เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 202 เสียดาย
ภายใต้การจับจ้องของผู้ทรงอำนาจมากมาย สาวใช้ผู้นั้นหวาดกลัวจนตัวสั่นตอบคำถามอย่างอึกๆ อักๆ ว่า “เป็น เป็นเรือนของคุณหนูหวังจากตระกูลเดิมของฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”
จ่างกงจู่ได้ยินแล้วยิ้มน้อยๆ หันกลับไปมองเจิ้นกั๋วกง ทว่าเอ่ยกับสตรีทุกคนที่อยู่ข้างกายว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเราไปดูสักหน่อยก็แล้วกัน”
เหล่าสตรีที่อยู่ข้างกายนางต่างมองหน้ากัน แต่มีสตรีไหวพริบดีกว่าใครเพื่อนรีบกล่าวรับคำของนางด้วยรอยยิ้มแย้มว่า “จริงด้วย จริงด้วย! พวกเราควรไปดูสักหน่อย นี่ก็เข้าฤดูหนาวแล้ว แต่ทางด้านโน้นยังดูเขียวชอุ่ม ยังมีดอกไม้สีสันสดใสให้เห็นอยู่รางๆ ทิวทัศน์ต้องงดงามมากเป็นแน่ ต้องไปดูสักหน่อยถึงจะถูก”
ถ้อยคำนี้ช่างกล่าวได้สวยงามยิ่งนัก
ด้วยท่าทางของพวกนางนี้ ทุกคนล้วนกระจ่างแจ้งแก่ใจดีว่าไปเพื่อทำสิ่งใด แต่เมื่อมีคนช่วยปกปิดความน่าละอายนี้ด้วยการยกผ้าที่เรียกว่า ‘ไปชมทิวทัศน์’ ขึ้นมาบัง การกระทำของพวกนางจึงดูน่าเชื่อถือขึ้นมาทันที เมื่อทางสะดวกแล้ว ทุกคนก็กลายเป็นผู้ทรงคุณธรรมที่มีเหตุมีผล
จ่างกงจู่มองคนพูดครั้งหนึ่ง ที่แท้ก็เป็นนายหญิงเจ็ดจวนชิงผิงโหวนี่เอง
นางอดทอดถอนใจอยู่ในใจไม่ได้ คนจวนชิงผิงโหวล้วนค่อนข้าง ‘ซื่อตรง’ ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงไม่ค่อยอยากสุงสิงกับสตรีของพวกเขาสักเท่าไรนัก สตรีของพวกเขาเองก็ไม่ค่อยออกไปเข้าสังคมสักเท่าไรเหมือนกัน คิดไม่ถึงว่าจะมีคนอีกประเภทอย่างนายหญิงเจ็ดอยู่ด้วยผู้หนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าควรให้กำเนิดบุตรชายหลายๆ คนเข้าไว้ดีกว่า อย่างไรต้องมีคนเผ็ดจัดจ้านออกมาสักคนอย่างแน่นอน
จ่างกงจู่คิด รู้สึกว่าต้องให้เฉินลั่วรับอนุภรรยาหลายๆ คน ให้กำเนิดบุตรหลายคนสักหน่อยถึงจะดี
นางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย สั่งการสาวใช้ผู้นั้นว่า “ไม่อนุญาตให้ไปแจ้งล่วงหน้า” จากนั้นถึงกล่าวกับคนด้านหลังว่า “พวกเราไปกันเถอะ!”
ทุกคนต่างเดินตามหลังจ่างกงจู่ไปอย่างยิ้มแย้ม
เจิ้นกั๋วกงกับหย่งเฉิงโหวย่อมไม่อาจตามไปด้วย แต่เจิ้นกั๋วกงกลับไม่ได้เลี่ยงออกไป ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ คล้ายกำลังรอจ่างกงจู่และคนอื่นๆ กลับมาแจ้งข่าว
จ่างกงจู่ลอบแสยะยิ้ม นึกถึงสาวใช้คนที่ปิดปากซือจูผู้นั้นขึ้นมาอย่างกะทันหัน เหลียวกลับไปมองครั้งหนึ่ง สาวใช้ผู้นั้นยังควบคุมตัวซือจูเอาไว้อยู่
คิ้วเรียวของนางยกขึ้นเล็กน้อย เอื้อนเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูซือ ในเมื่อเจ้าเป็นคนเจอตัวคน เจ้าก็ตามพวกข้าไปด้วยก็แล้วกัน”
ซือจูหน้ามืดครึ้มเหลือจะกล่าว
จับหัวขโมยต้องมีหลักฐาน จับคนคบชู้ต้องจับได้คาหนังคาเขาทั้งคู่ พวกนางเสียงดังเอิกเกริกขนาดนี้ ต่อให้มีอะไรจริง ก็ถูกจัดการสิ้นซากไปหมดแล้ว
นี่จ่างกงจู่กำลังช่วยอำพรางสถานการณ์ให้เฉินลั่วอยู่ ยังต้องการใช้นางเป็นเครื่องบูชายัญด้วย
หากจ่างกงจู่คงคิดว่านางกลัว เช่นนั้นก็คิดผิดแล้ว!
นางไม่ปิดบังความรู้สึกดูแคลนของตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว ยืดหน้าอกเชิดคอตั้งตรง จัดจอนผมที่ยุ่งเหยิงให้เรียบร้อย สะบัดมือชิงโฉวออกแล้วเดินเข้าไปหา
ชิงโฉวเดินก้มหน้าตามหลังซือจูไป
จ่างกงจู่ลอบพิจารณา
ไม่จำเป็นต้องพูดถึงความเฉลียวฉลาดมีไหวพริบของสาวใช้ผู้นั้น ตนส่งสัญญาณบอกเป็นนัยไปชัดเจนขนาดนั้นแล้ว นางก็ยังไม่ฉวยโอกาสหนีไปแจ้งข่าวคุณหนูหวัง หากมิใช่เพราะมั่นใจว่าคุณหนูหวังมีแผนรับมือแล้ว ก็ต้องเป็นเพราะมั่นใจว่าเฉินลั่วไม่อยู่ที่สวนร่มหลิว
ไม่ว่าจะเป็นอย่างแรกหรืออย่างหลัง นางก็ถอนใจยาวออกมาอย่างโล่งอกครั้งหนึ่ง
คนทั้งกลุ่มเดินไปที่สวนร่มหลิว
มีสตรีที่ติดตามมาด้วยก้าวออกไปเคาะประตู
ไป๋กั่วเป็นคนมาเปิดประตู
นางเชิญทุกคนเข้าไปด้วยความประหลาดใจ
ต้นไม้ใบหญ้าในลานบ้านหลักเขียวชอุ่ม แม้นเป็นช่วงกลางฤดูหนาวแล้ว กลับยังดูเหมือนฤดูร้อน บนหลังคาของทางเดินแขวนกรงนกเอาไว้เจ็ดถึงแปดกรง มีนกขมิ้น นกแก้ว และนกขุนทอง…กำลังร้องเจื้อยแจ้วรับแสงอาทิตย์อบอุ่นในฤดูหนาว สาวใช้เด็กหลายคนที่ยังเกล้าผมแกละอยู่สวมชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมหังโจวสีชมพูขอบเขียว ในมือของพวกนางบ้างยกจานผลไม้บ้างถือกระเช้าดอกไม้เอาไว้ เดินอยู่ในบ้านอย่างเบามือเบาเท้า มีเสียงออดอ้อนน่ารักของเด็กสาวดังมาให้ได้ยินจากอีกฝั่งของห้องโถงหลักที่กั้นด้วยฉากกั้นกระจกหลากสี
“มันหวานนี้เผานานเกินไป เปลือกของมันติดเนื้อหมดแล้ว กินไม่ได้แล้วกระมัง!”
“ตายแล้ว นี่ผู้ใดมาฝังถั่วเอาไว้ ไม่ล้างให้สะอาด กระเด็นใส่ตัวข้าหมดแล้ว ข้าเพิ่งเปลี่ยนกระโปรงตัวใหม่มา ไหม้เป็นรอยไปแล้ว ต้องเอาไม่ออกแล้วเป็นแน่”
“เวลาคั่วถั่วเอาอะไรมาปิดไว้ไม่ได้หรือ กระเด็นไปทั่วทุกที่แล้ว หรือว่าพวกเราคั่วเกาลัดแทนดีหรือไม่”
จ่างกงจู่ตกใจเล็กน้อย
นี่คือวันปกติในฤดูหนาวของเด็กสาวที่เติบโตมากับการเลี้ยงดูอย่างเอาอกเอาใจหรือ
ตอนนางเป็นเด็ก เสด็จแม่ก็ไม่อยู่แล้ว นางอาศัยอยู่กับเจียงไท่เฟยในตำหนักจงชุ่ยอันโดดเดี่ยวและห่างไกล ถึงเจียงไท่เฟยจะเป็นคนดีมาก แต่นางก็เป็นเพียงคนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เป็นนางสนมที่ไม่ได้รับความโปรดปราน ตัวเองจะทำสิ่งใดก็ต้องคอยดูสายตาของผู้อื่น ไหนเลยจะกล้าให้นางวิ่งไปทั่วได้
ตำหนักจงชุ่ยเงียบสงบไร้สรรพเสียงตลอดทั้งวัน
ในฤดูหนาวอันยาวนาน ภาพเหตุการณ์ที่นางเห็นบ่อยที่สุดคือเหล่านางกำนัลนั่งรับแดดอยู่หน้าบานประตูพลางทำงานเย็บปักไปด้วย
วันทั้งวันไม่มีเสียงดังเลย
การกระโดดโลดเต้นส่งเสียงดังเหมือนฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ นางไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน
ถ้ายามปกติเรือนของหวังซีก็เป็นเช่นนี้…นางก็พอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเฉินลั่วถึงชอบวิ่งมาหานางที่นี่
หางตาและหัวคิ้วของจ่างกงจู่แต้มรอยยิ้มเอาไว้เล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่
เงียบสงบขนาดนี้ เฉินลั่วไม่มีทางอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน
หากบรรยากาศสงบนี้ยังเป็นสิ่งที่หวังซีสร้างขึ้นมา เช่นนั้นหวังซีท่านนี้ก็เรียกได้ว่ามีพรสวรรค์จริงๆ แล้ว
นางยั้งตัวเองเอาไว้ถึงไม่ได้เลิกคิ้วขึ้น
หวังซีเห็นจ่างกงจู่พาคนหนึ่งกลุ่มใหญ่เข้ามาก็เผยความประหลาดใจออกมาอย่างยากจะปิดบัง รีบก้าวออกไปทำความเคารพจ่างกงจู่ กล่าวว่า “นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ”
ตอนที่จ่างกงจู่เดินเข้ามา ฉังเคอที่นั่งอยู่ข้างเตาไฟกับหวังซีก็ลุกขึ้นมาด้วยความตกใจ ก้าวออกมาทำความเคารพทุกคน
จ่างกงจู่จึงมองซือจูครั้งหนึ่งด้วยอาการคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม กล่าวว่า “พวกข้าเดินมาถึงที่นี่ เห็นทิวทัศน์ของที่นี่งดงามนัก เป็นหน้าหนาวที่เหมือนฤดูใบไม้ผลิ จึงตั้งใจเข้ามาดูสักหน่อย ไม่เสียแรงที่คุณหนูหวังมาจากครอบครัวคหบดีร่ำรวยของสู่จง”
ขณะที่นางกล่าว ก็มองดอกดารารัตน์ในห้องที่ใช้เชือกแดงผูกเอาไว้ไปด้วย แล้วก็มองผลส้มจี๊ดสีเหลืองทองที่แผ่กิ่งก้านอุดมสมบูรณ์อยู่ตรงมุมห้องไปด้วย กล่าวว่า “นี่คงเป็นฝีมือคนสวนจากสู่จงของพวกเจ้า? ข้าจำได้ว่าดอกดารารัตน์กับส้มจี๊ดของคนปลูกดอกไม้ที่เฟิงไถของจิงเฉิงยังไม่ออกดอกออกผลเร็วขนาดนี้”
หวังซีตอบอย่างยิ้มแย้มว่า “เป็นฝีมือคนสวนของพวกข้าจริงๆ เจ้าค่ะ ไม่ใช่แค่ดอกดารารัตน์เท่านั้นที่บานแล้ว ส้มจี๊ดก็ให้ผลแล้วเช่นกัน ดอกล่าเหมยกับดอกซานฉาเองก็ถึงเวลาย้ายมาปลูกในกระถางแล้วเหมือนกัน ท่านอยากดูหรือไม่ ที่นี่ข้ายังมีดอกล่าเหมยกับดอกซานฉาอยู่ด้วยสองสามกระถางเจ้าค่ะ”
จ่างกงจู่ตอบว่า “ได้” ยิ้มๆ
หวังซีพาสตรีหนึ่งกลุ่มเดินชมรอบๆ ลานบ้านของนางไปหนึ่งรอบโดยมีฉังเคอไปเป็นเพื่อนด้วย มีเพียงห้องชั้นใน ที่ให้พวกนางดูเพียงแวบหนึ่งเท่านั้น
หยกมรกตรูปราชสีห์หมุนลูกกลมที่ใช้เป็นลูกตุ้มถ่วงปลายผ้าม่าน แจกันหรู่เหยาเก่าแก่สีเขียวอ่อนที่ใช้ปักดอกท้อ จานแก้วทรงใบบัวที่ใช้วางส้มหัตถ์พระพุทธเจ้า และฉากกั้นลายเซียนหญิงโปรยบุปผาที่ปักด้วยวิธีการปักตามแบบฉบับของซูโจวทั้งสองด้านต่างดูเรียบง่ายไม่มีอะไรแปลกพิสดาร ทว่าเผยความหรูหรามีรสนิยมออกมาให้เห็นทั่วทุกจุด
จ่างกงจู่ลอบพยักหน้า
คุณหนูหวังท่านนี้มีรสนิยมที่โดดเด่นน่าประทับใจจริงๆ ไม่แปลกที่ถึงแม้คุณหนูหกปั๋วจะไม่ชอบนาง แต่หากจะซื้อของอะไรก็ต้องเชิญคุณหนูหวังท่านนี้ไปดูให้
ยิ่งไปกว่านั้นเห็นได้ชัดว่าคุณหนูหวังท่านนี้รู้เจตนาของนางอยู่แล้ว จึงเปิดประตูกว้างปล่อยให้พวกนางเยี่ยมชม ดูว่าทีนี้ใครจะกล่าวหานางว่าทำผิดอะไรได้อีก
มีรสนิยม มีปฏิภาณไหวพริบ เหลือแค่ดูว่านางมีแบบแผนและวิสัยทัศน์หรือไม่เท่านั้นแล้ว
จ่างกงจู่คิดแล้วก็อดเม้มปากยิ้มไม่ได้
มิได้จะสู่ขอไปเป็นภรรยาเอกของหลินหลางเสียหน่อย จะคิดเรื่องพวกนี้ไปเพื่ออันใด
แม้นจะกล่าวเช่นนี้ แต่ในใจของนางยังคงมีความรู้สึกเสียดายลอยออกมาจางๆ รู้สึกว่าหากเด็กสาวผู้นี้ไม่ได้มาเจอหลินหลางของพวกเขา การที่นางได้เป็นนายหญิงดูแลบ้านก็ไม่เลวเหมือนกัน แต่ถ้าเด็กสาวเช่นนี้ตกไปอยู่ในบ้านของผู้อื่น นางก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อยอีกเหมือนกัน
ขณะที่จ่างกงจู่ขบคิดอยู่นั้น ก็นึกถึงขนมของหวังซีที่ช่วงนี้ค่อนข้างมีชื่อเสียงในจิงเฉิงขึ้นมา จึงอยู่ดื่มน้ำชาและกินขนมไปหลายชิ้น กระทั่งนายหญิงรองเร่งมาถึงด้วยความร้อนใจเพื่อเชิญจ่างกงจู่ไปนั่งที่งานเลี้ยง จ่างกจู่ถึงได้พาสตรีทั้งกลุ่มเดินจากไป
หวังซีถอนหายใจอย่างโล่งอก
นายหญิงรองกลับริษยาจนตาร้อนไปหมด กล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มทว่าข้างในไม่ยิ้มว่า “ข้าก็ว่า ทั้งที่เป็นฤดูหนาวแต่ดอกไม้ใบหญ้าในเรือนคุณหนูหวังกลับปลูกเอาไว้อย่างสวยสดงดงาม ที่แท้ก็อยากให้คนสูงศักดิ์มาชื่นชมนี่เอง”
ถ้อยคำนี้มีที่มาที่ไป
นอกจากคนจากตระกูลเดิมของนางจะมาเด็ดดอกไม้โดยไม่ได้รับเชิญแล้ว ยังเสนอความคิดให้นายหญิงรองด้วยว่า “เป็นช่วงที่ดอกไม้ของเฟิงไถราคาแพงที่สุด แขกมาเยือนก็มาก แทนที่จะใช้เงินจำนวนมากขนาดนั้น มิสู้ไปยืมดอกไม้ของคุณหนูหวังมาสักสองสามกระถาง ข้าเห็นกล้วยไม้ที่เรือนนางบานได้งามนัก ยังมีกล้วยไม้กะเรกะร่อนนิลหายากอีกด้วย”
นายหญิงรองหาได้เสียดายเงินทอง แต่ฤดูกาลนี้ ต่อให้มีเงินก็หาซื้อดอกไม้หายากอย่างกล้วยไม้กะเรกะร่อนนิลไม่ได้
นางรู้ดีว่าหวังซีไม่อยากเจอนาง แต่เพื่อให้มีหน้ามีตาในงานแต่งของบุตรชายแล้ว ยังคงทำหน้าหนามาขอยืมจากหวังซี
หวังซีไม่ยอมพบนาง หวังหมัวมัวขวางนางอยู่หน้าประตูเพียงลำพัง ยังกล่าวยิ้มๆ ว่า “ตระกูลพวกข้าไม่ต่างจากบ้านเดิมของนายหญิงรอง ต่างทำการค้าเหมือนกัน อย่างอื่นไม่อาจกล่าวได้ แต่สหายที่อยู่ในแวดวงนี้พอมีบ้างสองสามคน หากท่านอยากสั่งจองกล้วยไม้กะเรกะร่อนนิล ข้าเป็นสะพานเชื่อมให้ท่านสักคนหนึ่งเป็นอย่างไร”
นายหญิงรองขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน สั่งกล้วยไม้กะเรกะร่อนนิลมาสองกระถางจริงๆ ตั้งใจจะวางไว้ในห้องโถงใหญ่ของคุณชายสามฉัง
ผู้ใดจะรู้ว่าคนปลูกดอกไม้ผู้นั้นกลับต้องการเก็บเงินจากนางกระถางละสามร้อยตำลึง
ตอนนั้นนางกระโดดตัวโหยงขึ้นมา
คนปลูกดอกไม้ผู้นั้นกลับกล่าวว่า “หากมาจองก่อนหน้านี้หนึ่งเดือน ราคาแปดสิบตำลึงก็ได้แล้ว แต่ตอนนี้ ดอกไม้พวกนี้ล้วนต้องส่งเข้าวังหลวง ข้าให้ท่านไปแล้ว ก็ต้องหาวิธีไปเอามาทดแทนจากที่อื่น หากมิใช่เพราะเห็นแก่หน้าของหลงจู๊ใหญ่ตระกูลหวัง ข้าคงไม่รับงานครั้งนี้แล้ว”
ทำเอานางลำบากใจไปหมด อีกทั้งกลัวว่าจะถูกคนหัวเราะเยาะที่บุตรชายแต่งงานทั้งทีแต่ก็ไม่ยอมทำเพื่อเป็นเกียรติให้บุตรชาย ก็เลยจำต้องกัดฟันซื้อกลับมา
สิ่งที่นางไม่รู้ก็คือ เงินที่นางจ่ายออกไป ภายหลังคนปลูกดอกไม้ผู้นั้นนำเงินห้าร้อยตำลึงที่เป็นส่วนเกินไปส่งให้หลงจู๊ใหญ่ ยังกล่าวยิ้มๆ ว่า “คนปลูกดอกไม้บ้านใดไม่เผื่อดอกไม้เอาไว้สักสองสามกระถางเอาไว้ให้คนที่ไม่อาจทำให้ขุ่นเคืองใจบ้าง”
หลงจู๊ใหญ่นำเงินดังกล่าวส่งมาให้หวังซีอีกที
หวังซีมีความสุขยิ่งนัก นางโบกมือ มอบเงินห้าร้อยตำลึงให้หวังหมัวมัวทั้งหมด ยังกล่าวด้วยว่า “เจ้าลองไปหาดูให้ทั่วเสียตั้งแต่ตอนนี้ ข้าให้สำหรับซื้อบ้านที่จิงเฉิงให้พี่ชายร่วมน้ำนม อนาคตถึงคราวเขาแต่งงานก็ไม่ต้องกลัวแล้ว”
หวังหมัวมัวซาบซึ้งอยู่ในใจ นำเงินดังกล่าวไปเลี้ยงอาหารและสุราพวกสาวใช้เล็กใหญ่ ป้ารับใช้และบ่าวชายทั้งหลายของหวังซีด้วย
หงโฉวเจ้าสาวใช้ผู้นี้ชื่นชอบการสร้างความวุ่นวายยิ่งนัก กล่าวว่า “สวมอาภรณ์งดงามเดินยามค่ำคืนจะไปมีความหมายอะไร ต้องทำให้ผู้อื่นรู้ด้วยถึงจะใช้การได้”
ก่อนเดินทางมาที่นี่หวังหมัวมัวยังกลัวว่าจะทำอะไรให้จวนหย่งเฉิงโหวไม่พอใจ บัดนี้กลับมองจวนหย่งเฉิงโหวเป็นเหมือนกับพยัคฆ์กระดาษ หยิบเงินห้าสิบตำลึงให้หงโฉว กล่าวว่า “เจ้าเอาไปซื้อลูกกวาดให้พวกเขากิน”
หงโฉวรับเงินไปด้วยรอยยิ้ม จงใจซื้อลูกกวาดไปเลี้ยงคนสนิทของนายหญิงรอง
เพียงแต่ว่าช่วงเวลาดังกล่าวสั้นเกินไป อีกทั้งนายหญิงรองก็วุ่นกับงานแต่งของคุณชายสามฉัง เรื่องนี้จึงยังลือไปไม่ถึงหูของนาง
ตอนนี้นางมาก่อกวนหวังซีอีกแล้ว หงโฉวคิดว่าวันนี้ตนออกไปรับความโดดเด่นมามากพอแล้ว หากถูกผู้คนหมายหัวคงไม่ดี กำลังลังเลว่าควรจะเหน็บแนมนายหญิงรองสักสองสามประโยคดีหรือไม่นั้น ไป๋กั่วก็กล่าวยิ้มๆ อย่างไม่เกรงใจขึ้นก่อนว่า “ขอบคุณนายหญิงรองสำหรับคำชมเจ้าค่ะ หาไม่จะลือกันได้อย่างไรว่าท่านมีสายตาดียิ่ง”
นายหญิงรองเองก็เคยคิดหาประโยชน์จากสวนร่มหลิวเช่นกัน
ประโยคดังกล่าวกระแทกเข้าใส่นางอย่างจัง พูดอะไรไม่ออกไปครึ่งค่อนวัน
ไป๋กั่วถือโอกาสส่งแขก ยังปิดประตูใส่หน้านางอย่างไม่ไว้หน้าแม้แต่นิดเดียวอีกด้วย เกือบจะกระแทกโดนจมูกของนางไปแล้ว
………………………………………………………………….