั่วได้ยินถ้อยคำดังกล่าวแล้วในหัวพลันมีคำว่า ‘เอาตัวเข้าแลก’ สี่คำนั้นผุดขึ้นมา…เขาไม่แสดงออกทางสีหน้า กล่าวกับหลิวจ้งอย่างเย็นชาว่า “หนี้มากหนี้น้อยก็คือหนี้ เหามากเหาน้อยก็คันเหมือนกัน เรื่องของอนาคตก็ค่อยคุยกันอีกทีในวันข้างหน้าก็แล้วกัน”
เกรงว่าต่อให้เขาอยากเอาตัวเข้าแลก ผู้อื่นก็อาจไม่ยินยอม
เฉินลั่วคิด ทว่าหัวใจกลับเต้นตึกตักอย่างว้าวุ่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
หากผู้อื่นยินยอมเล่า…
เขาอดที่จะหวนคิดถึงภาพเหตุการณ์ตอนอยู่กับหวังซีอย่างละเอียดไม่ได้
เป็นห่วงเขาและเอาใจใส่เขาเป็นอย่างมาก ยินดีหลอกล่อให้เขาดีใจ ช่วยเขาสู้รบตบมือกับเจิ้นกั๋วกงหรือแม้กระทั่งกับฮ่องเต้ด้วย…หากถามว่าปฏิบัติกับเขาต่างจากผู้อื่นอย่างไร ก็คงจะเป็นเรื่องที่แอบดูเขารำกระบี่
หรือคุณหนูหวังจะชอบรูปร่างของคนฝึกวรยุทธ์?
หาไม่แล้วเหตุใดต้องแอบดูเขารำกระบี่ด้วย?
เฉินลั่วใคร่ครวญ รู้สึกไม่แน่ใจขึ้นมาอีกครั้ง
ความจริงแล้วใช่ว่าไม่เคยมีคนแอบดูเขารำกระบี่มาก่อน ทุกคนก็แค่ชอบรูปลักษณ์ของเขาเท่านั้น
ไม่ถูก คุณหนูหวังมิใช่คนเช่นนั้น
นางเคยวิจารณ์ฝีมือฟันกระบี่ของเขา มองออกว่านางไม่ได้พูดส่งๆ หรือพูดเหลวไหล นางรู้สึกจริงๆ ว่าฝีมือฟันกระบี่ของเขาไม่เลว
หรือเขาควรจะเริ่มจากตรงนี้?
ทว่าเด็กสาวที่ชอบวิชากระบี่มีไม่มากกระมัง?
แต่เด็กสาวที่มีความคิดและการกระทำที่อิสรเสรีอย่างคุณหนูหวังก็มีไม่มากเช่นกัน!
นางชอบวิชากระบี่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างก็คงไม่แปลกเกินไปหรอกกระมัง
เฉินลั่วคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ใจลอยไปจนถึงวัดหลิงกวง
ไม่รู้ว่าองค์ชายใหญ่ต้องการแสดงความมีมารยาทของเขาหรือต้องการแสดงว่าเขาใช้ชีวิตร่วมกับมวลชนคนธรรมดาได้กันแน่ จึงไม่ได้สั่งปิดวัดหลิงกวง ยังคงมีผู้มาสักการะมากมายเหมือนยามปกติ เมื่อมาถึงเรือนรับรองแขกด้านหลังแล้วเสียงของผู้คนถึงได้เบาบางลง เห็นองครักษ์สองคนบ้างสามคนบ้างกระจายตัวอยู่กันเป็นจุดๆ
องค์ชายใหญ่อยู่ในชุดเต้าเผาสีเขียวไผ่ไร้ลายคอป้ายสีขาว ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ใต้ต้นการบูรของเรือนรับรองแขก กำลังสนทนากับเจ้าอาวาสวัดหลิงกวงที่มาให้การต้อนรับเขา พอได้ยินเสียงเคลื่อนไหว เขากับเจ้าอาวาสก็หมุนกายกลับมา
“หลินหลาง!” องค์ชายใหญ่ดูอึดอัดเล็กน้อยแต่ก็กล่าวทักทายเขาด้วยท่าทีเป็นกันเองยิ่ง
ส่วนเจ้าอาวาสวัดหลิงกวงก้าวออกมาทำความเคารพเฉินลั่ว
เฉินลั่วเผยใบหน้าแย้มยิ้มสำหรับเข้าสังคมออกมา เรียก “องค์ชายใหญ่” เสียงหนึ่ง จากนั้นทำความเคารพตอบเจ้าอาวาสวัดหลิงกวงหนึ่งครั้ง เสร็จแล้วถึงก้าวออกไปพลางกล่าวขึ้นว่า “ช่วงนี้มิใช่ว่ากรมอาญาต้องตรวจสอบคดีสกุลเถียนสังหารภรรยาที่เมืองจินหวาหรอกหรือ เหตุใดท่านถึงยังมีเวลาว่างมาดื่มชาชมบุปผาที่วัดหลิงกวงได้พ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าอาวาสวัดหลิงกวงไม่รอให้องค์ชายใหญ่ได้ตอบสิ่งใด ก็กล่าวยิ้มๆ ขึ้นก่อนว่า “องค์ชายใหญ่คงได้ยินว่าปีนี้ดอกมะลิของพวกข้าต้นนั้นออกดอกงามมาก ก็เลยอยากมาทอดพระเนตรสักหน่อยว่ากลิ่นหอมอบอวลอย่างที่ลือกันจริงๆ หรือไม่ เช่นนั้นทั้งสองท่านค่อยๆ ใช้เวลาไปก่อน ข้าจะไปเอาชาดอกไม้อบใหม่ของปีนี้มาให้”
เดินจากไปอย่างรวดเร็ว
เห็นได้ชัดว่าวัดหลิงกวงเองก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับองค์ชายใหญ่พระองค์นี้มากนัก
โอกาสอยู่ตรงหน้าแล้วยังไม่ยอมประจบประแจง
เฉินลั่วเกือบจะหัวเราะออกมาแล้ว
สีหน้าขององค์ชายใหญ่ดูไม่ค่อยดีนัก
ทว่าเฉินลั่วไม่ได้มาที่นี่เพื่อถกเรื่องพวกนี้กับองค์ชายใหญ่ เขาคิดว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างตนกับองค์ชายใหญ่แล้ว คาดว่าองค์ชายใหญ่เองก็ไม่คิดจะถกเรื่องพวกนั้นกับเขาเช่นกัน
ทั้งสองคนไปนั่งตรงโต๊ะหินในลานบ้านที่มีกระถางสนวางประดับอยู่
องค์ชายใหญ่เอ่ยปากกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “เจ้าคงแปลกใจมากใช่หรือไม่ที่ข้าเรียกเจ้ามาที่นี่ เจ้าเป็นคนฉลาด ข้าเองก็ไม่อ้อมค้อมแล้วก็แล้วกัน ก่อนหน้านี้ข้ายังขบคิดอยู่บ้างว่าฮ่องเต้ทรงหมายความว่าอย่างไร บัดนี้เมื่อได้เห็นที่เฉินอิงก่อเรื่องเช่นนั้นแล้ว กลับทำให้ข้าบังเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา เจ้าอยากเป็นพ่องานสักครั้งหรือไม่ ข้ามีเรื่องอยากคุยกับน้องรองเป็นการส่วนตัว”
……………………………………………………………….