เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 17 สงสัย
ฉังเคอเห็นเช่นนั้น ดวงหน้าเผยความยินดีออกมาทันที กล่าวว่า “ตอนนี้เจ้ารู้แล้วว่าเฉินลั่วเป็นคนเช่นไร รู้สึกเหมือนกันแล้วใช่หรือไม่ว่าเขาก็มิได้หล่อเหลาขนาดนั้น”
“มิใช่!” หวังซีกล่าวอย่างเศร้าสร้อย “ข้ามองเขาอีกเท่าไรก็ยังคงรู้สึกว่าเขาหล่อเหลามากอยู่ดี ข้าเพียงแต่เสียดาย เขาเป็นบุตรชายของจ่างกงจู่กับเจิ้นกั๋วกง คงไม่อาจตามข้ากลับไปที่สู่จงได้ ต่อให้เขาหล่อเหลามากกว่านี้ ก็ไม่เกี่ยวอันใดกับข้าแล้ว” กล่าวจบ นางก็ถอนหายใจยาวเหยียดออกมาอีกครั้งหนึ่ง
ลูกตาของฉังเคอแทบจะกระเด็นกระดอนออกมา กล่าวว่า “เจ้ายังคิดจะพาเฉินลั่วกลับไปด้วย? พากลับไปทำอะไรหรือ”
“เป็นองครักษ์!” หวังซีตอบ ถอนหายใจยาวออกมาอีกครั้ง “ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นผู้ใดนี่นา คิดว่าหากพาตัวคนกลับไปเป็นองครักษ์ของข้าได้ก็คงดี” นางยังกล่าวอย่างมุ่งมาดปรารถนาว่า “เจ้าลองคิดดู ข้าเดินอยู่บนถนนใหญ่ ข้างกายมีองครักษ์เช่นนี้ติดตามอยู่ด้วยคนหนึ่ง ทุกคนล้วนเหลียวหลังกลับมามอง ช่างน่าสนุกยิ่งนัก!”
คนที่ไม่เหลือบแลคนต่ำต้อย หยิ่งทะนงจนดวงตาแทบจะขึ้นไปอยู่กลางศีรษะอย่างเฉินลั่วไปเป็นองครักษ์ให้หวังซี คอยยืนหลังหวังซี หวังซีไปที่ไหนเขาก็ต้องติดตามไปด้วยทุกที่ ต้องถูกสตรีน้อยใหญ่บนถนนจ้องมอง แสดงอาการกรุ่นโกรธก็ไม่ได้ เผยความไม่พอใจออกมาก็ไม่ได้…แค่ภาพเหตุการณ์เช่นนี้วาบผ่านเข้ามาในหัวของฉังเคอ ก็เพียงพอให้นางเบิกบานใจได้แล้ว!
นางหัวเราะฮ่าออกมาดังลั่น อดจินตนาการไม่ได้ “เจ้าจะให้เขาไปซื้ออาหารให้เจ้าก็ได้ ปกติเขาเกลียดสิ่งนี้เป็นที่สุด รู้สึกว่าที่พวกข้ารบเร้าให้เขาไปทำอะไรให้ ก็เพื่อโอ้อวดว่ามีความสัมพันธ์กับเขาดีเพียงใด แล้วก็ต้องให้เขาถือของให้เจ้าด้วย เขามักบอกว่าพวกข้าเป็นตัวปัญหา แต่บางครั้ง พวกข้าก็ไม่สะดวกจริงๆ มีครั้งไหนบ้างที่พวกข้าออกจากบ้านแล้วไม่สวมเครื่องประดับเต็มศีรษะ ปิ่นปักผมทองคำเหล่านั้นมีน้ำหนักมาก เพียงไม่ระวังก็ไม่รู้ว่าจะร่วงหล่นไปที่ไหนแล้วบ้าง นอกจากอันที่เหมือนของเจ้าแล้ว ใครจะกล้าขยับเขยื้อนตามใจชอบ เมื่อกลับมาถึงบ้าน ตอนหมัวมัวตรวจนับเครื่องประดับต้องถูกบ่นแน่ๆ ยังอาจจะไปฟ้องผู้อาวุโสในบ้าน ถูกผู้อาวุโสตำหนิอีกคำรบหนึ่งด้วย”
หวังซีถามอย่างแปลกใจว่า “ปิ่นที่พวกเจ้าประดับเป็นปิ่นทึบหมดเลยหรือ”
ฉังเคอตกตะลึง กล่าวว่า “ปิ่นที่เจ้าประดับเป็นปิ่นกลวงหรือ”
“ใช่!” หวังซีกล่าวอย่างไม่ยี่หระ “ปิ่นทึบหนักมากนี่นา ตอนเป็นเด็กข้าไม่ยอมสวมของเหล่านี้ พวกหมัวมัวปักให้ข้าข้าก็ดึงออก ท่านแม่ของข้าไม่มีทางเลือก จึงสั่งทำปิ่นกลวงให้ข้า ข้าก็เลยประดับปิ่นกลวงมาตลอด”
“แต่ปิ่นกลวงฝังอัญมณีไม่อยู่นี่นา!” ฉังเคอเอ่ยอย่างงุนงง “ข้าดูเครื่องประดับที่เจ้าสวม ล้วนแล้วแต่ฝังอัญมณีทุกรูปแบบเอาไว้ทั้งสิ้น”
หวังซีอมยิ้ม ถอดปิ่นฝังหินลี่ว์ซง[1]ออกมาจากศีรษะชิ้นหนึ่งยื่นส่งให้ฉังเคอ “เจ้าดู”
ฉังเคอถืออยู่ในมือก็สัมผัสได้ว่าน้ำหนักเบามาก มองอย่างละเอียดอีกครั้ง พบว่าสีของหนามเตยเหล่านั้นอ่อนกว่าตัวปิ่น หากไม่ขยับมาดูใกล้ๆ อย่างถี่ถ้วนก็คงดูไม่ออก
นางอดร้องออกมาอย่างประหลาดใจไม่ได้ว่า “หนามเตยเป็นทองชุบ!”
ฉังเคออดไม่ได้ยกปิ่นชิ้นนั้นขึ้นส่องกับแสงอาทิตย์มองแล้วมองอีก “นี่คงเป็นหินลี่ว์ซงกระมัง สีเขียวนี้ช่างงดงามจริงๆ! ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ก็มีปิ่นฝังหินลี่ว์ซงชิ้นหนึ่ง ถึงแม้จะเม็ดใหญ่กว่าของเจ้า แต่สีมิได้งดงามเท่าของเจ้า ลายเส้นก็มิได้งดงามเท่าของเจ้าด้วย ชิ้นนี้ของเจ้า คล้ายกับลายน้ำแข็งร้าว คงหายากมากกระมัง”
หวังซีพยักหน้า กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าชอบหรือ เช่นนั้นมอบให้เจ้าก็แล้วกัน! ข้ายังมีปิ่นเช่นนี้อีกเป็นจำนวนมาก”
ฉังเคอส่ายศีรษะระรัว กล่าวว่า “ไร้ผลงานไม่รับรางวัล ไม่มีเหตุอะไร เจ้าจะมอบของให้ข้าทำไม! ต่อให้เจ้ามีของมากเท่าไรก็เป็นของของเจ้า ข้าไม่อยากได้”
หวังซีเองก็ไม่บีบคั้น
การให้เป็นเรื่องสนุกมากเรื่องหนึ่ง คนให้มีความสุข คนรับก็มีความสุขด้วยถึงจะดี แต่ถ้ามีเพียงคนให้ที่มีความสุข เช่นนั้นมิใช่การให้ นั่นคือการสร้างความร้าวฉาน
นางมิใช่คนที่มอบของให้คนแล้วยังสร้างความร้าวฉานกับผู้อื่นอีกประเภทนั้น
หวังซีรับปิ่นที่ฉังเคอส่งมาให้ ยิ้มพลางเสียบเข้าไปในเรือนผมใหม่อีกครั้ง กล่าวว่า “เช่นนั้นเวลาที่เจ้าต้องการใช้ค่อยมาบอกข้า”
“ได้!” ฉังเคอรับคำอย่างสบายๆ
ผู้ใดจะมีเครื่องประดับมากมายขนาดนั้น การยืมเครื่องประดับของกันและกันระหว่างพี่สาวน้องสาวเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงถือเป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง
หวังซีพยักหน้ายิ้มๆ อย่างร่าเริง เงยหน้าขึ้น เห็นแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาจากพุ่มต้นไม้ประหนึ่งทองคำแตกระแหงออกเป็นเสี่ยงๆ นึกขึ้นได้ว่าพวกนางมาได้ครู่ใหญ่แล้ว กล่าวกับฉังเคอว่า “ข้ายังอยากดูเฉินลั่วอีกสักหน่อย ก่อนหน้านี้รู้เพียงว่าเขารำกระบี่เป็น แต่ไม่รู้ว่าเขายิงธนูเป็นด้วย ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เช้าเขาจะมารำกระบี่ที่นี่อีกหรือไม่”
ขณะที่กล่าว นางยกกล้องส่องทางไกลขึ้นอีกครั้ง โน้มตัวออกไปสอดส่องเฉินลั่ว
ในลำกล้องกลมนั้น ฝีมือยิงธนูของเฉินลั่วก็ดีมากเช่นกัน
ยิงโดนตรงกลางเป้าพอดิบพอดี
แน่นอนว่าสิ่งที่น่ามองที่สุดยังคงเป็นตัวคน
เรือนร่างสูงตรงดั่งไผ่เขียว สีหน้านิ่งสงบดุจน้ำนิ่งในบ่อลึก
เป็นบุรุษรูปงามที่ใบหน้าและอากัปกิริยาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว
หวังซีทอดถอนใจอยู่ในใจ ยื่นกล้องส่องทางไกลส่งให้ฉังเคอที่อยู่ด้านข้าง “เจ้าเองก็ดูสักหน่อย”
ฉังเคอมองสองสามครั้งแล้วก็ส่งกล้องส่องทางไกลคืนให้หวังซี “ข้ายังคงรู้สึกว่าคุณชายใหญ่เฉินหล่อเหลากว่า!”
หวังซีนึกถึงลูกธนูขนนกสีขาวที่ปักอยู่ตรงใจกลางเป้าธนูดอกนั้น ไม่รู้ว่าถ้าเฉินลั่วยิงธนูต่อแล้วจะเกิดภาพเหตุการณ์อะไรขึ้น นางพาดตัวบนกำแพงอีกครั้ง มองเฉินลั่วยิงธนูไปด้วย ขานตอบฉังเคออย่างใจลอยไปด้วย “ข้าจำได้เจ้าเคยพูดว่ายังมีใครอีกคนหนึ่งที่หล่อเหลามากเช่นกัน องค์ชายสี่หรือไม่ก็องค์ชายห้านี่แหละ หล่อเหลาปานนั้นจริงๆ หรือ”
เพียงแต่ว่าไม่รอให้ฉังเคอตอบ หวังซีก็ร้องประโยคหนึ่งขึ้นมาเสียก่อนว่า “สุดยอดเกินไปแล้ว” พร้อมกับตบบ่าฉังเคอแรงๆ อย่างตื่นเต้น
“เกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรขึ้น” ฉังเคอถามอย่างร้อนใจ
“ถึงกับยิงโดนกลางลูกธนู ก้านลูกธนูแยกออกเป็นสองส่วน” หวังซีกล่าว ยื่นกล้องส่องทางไกลส่งให้ฉังเคออีกครั้ง “ข้ารู้ว่าบางคนมีฝีมือยิงธนูที่ยอดเยี่ยมมาก แต่ยอดเยี่ยมระดับนี้ พบเห็นได้น้อยมากจริงๆ! ข้าคิดว่าเขาต้องยอดเยี่ยมถึงขั้นที่ว่าแค่เสียงปล่อยลูกธนูหนึ่งดอกก็ทำให้นกตกใจกลัวได้แล้ว! หลีก่วง[2]ก็เป็นเช่นนี้กระมัง”
ฉังเคอยกกล้องส่องทางไกลขึ้นดูภาพเหตุการณ์ข้างบ้าน ครู่ใหญ่ถึงกล่าวขึ้นว่า “วิทยายุทธ์ของคุณชายใหญ่สกุลเฉินก็ไม่ธรรมดา ไม่คาดคิดว่าเฉินลั่วเองก็เก่งกาจถึงเพียงนี้!”
ในกล้องส่องทางไกล เห็นว่าเขาไม่เพียงยิงลูกธนูขนนกสีขาวที่ปักตั้งตรงอยู่ใจกลางเป้าจนแตกออกเท่านั้น ยังยิงจนลูกธนูที่ปักอยู่ตรงใจกลางเป้าก่อนหน้านี้แตกออกชี้ไปทั่วทุกทิศอีกด้วย
“เฉินอิงก็เก่งกาจขนาดนี้เหมือนกันหรือ” หวังซีสงสัยใคร่รู้ กล่าวว่า “หากข้าจำไม่ผิด คลับคล้ายว่าเฉินอิงอยู่กองพลขนนก ปกติเขางานยุ่งมากหรือ”
ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะได้พบคนผู้นี้
ฉังเคอเดาความคิดของหวังซีได้ หัวเราะร่าเอ่ยตอบ “ตอนนี้เขาเป็นหัวหน้ากองธงเล็กอยู่ที่กองพลขนนก ปกติก็ไม่มีธุระอะไร อย่างไรก็ตาม ในวันหยุดหากเขาไม่ออกไปท่องเที่ยวกับสหายก็จะติดตามอยู่ข้างกายเจิ้นกั๋วกง ชายหญิงมีระยะห่าง ตอนนี้พวกข้าไม่ค่อยได้พบเขาแล้ว”
หวังซีไม่ยอมแพ้ ถามว่า “เจ้าบอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณชายสามฉังกับเขาไม่แย่นักมิใช่หรือ เขาไม่มาหาคุณชายสามฉังบ้างเลยหรือ”
ฉังเคอเองก็มิใช่เด็กแล้ว นางได้ยินแล้วทำปากเบ้ กล่าวว่า “เป็นพี่ชายสามที่ไปหาเขา มิใช่เขามาหาพี่ชายสาม”
นี่คงได้แต่ต้องรอให้มีวาสนาถึงจะได้เจอแล้วกระมัง
หวังซีถอนหายใจอย่างผิดหวังครั้งหนึ่ง พาดตัวบนกำแพงอีกครั้ง หยิบกล้องส่องทางไกลจากมือของฉังเคอมาส่องดู “เฉินอิงกับเฉินลั่วหน้าตาเหมือนกันหรือไม่”
ฉังเคอหวนรำลึกพลางกล่าวอย่างตรึกตรองว่า “ข้ารู้สึกว่าคล้ายกันมาก พวกเขาสองพี่น้องสูงพอๆ กัน คุณชายใหญ่สกุลเฉินผิวขาวไม่เท่าเฉินลั่ว ใบหน้าเหลี่ยมกว่าเฉินลั่วเล็กน้อย คิ้วของเฉินอิงเป็นคิ้วดกหนาตามแบบฉบับทั่วไป ดูแล้วหนักแน่นมั่นคงกว่า คิ้วของเฉินลั่วโค้งเป็นมุม คิ้วบางเฉียบกว่า แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นคนพูดคุยด้วยยากผู้หนึ่ง ส่วนดวงตา ทั้งสองคนล้วนมีดวงตานกเฟิ่ง[3]สีเพลิง แต่ดวงตาของเฉินลั่วโตกว่าและเป็นสองชั้นกว่าของเฉินอิง ดูแล้วไม่ค่อยเหมือนดวงตานกเฟิ่งสีเพลิงนัก เหมือนดวงตารูปเมล็ดซิ่ง[4]มากกว่า โดยเฉพาะเวลาที่เขาจ้องมองเจ้าตอนโมโห แววตาเย็นยะเยือก สายตาชวนขนหัวลุก จึงทำให้ยิ่งดูไม่เหมือนกัน…”
“เอ๋!” หวังซีตัดบทคำพูดของนาง “คนเล่า? เหตุใดถึงหายไปแล้ว”
“หา!” ฉังเคอรีบพาดตัวข้ามไปดู
ในป่าไผ่เขียวครึ้ม ไม่เห็นร่างคนแล้วจริงๆ
“นี่ฝึกเสร็จแล้วหรือ” ฉังเคอพึมพำกล่าว “น่าจะยังนี่นา! อย่างไรก็น่าจะมีบ่าวชายเด็กคอยปรนนิบัติเช็ดมืออะไรต่างๆ อยู่ด้านข้างมิใช่หรือ ไม่น่าจะจากไปดื้อๆ เช่นนี้นี่นา!”
หวังซีเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน
นางยกกล้องส่องทางไกลขึ้นส่องไปรอบๆ ทั้งสี่ด้าน ทันใดนั้นพบว่าตรงหน้าต่างห้องรับรองที่สร้างอยู่บนภูเขาจำลองแห่งหนึ่งของจวนจ่างกงจู่เปิดกว้าง มีคนกำลังยกกล้องส่องทางไกลมองมาทางพวกนาง
และคนผู้นั้นยังสวมชุดองครักษ์สีดำอีกด้วย
ชัดเจนแล้วว่าคือคนที่ฝึกยิงธนูอยู่ในป่าไผ่เมื่อครู่นี้!
“จบสิ้นแล้ว พวกเราถูกเฉินลั่วจับได้แล้ว!” หวังซีกล่าวเสียงเบา ตกใจจนลืมหายใจ
ไม่ว่าใครก็ตามที่ต้องกลายเป็นความบันเทิงให้ผู้อื่นแอบมองย่อมรู้สึกไม่ดีทั้งนั้น
หวังซีรู้สึกว่าถ้าตัวเองถูกเฉินลั่วจับได้ ก็รู้สึกผิดเล็กน้อยจริงๆ
“จริงหรือ!” ฉังเคอร้อนใจเล็กน้อย ที่สำคัญคือกลัวว่าเฉินลั่วรู้เรื่องแล้วจะส่งคนมาฟ้องร้องที่บ้าน
“อื้อออ!” หวังซีตอบฉังเคอ มีกิ่งหลิวระย้าปัดผ่านหน้าผากนาง หัวใจของนางกระตุก
พวกนางยืนอยู่ใต้ต้นหลิวระย้า มีกิ่งไม้บดบังอยู่ จากประสบการณ์ที่เมื่อก่อนนางเคยขึ้นไปยืนมองอยู่บนที่สูงมาเหล่านั้น ถ้าหากไม่จับจ้องจุดที่นางอยู่แล้วตั้งใจมองอย่างละเอียด ก็ไม่น่าเห็นพวกนาง
ยิ่งไปกว่านั้นกล้องส่องทางไกลในมือเฉินลั่วดูแล้วเล็กกว่าของนาง กระจกกล้องก็เล็กกว่า โอกาสที่มองเห็นชัดเจนก็ยิ่งต่ำ
นางตบหน้าอกเบาๆ ปลอบโยนฉังเคอว่า “ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว เวลานี้พวกเราซ่อนตัวอยู่ใต้ต้นไม้ก่อนอย่าเพิ่งขยับ เขาก็หาพวกเราไม่เจอแล้ว”
ฉังเคอฟังแล้ว นอกจากสีหน้าไม่ผ่อนคลายลงแล้ว กลับยิ่งร้อนใจมากขึ้น กล่าวด้วยดวงหน้าซีดเผือดว่า “เขายืนอยู่ข้างหน้าต่างเรือนวสันต์สราญใช่หรือไม่ และในมือเขาถือกล้องส่องทางไกลเหมือนกับของเจ้าเอาไว้ด้วยใช่หรือไม่ ข้าได้ยินพี่ชายสามของข้ากล่าวว่า เขาเคยยืนอยู่บนชั้นสองของพระที่นั่งจันทราที่ภูเขาหมื่นปี ยิงธนูไปถึงสะพานเต่าทอง เขาคงมิได้คิดจะยิงธนูใส่พวกเราหรอกกระมัง”
“ไม่…ไม่หรอกกระมัง!” หวังซีตกใจจนปากอ้าตาค้าง “ชีวิตคนมีค่ายิ่ง เขาคงไม่ถึงกับจะเอาชีวิตคนราวกับฟางข้าวไร้ค่าหรอกกระมัง!”
“เขาสนใจชีวิตของผู้อื่นตั้งแต่เมื่อใดกัน!” ฉังเคอจะร้องไห้อยู่รอมร่อแล้ว “ตอนเขาเรียนหนังสืออยู่ในวัง เคยพนันขันต่อกับองค์ชายสี่ ดูว่าผู้ใดจะยิงรังนกบนต้นไม้ได้ ผลปรากฏว่าเกือบยิงพลาดไปโดนปั๋วหมิงเย่ว์ที่เดินผ่านทางมาพอดี ปั๋วหมิงเย่ว์เป็นหลานชายร่วมสายโลหิตของฮองเฮาเหนียงเหนียง เป็นคุณชายเล็กที่ได้รับการเอาอกเอาใจมากที่สุดของจวนชิ่งอวิ๋นโหว ตระกูลปั๋วยังทำได้เพียงปล่อยให้เรื่องผ่านไป แล้วพวกเราสองคนนับเป็นตัวอะไร!”
หน้าผากของหวังซีมีเหงื่อซึม รู้สึกว่าครั้งนี้ตนคำนวณพลาดไปแล้ว
ฉังเคอร้อนใจยิ่งนัก ทว่าไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่นิดเดียว กลัวว่าจะทำให้กิ่งไม้ส่ายไปมา แล้วถูกเฉินลั่วหาเจอ “คงมิใช่ว่าเขาค้นพบมาตั้งนานแล้วว่าเจ้าแอบดูเขาอยู่? ไม่เช่นนั้นจู่ๆ วันนี้เขาจะเปลี่ยนมาฝึกยิงธนูได้อย่างไร ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าเขารำกระบี่อยู่ในป่าไผ่มิใช่หรือ”
“ไม่…ไม่ใช่หรอกกระมัง!” หวังซีตะกุกตะกักกล่าว นึกถึงสายตาเฉียบคมดุจคมมีดที่มองตรงมาผ่านกล้องส่องทางไกลเมื่อคราก่อนขึ้นมา เป็นครั้งแรกในชีวิตที่รู้สึกไม่มั่นใจขนาดนี้
………………………………………………………………………
[1] หินลี่ว์ซง หินเทอร์ควอยส์
[2] หลีก่วง (李广) แม่ทัพสมัยราชวงศ์ฮั่น เป็นที่เกรงกลัวของคนเผ่าซยงหนู
[3] นกเฟิ่ง นกฟีนิกซ์
[4] ซิ่ง แอพพริค็อท (apricot)