เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 180 โชคดี
เขามองจนหวังซีงุนงง กล่าวว่า “เป็นอะไรไป? หรือไม่ใช่แค่ขาดเงิน ยังต้องการให้ข้าทำเรื่องอื่นให้ด้วย? เจ้าบอกมาเถิด ขอเพียงเป็นเรื่องที่ข้าทำได้ ข้ารับประกันว่าจะทำให้อย่างแน่นอน”
“เปล่า!” เฉินลั่วกล่าวเสียงค่อย “หากข้าหนีไป เจ้าเชื่อใจข้าขนาดนั้นเลย? บางทีพอข้าจากไปแล้วอาจหาตัวไม่เจออีก ทองคำที่เจ้าให้มาเหล่านี้ข้าเอาไปแลกเป็นตั๋วเงินหมดเล่า”
ไม่เป็นไรนี่นา!
ท่วงท่าที่เจ้ารำกระบี่อยู่ในลานบ้านดูงดงามเพียงนั้น ข้าได้มองตั้งหลายครั้ง แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
โชคดีที่หวังซีรู้สึกว่าการพูดเช่นนี้ดูไม่ค่อยเหมาะสมนัก นางหัวเราะแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเสีย กล่าวว่า “ทำการค้าย่อมมีช่วงเวลาที่ได้กำไรและขาดทุน แม้นไม่ได้รับช่วงดูแลงานของที่บ้านอย่างจริงจัง ทว่าที่ผ่านมาก็ไม่เคยขาดทุนมาก่อน หากเจ้าต้องการหนีไปจริงๆ ก็ถือเสียว่าเป็นค่าบทเรียนของข้าก็แล้วกัน!”
เฉินลั่ว...รู้สึกว่าความรู้สึกซาบซึ้งใจเล็กน้อยที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ได้มลายหายไปหมดแล้ว แต่อย่างไรก็ตามความกังวลที่รู้สึกตอนเดินทางมาที่นี่ก็หายไปด้วยเช่นกัน
เขาหันไปยักคิ้วให้นางอย่างเบิกบาน ถามว่า “ข้าเป็นของซื้อขายหรอกหรือ”
หวังซีเม้มปากหัวเราะ ไม่กล่าวอะไร นัยน์ตาดวงโตเป็นประกายระยิบระยับ เสมือนน้ำทะเลสาบในฤดูใบไม้ผลิ เฉินลั่วมองจนตะลึงงันไปอีกครั้ง ผ่านไปครู่หนึ่งถึงกล่าวขึ้นว่า “ข้ามาถามเจ้าเรื่องปั๋วหมิงเย่ว์ เหตุใดเขาถึงคิดส่งกระดาษกับพู่กันมาให้เจ้า? พวกเจ้าไปเจอเขาได้อย่างไร พูดอะไรกันบ้าง”
“ไอโยว ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น น่าจะเป็นเพราะบังเอิญเจอกันกระมัง!” หวังซีกล่าว เล่าเรื่องที่หวังหมัวมัวกลับมาบอกนางให้เฉินลั่วฟังคร่าวๆ อีกครั้ง “ตอนหวังหมัวมัวออกมาจากวิหารใหญ่บังเอิญเจอเขา ตอนนั้นคุณชายปั๋วดูรีบร้อน หวังหมัวมัวตรึกตรองดูแล้วถึงก้าวออกไปกล่าวทักทายเขา ณ ตอนนั้นเขาถามหวังหมัวมัวไปสองสามประโยค หวังหมัวมัวเลือกบอกสิ่งที่บอกได้ พอกลับมาเขาก็ส่งกระดาษกับพู่กันมาให้ ทำเอาข้าเองก็รู้สึกกระอักกระอ่วนมากเหมือนกัน”
“แต่ปั๋วหมิงเย่ว์ไปทำอะไรที่วัดอวิ๋นจวี?” เฉินลั่วกล่าวออกมาอย่างสงสัย “ข้าคิดว่าเจ้าบังเอิญเจอพวกเขาทั้งพี่ชายและน้องสาวเสียอีก!”
“เปล่า เจอคุณชายปั๋วเพียงคนเดียวเท่านั้น” หวังซีเองก็รู้สึกสงสัยเช่นกัน ตามหลักแล้วเวลานี้ปั๋วหมิงเย่ว์ควรไม่มีกะจิตกะใจและไม่มีเวลาว่างไปวิ่งเล่นข้างนอกถึงจะถูก “หรือไปที่นั่นเพราะมีธุระอะไร?”
เมื่อคำพูดนี้ออกจากปาก ทั้งสองคนก็อดสบสายตากันไม่ได้
จริงด้วย พอเกิดเรื่องขององค์ชายใหญ่ ฮ่องเต้อดกลั้นไว้ไม่ขยับเขยื้อนตัว องค์ชายใหญ่กับเฉินลั่วพักรักษาตัวอยู่ที่วัดเจินอู่ กองพลทองคำกับกองพลขนนกเฝ้าอยู่ที่วัดเจินอู่ ตระกูลซือที่ฉวยโอกาสลอบสังหารเฉินลั่ว ชิ่งอวิ๋นโหวที่ละเมิดกฎสั่งเคลื่อนย้ายกองพลขนนก นักฆ่าที่ลอบสังหารองค์ชายใหญ่ ล้วนยังไม่มีคำอธิบายออกมาสักข้อ เวลานี้แม้แต่ฝ่ายร้องเรียนยังไม่มีความเคลื่อนไหว ดูคล้ายความนิ่งสงบก่อนพายุฝนห่าใหญ่กำลังจะมา เป็นช่วงเวลาที่ทำให้คนต่างรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง และต่างไม่กล้าขยับตัวทำอะไรตามอำเภอใจ เนื่องจากกลัวตัวเองจะถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
แต่เรื่องที่องค์ชายถูกลอบสังหารช้าเร็วก็ต้องมีคำอธิบายสักข้อหนึ่ง ทว่าก่อนจะถึงตอนนั้น คนที่มีส่วนข้องเหล่านี้ล้วนต้องคิดหาวิธีทำให้ตัวเองพ้นผิดและวิ่งหนีออกมาให้เร็วที่สุด…
เฉินลั่วหัวเราะออกมา นอกจากนี้ยังเป็นรอยยิ้มที่เจิดจ้าประหนึ่งแสงแดดในฤดูร้อนอีกด้วย
เขาคิด เมื่อครู่ตนยังพูดอยู่เลยว่าหวังซีปฏิบัติกับเขาเหมือนทำการซื้อขายครั้งหนึ่ง แต่เพียงพริบตาเดียว หวังซีก็กลายเป็นความโชคดีของเขาอีกครั้งหนึ่งแล้ว
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่งดีกว่า คนของเจ้าไม่ใช่คนพื้นที่ ง่ายที่จะถูกผู้อื่นจับได้และดึงเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ได้ไม่คุ้มเสีย” เขากล่าว “ข้าจะเป็นคนไปสืบเองว่าปั๋วหมิงเย่ว์ไปทำอะไรที่วัดอวิ๋นจวี จะให้ดีที่สุดคือช่วงนี้เจ้าควรเก็บตัวเงียบๆ อยู่ในบ้าน ถ้าหากไม่ออกไปไหนได้ก็ไม่ควรออกไปเป็นดีที่สุด รอฮ่องเต้มีคำอธิบายให้เรื่องขององค์ชายใหญ่ก่อนค่อยออกไปเดินเล่นข้างนอก”
หวังซีพยักหน้า คิดได้ว่าเฉินลั่วเองก็มองไม่เห็นเหมือนกัน จึงหมายจะไปจุดตะเกียง ทว่าถูกเฉินลั่วห้ามเอาไว้ กล่าวว่า “ไม่ต้องดีกว่า ข้าแอบมาที่นี่ ไม่อยากให้ผู้อื่นสังเกตเห็น”
แน่นอนว่าหวังซีย่อมไหลไปตามกระแสน้ำ ยังถามเขาด้วยว่า “ร่ายกายเจ้าไม่มีปัญหาอะไรจริงๆ ใช่หรือไม่” ยังให้หงโฉวกับชิงโฉวไปหายาสมุนไพรที่ก่อนหน้านี้ไปเอากลับมาจากร้านขายยาเพื่อมวลชนออกมาด้วย ประเดี๋ยวให้เฉินลั่วเอากลับไป “ดูว่าใช้ประโยชน์อะไรได้หรือไม่”
เฉินลั่วไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะอธิบายเรื่องที่องค์ชายใหญ่ประสบเคราะห์ร้ายในครั้งนี้กับทุกคนอย่างไร เขากลัวว่าตนอาจต้องไปจากวัดเจินอู่โดยไม่ทันตั้งตัว อาจทิ้งยาสมุนไพรที่หวังซีมอบให้เขาไว้ที่วัดเจินอู่ได้ จึงกล่าวว่า “ฝีมือด้านการแพทย์ของเซียวเหยาจื่อยอดเยี่ยม ยาสมุนไพรก็ได้สำนักหมอหลวงจัดเตรียมให้ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง นอกจากนี้ข้าได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ยาสมุนไพรราคาแพง มิสู้ฝากเอาไว้ที่เจ้าชั่วคราวก่อน รอข้ากลับจวนแล้วค่อยว่ากันอีกที”
หวังซีไม่ได้คะยั้นคะยอ
เฉินลั่วเห็นว่าเรื่องที่ตนกังวลใจได้รับคำอธิบายแล้ว รู้สึกสงบใจขึ้นมาก จึงเตรียมตัวจะกลับออกไป แต่เขายังคงแนะนำหวังซีอีกครั้งหนึ่งว่า “ระยะนี้เรื่องราวยังไม่กระจ่าง หย่งเฉิงโหวหาใช่คนที่แบกรับเรื่องต่างๆ ได้ ถึงแม้เจ้าเป็นญาติของพวกเขา แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้น เขาอาจไม่ยอมปกป้องเจ้า ในเมื่อเจ้าส่งของไปให้ตระกูลปั๋วแล้ว เช่นนั้นก็ส่งไปให้ตระกูลอื่นๆ ด้วยอีกสักหน่อย อย่างน้อยต้องทำให้ผู้อื่นรู้ว่าเป็นของขวัญเทศกาลตามปกติเท่านั้น อย่าทำให้เกิดการเข้าใจผิดอะไรขึ้นมาได้”
หวังซีพยักหน้า คลำทางในความมืดออกไปส่งเฉินลั่ว แต่เห็นว่าเมื่อเฉินลั่วปีนกำแพงออกจากสวนร่มหลิวแล้ว เขาเดินจากไปโดยข้ามถนนจากสวนด้านนอก
นางแปลกใจมาก ขบคิดว่าหรือที่เฉินลั่วกลับเข้าเมืองในครั้งนี้ แม้แต่จางกงจู่ก็ไม่ทราบเรื่อง?
เช่นนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเฉินลั่วกับจ่างกงจู่…ดูทีแล้วพวกเขาเหมือนจะเหินห่างกันกว่าที่นางคิดเอาไว้เสียอีก
นางยืนท่ามกลางสายลมยามค่ำคืนของต้นฤดูใบไม้ร่วงไปครู่หนึ่ง
***
ตอนที่เฉินลั่วเร่งกลับมาถึงวัดเจินอู่นั้น ขอบฟ้าเริ่มมีแสงสีขาวจางๆ โผล่ออกมาแล้ว
เขาเพิ่งก้าวเท้าเข้ามาในลานบ้าน ก็สัมผัสได้ว่าในลานบ้านมีลมหายใจที่ไม่คุ้นเคยเพิ่มเข้ามาหลายสาย เขาอดไม่ได้เรียก “เฉินอวี้” เสียงหนึ่งอย่างระแวดระวัง
เฉินอวี้เดินก้มหน้าออกมาจากห้อง กระซิบกล่าวว่า “คุณชายรอง จ่างกงจู่ จ่างกงจู่รอท่านมาทั้งคืนแล้วขอรับ”
เฉินลั่วประหลาดใจ
เงาร่างของจ่างกงจู่ปรากฏออกมาตรงทางเดิน
แสงอรุณรุ่งจางๆ ทำให้เงาของนางดูเหมือนภาพร่างภาพหนึ่ง
“หลินหลาง เจ้าตามข้ามา” ใบหน้าของจ่างกงจู่ซ่อนตัวอยู่ใต้เงาทะมึนของโถงทางเดิน ดูไม่ออกว่าดีใจหรือเสียใจ น้ำเสียงก็ราบเรียบ ฟังไม่ออกว่าเบิกบานหรือโกรธ
นางหมุนกายเข้าไปในโถงรับรอง
เฉินลั่วคิดแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง เดินตามเข้าไปด้วยท่วงท่าสง่างามดุจต้นสน
ในโถงรับรองจุดโคมที่มีรูปทรงเหมือนถั่วเอาไว้ จ่างกงจู่นั่งอยู่บนเก้าอี้มีเท้าแขนข้างโต๊ะ สีหน้าราบเรียบ กล่าวขึ้นว่า “ข้าคุยกับฝ่าบาทเรียบร้อยแล้ว จากนี้ให้เจ้าไปรับตำแหน่งที่กองพลทองคำ ดูแลกองพลทองคำซ้ายขวาหน้าหลังทั้งสี่กองพล ต่อไปกองพลทองคำก็เป็นของเจ้าแล้ว”
เฉินลั่วมองมารดาของตัวเองอย่างตะลึงพรึงเพริด
นี่คือผลลัพธ์ที่มารดาเขาไปงัดข้อกับฮ่องเต้เพื่อเขามาอย่างนั้นหรือ
สีหน้าของจ่างกงจู่ยังคงเดิม ทว่าน้ำเสียงผ่อนคลายขึ้นหลายส่วน กล่าวว่า “ข้ารู้ ได้ดูแลกองพลทองคำทั้งสี่ไปก็ไม่สลักสำคัญอะไร แต่ฮ่องเต้ยอมรับปากเรื่องนี้ในเวลานี้ได้ ก็ถือเป็นท่าทีอย่างหนึ่ง อย่างน้อยต่อไปเจ้าอยากตรวจสอบเรื่องอะไร คนใต้บังคับบัญชาก็ไม่กล้าขัดขาเจ้า นี่ดีกว่าอะไรทั้งสิ้น”
เฉินลั่วฟังแล้วก้มหน้าหลุบตาลง ครู่ใหญ่ถึงกล่าวขึ้นว่า “ท่านแม่ ท่านคิดว่าเรื่องของข้า มีความจำเป็นต้องตรวจสอบหรือ”
“เหตุใดถึงไม่จำเป็น?” จ่างกงจู่แสยะยิ้ม “ตีพยัคฆ์ไม่ได้ ก็ตีแมลงหวี่แมลงวันได้! เจ้าเป็นผู้สืบสายเลือดของราชวงศ์ หาใช่คนที่ใครๆ ก็ปีนขึ้นมารังแกเจ้าถึงบนศีรษะได้”
เฉินลั่วพลันช้อนตาขึ้น สายตาที่มองมารดาเต็มไปด้วยความตกตะลึงอย่างไม่อยากจะเชื่อ
จ่างกงจู่เห็นแล้วเม้มปาก น้ำเสียงฟังดูผ่อนคลายขึ้นอีกหลายส่วน กล่าวว่า “เมื่อก่อนข้าเอาแต่คิดว่าเจ้ายังเด็ก บางเรื่องไม่อยากบอกเจ้ามากเกินไป เจ้าเห็นลุงของเจ้าเป็นดั่งบิดา ข้าเองคิดว่าบิดาเจ้าให้เจ้าไม่ได้ จึงหวังว่าหากเจ้าได้รับจากผู้อื่นได้ก็ดีเหมือนกัน เพียงแต่ว่า บิดาก็คือบิดา ลุงก็คือลุง เจ้าเข้าใจเรื่องนี้อย่างกระจ่างได้ ข้าก็ดีใจมากแล้ว”
กล่าวจบ เหมือนกลัวว่าเขาจะเข้าใจผิดก็ไม่ปาน รีบกล่าวอีกว่า “ส่วนทางด้านบิดาของเจ้า ข้าคุยกับเขาเรียบร้อยแล้วเช่นกัน เรื่องเฉินอิงข้าจะไม่ไปไล่สืบสวน ให้เขาออกหน้าไปขอแต่งตั้งเจ้าเป็นซื่อจื่อ ถึงเขารับปากแล้ว แต่ในใจย่อมไม่ยินดี คาดว่าอาจหาเรื่องอะไรมาฉีกหน้าข้าอีก เจ้าทำเป็นไม่ได้ยินและไม่เห็นก็พอ สิ่งที่สมควรได้รับ ถือไว้ให้มั่นไม่ปล่อยมือก็พอ”
ชั่วขณะนั้นขอบตาของเฉินลั่วรื้นชื้นขึ้นมาเล็กน้อย
สิ่งที่บิดานำมาโจมตีมารดาของเขาได้ ก็มีแค่เรื่องของตระกูลจินเท่านั้นแล้ว
เขาอยากถามมารดาเหลือเกินว่า บิดาเขาอาจหาวิธีกระจายข่าวเรื่องนางกับจินซงชิงใช่หรือไม่ คำพูดมาถึงริมฝีปากแล้ว แต่เขารู้สึกว่าไม่เหมาะสม จึงกลืนมันลงไปเสีย
จ่างกงจู่กลับไม่มองบุตรชายอีกเลย ลุกขึ้นมาพลางกล่าว “เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าโตแล้ว ข้าเองก็วางใจได้แล้ว ข้ากลับก่อน เรื่องของตัวเจ้าเอง ตัวเองควรมีแผนการในใจถึงจะใช้ได้”
เฉินลั่วขาน “ขอรับ” ไปส่งมารดาที่ประตู
เพียงแต่ว่าเมื่อเดินไปถึงหน้าประตู ตอนที่เห็นรถม้าของมารดาแล้ว เขากล่าวเบาๆ ประโยคหนึ่งว่า “ขอบคุณท่านแม่มาก” อย่างระงับเอาไว้ไม่อยู่
จ่างกงจู่ยิ้ม ทันใดนั้นเอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้าชอบคุณหนูต่างสกุลของจวนหย่งเฉิงโหวท่านนั้นมากใช่หรือไม่ ข้าจะช่วยเจ้ารับนางมาเป็นอนุของเจ้าก็แล้วกัน อย่างไรก็ตาม นั่นก็ต้องรอให้ฮ่องเต้แต่งตั้งไท่จื่อให้แล้วเสร็จ และกำหนดเรื่องงานแต่งของเจ้าลงมาเสียก่อนถึงจะทำได้ นางให้ความช่วยเหลือเจ้าขนาดนั้น ย่อมยินดีรอเจ้าอยู่แล้ว”
เฉินลั่วหน้าซีดด้วยความตกใจ รีบกล่าว “ท่านแม่ ไม่ใช่อย่างที่ท่านคิด”
จ่างกงจู่กลับโบกมือให้อย่างไม่ใส่ใจนัก ปล่อยให้ชิงกูประคองนางขึ้นรถม้า กล่าวว่า “ข้ารู้แล้ว เจ้าไม่ต้องร้อนใจ ข้าจะรอเจ้าสารภาพความในใจกับนางก่อนแล้วค่อยส่งคนไปคุย ไม่สกัดความเป็นวีรบุรุษของเจ้าอย่างแน่นอน” กล่าวจบก็ปล่อยม่านลง เอ่ยเสียงหนึ่งว่า “ข้าไปก่อน”
ชิงกูกล่าวเสียงหนึ่งว่า “ออกเดินทาง” เสียงของเหล่าขันทีเด็กด้านข้างทยอยกันส่งคำสั่งออกไป รถม้ามุ่งไปข้างหน้าช้าๆ
เฉินลั่วร้อนใจเป็นอย่างมาก
ชิงกูกลับกล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่เป็นวาสนาของคุณหนูหวัง ต่อไปยามคุณชายรองนึกถึงเรื่องนี้ ก็ต้องดีกับจ่างกงจู่ให้มากขึ้นถึงจะถูก”
“ไม่ใช่อย่างนั้น!” เฉินลั่วกล่าวแย้ง แต่ชิงกูขึ้นรถม้าไปแล้ว
เขายืนมองรถม้าของมารดาอยู่ตรงนั้น ได้แต่มองรถม้าของจ่างกงจู่เคลื่อนจากไปเฉยๆ อย่างทำอะไรไม่ได้ เป็นเช้าของต้นฤดูใบไม้ร่วงที่พกพาความเย็นมาด้วยหลายส่วน แต่ชั่วขณะนั้นเขากลับมีเหงื่อผุดออกมาเต็มขมับ
***
แน่นอนว่าหวังซีไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเฉินลั่วสองแม่ลูก เฉินลั่วปลอดภัยดี ทั้งยังวิ่งพล่านไปทั่วได้ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ
นางนอนหลับอย่างเป็นสุขไปหนึ่งตื่น เมื่อตื่นขึ้นมายังไม่ทันได้ใช้เกลือบ้วนปากเลย ไป๋กั่วก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน กล่าวว่า “ที่สวนหิมะงาม คุณหนูซือกำลังเก็บข้าวของ บอกว่าจะย้ายกลับไปอยู่ที่จวนตระกูลซือ ไม่อาจออกเรือนจากจวนหย่งเฉิงโหวได้”
เรื่องที่ซือจูชอบสร้างความวุ่นวายหาใช่สิ่งที่เพิ่งเคยเกิดขึ้นในวันสองวันนี้ หวังซีจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ยังกล่าวยิ้มๆ ว่า “หย่งเฉิงโหวว่าอย่างไรบ้าง ตอนนั้นฮองเฮาเหนียงเหนียงมีพระราชโองการให้หย่งเฉิงโหวเป็นผู้ดูแลเรื่องออกเรือนให้ซือจู นางทำเช่นนี้ หย่งเฉิงโหวคงไม่อนุญาตกระมัง”
ไป๋กั่วกล่าว “ที่ไหนกันเจ้าคะ หย่งเฉิงโหวไม่เพียงอนุญาตเท่านั้น ยังให้โหวฮูหยินมาช่วยซือจูเก็บหีบสัมภาระอีกด้วย” กล่าวถึงตรงนี้ นางขยับเข้ามาชิดริมหูของหวังซี กระซิบกล่าว “ได้ยินว่ามีคนฟ้องร้องตระกูลซือ ยังกล่าวว่าซือจูเป็นบุตรสาวของขุนนางต้องโทษ ไม่สมควรได้แต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกง แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่ายังไม่เรียกซือจูไปคุยด้วยเลยเจ้าค่ะ”
หวังซีตกใจ รู้สึกเสียใจภายหลังเล็กน้อยที่ไม่ได้ถามเฉินลั่วเรื่องของตระกูลซือ แต่เรื่องตระกูลซือนั้น สุดท้ายแล้วนางก็เป็นได้แค่คนที่ยืนดูเรื่องสนุกอยู่ข้างๆ เท่านั้น นางล้างหน้าล้างตาผลัดเปลี่ยนอาภรณ์และรับมื้อเช้าตามปกติเสร็จแล้ว คุณหนูพานกับฉังเคอก็คล้องแขนกันมาหา
คุณหนูพานมาเพื่อบอกลาหวังซี “มารดาของข้าเดินทางมาถึงจิงเฉิงก่อนกำหนด น่าจะมาเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่าวันนี้และรับข้าออกจากจวนวันพรุ่งนี้ ที่ผ่านมาได้รับการดูแลจากพวกเจ้าไม่น้อย เย็นนี้ข้าจึงอยากเชิญพวกเจ้าไปรับมื้อเย็นที่เรือนข้า พวกเจ้าโปรดรับคำเชิญด้วย”
……………………………………………………………………..