เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 171 ลงมือ
เฉินลั่วเพิ่งกล่าวจน ก็มีศีรษะหนึ่งยื่นเข้ามาจากปากถ้ำ
เป็นบุรุษอายุประมาณสามสิบปี หน้าตาธรรมดาสามัญ ร่างผอมสูงปานกลาง หากมิใช่เพราะสีหน้าเผยความคึกคะนองที่คล้ายคลึงกับเสียงพูดเมื่อครู่ออกมาให้เห็นหลายส่วนละก็ เฉินลั่วไม่มีทางคิดว่าเขามีความเกี่ยวพันกับคำว่าจอมยุทธ์รับจ้างสามคำนั้นแน่ๆ
“ไม่ได้!” เขาเลิกคิ้วขึ้นมองเฉินลั่ว กล่าวอย่างมีน้ำโหเล็กน้อยว่า “พวกข้าหาใช่คนไร้ชื่อเสียง พวกข้าให้ความสำคัญกับความเชื่อมั่น รับเงินพวกเจ้ามาแล้ว ก็ต้องรับผิดชอบหน้าที่ให้สำเร็จ เร็วเข้า! รีบลุกขึ้นมา! พวกเราไปกันได้แล้ว”
เขาเห็นเฉินลั่วไม่มีความคิดจะไป จึงก้าวเข้ามาดึงแขนเฉินลั่ว ยังกล่าวอีกว่า “ต่อให้เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว ก็ต้องรอให้ข้าพาเจ้าออกไปก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที หาไม่ข้าคงไม่ได้ค่าจ้างที่เหลือเป็นแน่ แม้นเจ้าบอกว่าแม้แต่ความตายเจ้าก็ไม่กลัว แต่คงไม่ถึงกับต้องทำให้ข้าไม่ได้รับเงินค่าจ้างหรอกกระมัง เพียงแต่เสียดายแทนนายจ้างที่มอบหมายงานให้พวกข้า อุตส่าห์จ่ายเงินไปก้อนใหญ่ หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปคงมีชีวิตอยู่อย่างสบายๆ ไปได้ทั้งชีวิต”
เฉินลั่วได้ยินแล้วหัวใจกระตุก
เขารู้ว่าหวังซีจ้างคนมาให้เขา แต่ไม่คิดว่าจะใช้เงินจำนวนมากขนาดนี้
เขานึกถึงทุกครั้งที่นางเจอเขาก็มักจะเผยสีหน้า ‘ทุกอย่างมีราคา’ ออกมาให้เห็นสีหน้านั้นขึ้นมา หากนางรู้ว่าเขาเป็นคนทำลายทุกอย่างด้วยตัวเอง ต้องเสียใจมากแน่ๆ
นึกถึงตรงนี้ หัวใจของเฉินลั่วเต้นตึกๆ อย่างรุนแรงขึ้นมาสองครั้ง อดถามไม่ได้ว่า “พวกเจ้ามีกี่คน”
จอมยุทธ์รับจ้างผู้นั้นกลัวเขาจะหมดอาลัยตายอยากไม่ยอมไปกับเขา ได้ยินแล้วรีบตอบว่า “มากันสิบกว่าคน บัดนี้เหลือเพียงหกคนเท่านั้น เจ้าต้องอยู่รอดปลอดภัย หาไม่พวกข้าคงได้ตายตกกันหมดแน่ นายจ้างจะต้องชดเชยเงินอีกก้อนให้พวกข้าด้วย!”
ตอนเขากล่าวถ้อยคำนี้สีหน้าดูเหมือนสบายๆ แต่เฉินลั่วกลับสัมผัสจากแรงที่เขาจับอยู่บนแขนของตนได้ว่าเขากดดันมากเพียงไร
เห็นได้ชัดว่าเขารู้ถึงอันตรายของวันนี้เป็นอย่างดี
แต่เขาก็ยังมา
ระหว่างพวกเขาไม่มีความรู้สึกอะไรต่อกัน เป็นเพียงมนุษย์ที่ตายเพื่อความมั่งคั่งดั่งปักษาที่ตายเพื่ออาหารเท่านั้น
ถือเสียว่าเห็นแก่เงินก้อนใหญ่ของหวังซีก้อนนั้น เขาเองก็จะตายง่ายๆ เช่นนี้ไม่ได้เหมือนกัน!
เฉินลั่วได้พลังกายพลังใจกลับมา
จอมยุทธ์รับจ้างผู้นั้นสัมผัสถึงมันได้ในทันที คิดว่าที่แท้คนผู้นี้ก็เสียดายเงินทองนี่เอง เช่นนั้นก็จัดการง่าย เขารีบกล่าว “จะว่าไปแล้ว บอกว่าร่างกายของเจ้าสร้างมาจากทองคำก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินจริง เจ้ารู้หรือไม่ว่านายจ้างใช้เงินจ้างพวกข้าจำนวนเท่าไร” เขาบอกตัวเลขที่ทำให้เฉินลั่วถึงกับพูดไม่ออกเล็กน้อย จากนั้นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเป็นจอมยุทธ์รับจ้างมานานหลายปี นี่นับเป็นครั้งแรกที่ได้เงินจำนวนมหาศาลขนาดนี้ เพราะฉะนั้นมนุษย์เรานี้ ตายดียังไม่สู้อยู่อย่างไร้ยางอาย ถ้าหากไม่อยู่อย่างไร้ยางอาย ไหนเลยจะมีวันได้เจอเรื่องอย่างวันนี้”
เฉินลั่วไม่กล่าวอะไร แต่รู้สึกตรึงใจเล็กน้อย
ภายใต้การคุ้มครองของจอมยุทธ์รับจ้างแบบเปิดเผยบ้างแบบลับๆ บ้าง เขาก็สลัดทหารที่ตามไล่ล่าเขาเอาไว้ด้านหลังและหนีออกมาจากกำแพงสูงของวัดหลิงกวงที่เต็มไปด้วยอันตรายรอบด้านได้
เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าเมื่อออกมาแล้วตนจะได้พบกับหวังสี่ที่ปลอมตัวเป็นคนขับรถม้า
เขาขับรถม้าหลังคาแบนราบลงน้ำมันตุงกลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่ง พอเห็นเขาดวงหน้าก็เผยความยินดีออกมา กระโดดลงจากเพลารถมาเปิดประตูให้เขา เรียก “คุณชาย” เบาๆ เสียงหนึ่ง กล่าวต่ออย่างรีบร้อนว่า “คุณหนูใหญ่ทราบว่าเกิดเรื่องกับท่าน บอกพวกข้าว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรับท่านเข้าเมืองให้ได้ ยังบอกด้วยว่า มีแค่กรณีที่ท่านกับองค์ชายใหญ่ไม่อยู่แล้วเท่านั้นถึงพูดไม่ได้ แต่ตราบใดที่ท่านและองค์ชายใหญ่คนใดคนหนึ่งยังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่นับว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชนะแล้ว”
เพราะฉะนั้นเขาควรจะมีชีวิตรอดให้เร็วที่สุดถึงจะถูก
เฉินลั่วเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นกระโดดขึ้นรถม้าแล้วหันไปพยักหน้าให้หวังสี่ ปล่อยม่านรถม้าลง
หวังสี่เห็นเขาไม่โวยวายสร้างปัญหาอะไรก็ดีใจเป็นอย่างมาก รอเฉินลั่วขึ้นรถม้าเรียบร้อยแล้ว เขาก็เคลื่อนรถม้าหมายจะมุ่งเข้าเข้าเมือง
เฉินลั่วเปล่งเสียงห้ามหวังสี่เอาไว้ กล่าวว่า “เกรงว่าเข้าเมืองเวลานี้คงไม่เหมาะสมนัก พวกเราไปสะพานศิลาขาวดีกว่า”
โชคดีที่ตอนนั้นเขาบังเอิญซื้อบ้านหลังหนึ่งที่สะพานศิลาขาวเอาไว้
หวังสี่มองถนนที่มีเงาร่างคนกระจัดกระจาย ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าเลี้ยวรถม้ามุ่งไปทางสะพานศิลาขาว
เพียงแต่ว่าพวกเขามาได้แค่ครึ่งทางก็ถูกทหารของกองพลส่วนพระองค์กลุ่มหนึ่งที่เหมือนกำลังลาดตระเวนอยู่ขวางทางเอาไว้ ยืนกรานว่าต้องการตรวจสอบคนในรถให้ได้
พวกเขามีกันประมาณสามสิบกว่าคน หวังสี่ไม่กล้าขัดขืน ไปเปิดประตูรถไปด้วย กล่าวไปด้วยว่า “คุณชายของพวกข้าไม่สบาย ต้องไปหาหมอในเมือง แต่ถนนเส้นไหนก็ถูกปิดทางเอาไว้หมด จำต้องย้อนกลับบ้าน นายท่าน เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือขอรับ ชนชั้นสูงพระองค์ไหนในวังจะออกเดินทางหรือ”
ประชาชนที่อาศัยอยู่ในจิงเฉิงมักได้เจอกับเรื่องเช่นนี้อยู่เสมอ ยามฮ่องเต้ ฮองเฮาหรือไม่ก็องค์ชายพระองค์ไหนเสด็จออกนอกวัง มักจะปิดถนน ต่อให้พวกเขามีธุระสำคัญขนาดไหน ก็จำต้องอยู่แต่ในบ้าน
ทหารจากกองพลส่วนพระองค์ผู้นั้นไม่ตอบ ยื่นศีรษะเข้าไป เห็นบัณฑิตหนุ่มอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปีผู้หนึ่งนอนอยู่ด้านใน เขาอยู่ในชุดเต้าเผาผ้าไหมหังโจวสีน้ำตาลคอป้ายสีขาวที่ราคาไม่สูงนักแต่ก็นับว่ามีเกียรติมากพอสมควรตัวหนึ่ง ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท ดวงหน้าซีดเซียวนอนอยู่บนหมอนอิงสีกรมท่าใบใหญ่อย่างคนไม่สบาย ด้านข้างมีสตรีที่ดูเหมือนบ่าวในบ้านอายุประมาณสามสิบปีผู้หนึ่งนั่งอยู่
เห็นเจ้าหน้าที่เข้ามาตามหาคน แต่สตรีผู้นั้นกลับไม่ได้มีท่าทีตระหนกตกใจเหมือนประชาชนคนธรรมดาทั่วไป กล่าวอย่างนอบน้อมและถ่อมตัวว่า “ไม่ทราบว่าใต้เท้าทำงานอยู่ในที่ว่าการใดหรือ ลุงเขยของนายท่านของพวกข้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของใต้เท้าสือประจำกองพลทองคำ ต่างล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน ได้โปรดอำนวยความสะดวกให้สักครั้งหนึ่งเถิดเจ้าค่ะ” กล่าวจบ ยังยัดถุงเงินใบหนึ่งให้ด้วย
คนผู้นั้นไม่รับถุงเงิน แต่ถามพวกเขาอย่างละเอียดว่าคนที่ทำงานอยู่ในกองพลทองคำผู้นั้นเป็นใคร
สตรีผู้นั้นให้รายละเอียด ทว่านัยน์ตากลับเผยความกังวลใจออกมาให้เห็นหลายส่วนพลางหันไปมองชายหนุ่มที่ดูเหมือนหมดสติไปแล้วผู้นั้นหลายต่อหลายครั้ง
ทหารผู้นั้นอดไม่ได้หันไปมองคุณชายผู้นั้นสองสามครั้ง เห็นว่าเป็นคนไม่คุ้นหน้าจริงๆ จึงวิ่งฉิวไปยังศาลาที่อยู่ไม่ไกลออกไปทางด้านหน้า
เฉินลั่วมิได้ลืมตา เพียงรู้สึกว่าจอมยุทธ์รับจ้างเหล่านี้ช่างเก่งกาจนัก ในเวลาเพียงไม่นานก็คิดแผนการเช่นนี้ออกมาได้ นอกจากนี้ยังทำให้คนดูไม่ออกอีกด้วย ไม่แปลกที่ค่าจ้างจะสูงลิ่วขนาดนั้น
เขาอยากกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ก็กลัวว่าจะทำให้พวกเขาเสียแผน สุดท้ายเม้มปากแน่นไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
สตรีผู้นั้นเป็นหนึ่งในจอมยุทธ์ที่ตระหวังจ้างมา นางเงี่ยหูฟังครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าโดยรอบไม่มีคนอยู่แล้วจริงๆ ถึงได้กระซิบกล่าวขึ้นว่า “เห็นว่าหัวหน้าอยู่ด้านหน้า เป็นกงกงท่านหนึ่ง”
เฉินลั่วอดไม่ได้กดเสียงลงต่ำเอ่ยถามว่า “รู้หรือไม่ว่ากงกงผู้นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร”
สตรีผู้นั้นส่งข่าวออกไป ผ่านไปครู่หนึ่งก็ได้ข้อมูลกลับมาว่า “อายุประมาณสี่สิบปี รูปลักษณ์ภูมิฐาน ดูหน้าตาแล้วเหมือนคนใจดี ตรงหัวคิ้วซ้ายมีไฝอยู่เม็ดหนึ่ง”
เป็นหม่าซาน
เฉินลั่วเม้มปากไม่กล่าวสิ่งใด รู้สึกว่าองค์ชายใหญ่คงโชคร้ายมากกว่าโชคดีแล้ว
เช่นนั้นเขาก็ต้องหนีออกไปให้ได้
ไม่อย่างนั้นคงไม่อาจอธิบายเรื่องนี้ให้กระจ่างได้
ยังมีเฉินอวี้อีกคน เพื่อความปลอดภัยแล้วทุกคนจึงแยกกันไป
หวังว่าเขาจะหนีรอดออกมาได้
บัดนี้เฉินลั่วไม่จำเป็นต้องวาดใบหน้าให้ดูน่าเกลียด สีหน้าก็ไม่น่าดูพอแล้ว
หลังจากนั้นเขาก็ดูเหมือนคนป่วยจริงๆ ปล่อยให้หวังสี่และจอมยุทธ์เหล่านั้นพาเขากลับไปที่สะพานศิลาขาว
เพื่อให้อาหลีเข้าโรงเรียน เมื่อเร็วๆ นี้หลิวจ้งกับอาหลีจึงย้ายไปอยู่ที่ซอยลิ่วเถียว บ้านทางนี้ก็เลยว่าง เหลือป้ารับใช้ทำงานหยาบเอาไว้เพียงสองคนเท่านั้น เมื่อเห็นหวังสี่ถือป้ายของเฉินลั่วมาด้วย ป้ารับใช้ทั้งสองก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก ปล่อยให้รถม้าของหวังสี่เข้ามา
แต่พวกหวังสี่ทิ้งรถม้าไว้ที่สะพานศิลาขาว แล้วแอบเข้าไปยังลานบ้านหลังที่หวังซีเคยจอดรถม้าก่อนหน้านี้จากทางประตูหลัง
เฉินลั่วกล่าวกับหวังสี่ว่า “ต่อให้พวกเขามาตรวจถึงที่นี่ พวกเราก็หาทางหนีออกไปได้”
จอมยุทธ์ที่ปลอมตัวเป็นบ่าวหญิงผู้นั้นมองซ้ายมองขวาพลางกล่าว “ข้าคิดว่าหอโคมเขียวปลอดภัยที่สุด แทนที่จะซ่อนตัวอยู่ที่นี่ พวกเราไปซ่อนตัวที่หอโคมเขียวดีกว่า”
จอมยุทธ์คนที่ไปตามหาเฉินลั่วในถ้ำผู้นั้นกลับกล่าวยิ้มๆ ว่า “ที่นี่คือจิงเฉิง หอโคมเขียวแห่งใดไม่มีผู้อยู่เบื้องหลังบ้าง? แล้วคนแปลกหน้าคนใดไปสถานที่ประเภทนั้นแล้วจะไม่ถูกจดจำเอาไว้บ้าง? ข้าว่าที่นี่ดีแล้ว ที่นี่ดีมากแล้ว!”
คนอื่นๆ ไม่กล่าวสิ่งใด หวังสี่คุยกับเฉินลั่วสองสามประโยค บอกว่าจะไปเตรียมการเรื่องเข้าเมืองให้เฉินลั่ว
เฉินลั่วรู้สึกว่าไม่จำเป็น ไม่แน่ว่าอาจเป็นการเปิดเผยร่องรอยของหวังซีออกไปด้วยก็เป็นได้
หวังสี่กลับกล่าวยิ้มๆ ว่า “ตอนข้าเดินทางมาคุณหนูใหญ่ได้กำชับเอาไว้แล้วว่าสถานที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด จะให้ดีที่สุดคือพาท่านกลับไปที่จวนจ่างกงจู่หรือไม่ก็ซอยลิ่วเถียว เช่นนี้ต่อให้มีคนถาม ก็บอกได้ว่าท่านกลับมาจากวัดหลิงกวงนานแล้ว ให้คนที่วางแผนทำร้ายท่านเหล่านั้นได้แต่ต้องกลืนยาขมเงียบๆ และต่อให้ขมแค่ไหนก็พูดออกมาไม่ได้ถึงจะดี”
อย่าว่าไปเชียวเพราะนี่คือนิสัยของหวังซีจริงๆ
เฉินลั่วอดหัวเราะออกมาไม่ได้ คิดว่าหากตนตายอยู่ที่วัดหลิงกวงจริงๆ ไหนเลยจะได้เจอหวังซีคนฉลาดเจ้าเล่ห์และแปลกประหลาดผู้นี้อีก
เขาเรียกหวังสี่เอาไว้ ครุ่นคิดพลางเดินกลับไปกลับอยู่ในห้อง สุดท้ายกล่าวว่า “เจ้าช่วยข้าส่งจดหมายไปให้จินซงชิงฉบับหนึ่ง บอกว่าข้าต้องการเข้าเมือง ให้เขาหาทางให้สักทางหนึ่ง”
เนื่องจากหวังสี่ไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นในสวนป่า คิดว่าในเมื่อเป็นคำสั่งของเฉินลั่ว ย่อมต้องมีความมั่นใจหลายส่วน จึงรีบรับคำแล้วให้คนนำความไปแจ้งจินซงชิง
ฟากหวังซีนอกจากร้อนใจจนเหมือนมดที่เดินวนไปวนมาอยู่บนกระทะร้อนๆ แล้ว ยังรู้สึกหวาดกลัวเป็นระลอกๆ อย่างห้ามไม่อยู่อีกด้วย
โชคดีที่นางจ้างจอมยุทธ์รับจ้างให้เฉินลั่วได้ทันท่วงที และทั้งหมดยังเป็นจอมยุทธ์ยอดฝีมืออีกด้วย ตอนที่จอมยุทธ์เหล่านั้นสังเกตเห็นว่าสถานการณ์ไม่ค่อยปกตินักจึงมาหารือกับนางว่าควรทำอย่างไรนั้น นางถึงค้นพบว่าเฉินลั่วเผชิญหน้ากับอันตรายอยู่
กองพลส่วนพระองค์ของราชวงศ์ปฏิบัติการด้วยตัวเอง ทว่ากลับข้ามกองพลที่เป็นพันธมิตรกับเฉินลั่วอย่างกองพลม้าทะยานทั้งสี่ กองพลทองคำ และกองพลขนนกไป ให้ทหารที่มาจากต้าถงเปลี่ยนไปสวมชุดของกองพลส่วนพระองค์แทน
คำสั่งการในระดับที่ใหญ่ขนาดนี้ นอกเสียจากว่าชิ่งอวิ๋นโหวต้องการก่อกบฏแล้ว ก็ไม่น่าจะมีอำนาจสั่งเคลื่อนจำนวนคนได้มากมายขนาดนี้
นี่ฮ่องเต้ต้องการลงมือกับเฉินลั่วแล้วหรือ
ระหว่างที่สายตาของทุกคนต่างจับจ้องอยู่ที่งานแต่งของเฉินอิง ก็ลงมือกับเฉินลั่วอย่างไม่ให้ตั้งตัว
ศัตรูของศัตรูคือมิตรของพวกเรา
น่าเสียดายที่คนของหวังซีเพียงพอให้ปกป้องได้แค่เฉินลั่วเท่านั้น ไม่รู้ว่าองค์ชายใหญ่หนีรอดออกมาได้หรือไม่
แต่สถานการณ์ในตอนนี้กลับทำให้หวังซีเข้าใจเรื่องราวได้อย่างกระจ่างและจิตใจสงบขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนหน้านี้
สังหารองค์ชายใหญ่กับเฉินลั่วเสร็จทีนี้ก็มีเหตุผลมากมายมาลากชิ่งอวิ๋นโหว เจิ้นกั๋วกงหรือแม้กระทั่งจ่างกงจู่ ฮองเฮาเหนียงเหนียงและองค์ชายรองลงน้ำไปด้วยกันทั้งหมด โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงกับการไปสร้างเรื่องวุ่นวายในวังหลัง กล่าวคือเฉินลั่วกับองค์ชายรองดีต่อกันเสมือนพี่น้องแท้ๆ ทั้งในและนอกราชสำนักต่างรู้ดี ส่วนจ่างกงจู่กับฮองเฮาเหนียงเหนียงก็เป็นน้องสามีกับพี่สะใภ้ที่เข้ากันได้ดี เรื่องนี้แทบจะจารึกอยู่ในตำราประวัติศาสตร์อยู่แล้ว
หากเกิดเรื่องขึ้นกับเฉินลั่ว ยิ่งไปกว่านั้นเขาอยู่กับองค์ชายใหญ่ และในเรื่องนี้ยังมีตำแหน่งรัชทายาทและตำแหน่งซื่อจื่ออยู่ด้วยอีก เรื่องราวที่แต่งเติมขึ้นมาได้คงมีไม่มากแล้ว
เพราะฉะนั้นเรื่องที่เร่งด่วนที่สุดในตอนนี้คือเฉินลั่วต้องกลับเข้าเมือง
เมื่อเข้าเมืองได้แล้ว มีจ่างกงจู่ปกป้อง มีจวนชิงผิงโหวและจวนชิ่งอวิ๋นโหวให้การสนับสนุนและคุ้มครอง เฉินลั่วถึงจะมีโอกาสหนีรอดจากการลอบสังหารครั้งนี้ได้
หวังซีเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้อง
ไป๋ซู่ที่ได้รับคำสั่งให้ออกไปข้างนอกกลับมาแล้ว นางนำห่อของวางลงข้างกายหวังซี กล่าวเสียงสูงว่า “คุณหนูใหญ่ ยาสมุนไพรที่ท่านต้องการอยู่นี่แล้วเจ้าค่ะ”
หวังซีคิดว่าต้องบำรุงเฉินลั่วดีๆ ถึงจะใช้การได้ นอกจากให้ไป๋ซู่ไปเอายาสำเร็จรูปจากร้านขายยาเพื่อมวลชนมาเป็นจำนวนมากแล้ว ยังให้นำยาสมุนไพรราคาแพงมาไม่น้อยด้วย เตรียมเอาไว้ใช้ในยามจำเป็น
……………………………………………………………………..