เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 21 ไหว้พระ
หวังซีเองก็ไม่ปิดบังฉังเคอ กล่าวว่า แม่ข้าหวังให้ฮูหยินผู้เฒ่าช่วยทำพิธีปักปิ่นให้ข้า เช่นนี้เมื่อพูดออกไปก็ดูมีเกียรติขึ้นมาเล็กน้อย ดังนั้นข้าตั้งใจว่าจะอยู่จนถึงพิธีปักปิ่น ดูสถานการณ์ก่อนค่อยวางแผนอีกที แต่ดูจากตอนนี้ แทนที่จะพึ่งพาฮูหยินผู้เฒ่าหรือโหวฮูหยินให้ช่วยหาคู่ครองให้ข้า มิสู้พึ่งพาท่านย่าของข้าหรือไม่ก็ท่านย่าภรรยาพี่ชายท่านปู่ดีกว่า พวกนางล้วนเป็นนายหญิงดูแลหน้าที่ต่างๆ ภายในบ้านทั้งสิ้น
คนในบ้านตั้งหลายร้อยคน แต่ไม่เคยเป็นอย่างฮูหยินผู้เฒ่าหรือโหวฮูหยินมาก่อน คำพูดที่กล่าวออกไปแล้วยังมีคนกล้าปฏิเสธกลับมาอีก
ฉังเคอเงียบไปครู่ใหญ่
เมื่อก่อนนางไม่เคยตระหนักมาก่อน แต่หลังจากได้คลุกคลีกับหวังซีแล้ว นางค่อยๆ ค้นพบว่าไม่ว่าจะเป็นท่านย่าหรือท่านป้าสะใภ้ใหญ่ที่นางเทิดทูนเอาไว้เหนือหัว นอกจากกระทำอะไรเชื่องช้ามากแล้ว ยังอ่อนแอมากอีกด้วย
หวังซีมองแล้วอดถอนหายใจตามไม่ได้ ถามฉังเคอว่า เรื่องงานแต่งของเจ้าแม่เจ้าตัดสินใจให้ได้หรือไม่ หากนางตัดสินใจให้ได้ ข้าคิดว่าเจ้าลองมองหาเองสักคนดีกว่า แล้วให้ท่านแม่ของเจ้าไปทาบทามให้
นายหญิงสามยอมให้บุตรสาวของตัวเองถูกโขกสับเช่นนี้ได้ เห็นได้ชัดว่ามิใช่คนตัดสินใจอะไรได้
ฉังเคอจ้องตาค้าง
คิดไม่ถึงว่าหวังซีจะใจกล้าถึงเพียงนี้!
นางกล่าวอย่างร้อนรนว่า เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล การแต่งงานควรเป็นคำสั่งของบิดามารดาและการชักนำของแม่สื่อถึงจะเหมาะสม เจ้าโผงผางเช่นนี้ ระวังจะกลายเป็นพยายามหัวแหลมแต่เพลี่ยงพล้ำ เสื่อมเสียชื่อเสียงเอาได้
หวังซีจึงหันไปกลอกตามองบนใส่ฉังเคอ กล่าวว่า ใครให้เจ้าแอบตกลงกันอย่างลับๆ เล่า เจ้าหาโอกาสออกไปเข้าสังคมกับฮูหยินผู้เฒ่าและโหวฮูหยิน จากนั้นแอบสืบคุณสมบัติของคุณชายแต่ละจวน ดูรูปลักษณ์ของอีกฝ่าย จากนั้นโน้มน้าวมารดาของเจ้าลองไปทาบทามทีละคนๆ ไม่เป็นหรือ
ฉังเคอหัวเราะอย่างเก้อเขิน กล่าวว่า เจ้าทำให้ข้าเข้าใจผิด ข้าเห็นเจ้ากล้าพาดตัวอยู่บนกำแพงดูเฉินลั่ว คิดว่าเจ้าจะกล้าทำแม้แต่เรื่องจับสามีจากใบรายชื่อประเภทนั้นเสียอีก!
นางไม่เอ่ยถึงเฉินลั่วยังดี พอเอ่ยถึงเฉินลั่วแล้วหวังซีก็รู้สึกเจ็บหน้าอก
นอกจากเอามาเป็นองครักษ์ของนางไม่ได้แล้ว ยังถูกเขาจับได้ว่านางแอบสอดส่อง ปักดาบเล่มใหญ่ข่มขู่นาง น่าสมเพชที่หลายวันนั้นนางใช้เรี่ยวแรงไปมากมายเพื่อเฝ้ารอข่าวคราวของเขา ยังไปปีนกำแพงดูเขารำกระบี่อีก ปรากฏว่าไม่ได้รับผลดีอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ยังอาจถูกเปิดโปงสถานะ ถูกเฉินลั่วฟ้องร้องต่อหน้าผู้อาวุโสในบ้าน นอกจากต้องเสียหน้าทั้งข้างนอกข้างในแล้ว เวลาที่ใช้สอดส่องดูเขาเหล่านั้นยังเสียไปอย่างเปล่าประโยชน์อีกด้วย
นางยังไม่เคยทำเรื่องอะไรที่ขาดทุนขนาดนี้มาก่อน
หวังซีก้มหน้าอย่างสลดหดหู่ พาดตัวบนหน้าต่างรถม้ากับฉังเคอสองคน ต่างคนต่างคิดเรื่องในใจไปด้วยพลางมองความครึกครื้นข้างทางไปด้วย
ตอนกลางวัน พวกนางหยุดที่จุดพักใต้ต้นไม้ข้างทาง ทุกคนรับประทานมื้อเที่ยงกันอย่างลวกๆ จากนั้นเร่งเดินทางต่อ
ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้ถึงจะเป็นวันสรงน้ำพระพุทธเจ้า แต่กลับมีบรรยากาศของช่วงเทศกาลให้เห็นทั่วทุกที่
ระหว่างทางพวกนางได้พบกับศาสนิกชนที่กำลังเดินทางไปร่วมพิธีที่วัดอยู่เนืองๆ ยิ่งเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ คนก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ
หวังซีเดาว่าพวกเขาล้วนกำลังเดินทางไปวัดอวิ๋นจวี
พลบค่ำ พวกเขาก็มาถึงวัดอวิ๋นจวี
รถม้าโคลงเคลงจนหวังซีคล้ายเป็นผักกาดกวางตุ้งที่โดนน้ำร้อนลวก ห่อเหี่ยวไร้ชีวิตชีวา ได้หวังหมัวมัวช่วยประคองเอาไว้ กระทั่งได้นอนลงบนเตียงในเรือนรับรองแขก ถึงรู้สึกว่าอาการพะอืดพะอมที่จุกแน่นอยู่ในอกคลายลงเล็กน้อย ทว่าเมื่อหมุนกายก็ได้กลิ่นกฤษณาทำให้นางรู้สึกระคายเคืองจมูก
ไป๋กั่วและคนอื่นๆ รีบไปจุดกำยานกลิ่นจันทน์ขาว หวังซีถึงได้รู้สึกดีขึ้นมาก
ซือหมัวมัวมาเชิญหวังซีไปรับประทานอาหารเจที่ห้องพระด้านหน้า ยังกล่าวด้วยว่า ฮูหยินผู้เฒ่า โหวฮูหยิน นายหญิงและสะใภ้สองสามท่าน รวมถึงคุณหนูทั้งหลายของจวนเซียงหยางโหวก็อยู่ด้วย ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวว่าให้ท่านไปทำความรู้จักสักครั้งหนึ่ง
การทำความรู้จักเป็นทักษะขั้นพื้นฐานที่คนสกุลหวังทุกคนต้องมี
บุรุษในบ้านต้องทำการค้า ถ้าหากไม่รู้พื้นเพของอีกฝ่ายตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำความรู้จักกัน จะทำให้คนรู้สึกอบอุ่นราวกับอยู่ในบ้านของตัวเองได้อย่างไร และจะเอาเงินจากกระเป๋าของผู้อื่นมาอยู่ในกระเป๋าของตัวเองได้อย่างไร สตรีต้องดูแลเรือนชั้นใน แม้แต่คนยังรู้จักไม่กระจ่าง จะรับผิดชอบดูแลแขกเหรื่อและมิตรสหายของที่บ้านได้อย่างไร จะจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละบ้านของวงศ์ตระกูลได้อย่างไร และจะเป็นนายหญิงดูแลบ้านชั้นในให้บุรุษได้อย่างไร
แต่หวังซีเหนื่อยเหลือเกิน นางไม่อยากไปทำความรู้จักผู้ใดแล้ว
เจ้าบอกไปว่าข้าไม่ค่อยสบาย! หวังซีกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ ทว่ากล่าวเตือนเป็นนัยว่า เดิมข้าคิดว่าวันนี้น่าจะมาถึงตั้งแต่ยามโหย่ว[1] ได้พักผ่อนที่เรือนรับรองแขกสักครึ่งชั่วยามแล้วค่อยไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าของจวนเซียงหยางโหว แต่ตอนนี้แค่จะลุกข้ายังลุกไม่ขึ้น ไปแล้วมีแต่จะทำขายหน้าต่อหน้าคนของจวนเซียงหยางโหว มิสู้ไม่ไปดีกว่า
ที่มาถึงดึกป่านนี้ มิใช่เพราะมิได้จัดแจงเรื่องออกเดินทางให้เหมาะสมเอาไว้ล่วงหน้าหรอกหรือ
ซือหมัวมัวไม่กล้าพูดอะไร กลับไปรายงานด้วยดวงหน้าแดง
ฉังเคอชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง
โหวฮูหยินกล้าจัดให้นางนั่งรถม้าคันเดียวกับหวังซี ทว่ามิกล้าได้คืบจะเอาศอก จัดให้นางพักเรือนรับรองเดียวกับหวังซี
น่าเสียดายยิ่งนัก!
นางนั่งตัวตรงอยู่ตรงนั้น ฟังเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา ฟังฉังหนิงและเหล่าคุณหนูของจวนเซียงหยางโหวลับฝีปากกัน นอกจากมิได้รู้สึกกดดันเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ยังรู้สึกว่าฉังหนิงช่างน่าขบขันนัก ทุกครั้งที่ได้พบบรรดาคุณหนูของจวนเซียงหยางโหวนางล้วนเหมือนกับเป็นเม่นตัวหนึ่ง เอาชนะไม่ได้ก็ยังจะพูดอยู่อีก
ฉังหนิงรู้สึกว่าฉังเหยียนกับฉังเคอล้วนไม่ช่วยนาง เมื่อกลับถึงห้องยังตำหนิด้วยว่า หากซือจูอยู่ที่นี่ ต้องไม่เป็นเช่นนี้แน่
ยามอยู่ต่อหน้าพี่สาวทั้งสองคนฉังเคอยังคงนิ่งเงียบไม่ค่อยพูดเหมือนเดิม เป็นฉังเหยียนที่ขมวดคิ้วมุ่นกล่าวโน้มน้าวฉังหนิงว่า พี่สาวรอง ทุกคนล้วนโตๆ กันแล้ว ทำเช่นนี้ต่อไปก็ไม่ค่อยเหมาะสม หากพี่สาวรองไม่ชอบพวกคุณหนูของจวนเซียงหยางโหว ก็คุยกับพวกนางให้น้อยลงก็ได้แล้ว เหตุใดต้องไม่มีใครยอมใครทุกครั้งด้วย!
ฉังหนิงขุ่นเคืองใจยิ่ง ถากถางหวังซีขึ้นมาอีก วันนี้นางไม่ปรากฏตัวออกมาเลย กระนั้นท่านย่าก็ยังพูดถึงนางทำนองว่าหน้าสวยสดงดงาม จิตใจกว้างขวาง วิสัยทัศน์กว้างไกลอะไรนั่นอีก คำเยินยอไปกองอยู่บนร่างของนางหมดประหนึ่งเงินไร้ค่าก็ไม่ปาน ข้าเห็นนายหญิงรองของจวนเซียงหยางโหวคอยเงี่ยหูฟังอยู่ตลอด! ไม่แน่ว่าหวังซีอาจตั้งใจไม่มาร่วมโต๊ะ เพื่อดึงดูดความสนใจของเซียงหยางโหวฮูหยินผู้เฒ่าก็เป็นได้
ฉังเหยียนหน้าเปลี่ยนสี รอยยิ้มหลังจากนั้นล้วนดูฝืดฝืนเป็นอย่างมาก
ก่อนเข้านอนฉังเคอวิ่งไปหาหวังซีอย่างอดรนทนไม่ไหว อยากนอนกับหวังซี
หวังซีเติบโตมาขนาดนี้นอกจากท่านย่าและมารดาของตัวเองแล้ว ก็ไม่เคยนอนกับผู้อื่นมาก่อน ย่อมไม่อนุญาตเป็นธรรมดา
ฉังเคอกล่าว ข้ามีเรื่องอยากคุยกับเจ้าส่วนตัว
หวังซีให้คนไปย้ายเก้าอี้กุ้ยเฟยมาวางข้างเตียงของตนและจุดกำยาน กล่าวขึ้นว่า มีเรื่องอะไร เจ้าว่ามาเถอะ
ออกจากบ้านครานี้ นับว่าฉังเคอได้เปิดหูเปิดตาเกี่ยวกับความพิถีพิถันของหวังซีแล้ว
อาหารกลางวันที่พวกเขากินล้วนเป็นอาหารแห้งที่เตรียมเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน หวังซีกลับดีเหลือเกิน บนเตาดินเผาอุ่นน้ำร้อนไว้ตลอด อาหารที่กินเป็นกับข้าวที่เรือนครัวของนางตื่นขึ้นมาทำตั้งแต่เช้าตรู่ของวันนี้
นางนั่งรถม้าคันเดียวกับหวังซี ไม่เพียงได้เปลี่ยนมากินกับข้าวร้อนๆ ตามไปด้วยเท่านั้น ยังได้ดื่มชาร้อนๆ ด้วย
ฉังเคอเองก็ไม่เกี่ยงงอนนาง เล่าเรื่องมื้อเย็นให้นางฟังอย่างเบิกบาน …พี่สาวสามต้องถูกใจคุณชายสี่ของจวนเซียงหยางโหวเป็นแน่ แม้นเขามิได้มีชื่อเสียงเทียบเท่าพี่น้องสกุลเฉิน ทว่าก็หล่อเหลาสง่างาม กิริยามารยาทสุภาพเรียบร้อย เป็นบุรุษรูปงามที่มองแล้วทำให้คนรู้สึกสบายตาสบายใจ นอกจากนี้พี่สาวร่วมอุทรของเขาคือฮูหยินซื่อจื่อของจวนชิ่งอวิ๋นโหว เขาเหมือนกับเฉินลั่ว เข้ากองพลม้าทะยานตั้งแต่อายุสิบหก แต่นางก็ไม่คิดดูบ้าง นายหญิงรองของจวนเซียงหยางโหวหยิ่งทะนงเสมอมา และตระกูลของพวกเขาก็ดูแคลนตระกูลของพวกเรามาตลอด จะมาเกี่ยวดองกับตระกูลของพวกเราได้อย่างไร
หวังซีประหลาดใจ
นางเข้าใจว่าฉังเหยียนสงบนิ่งดุจน้ำ คงจะปล่อยให้ผู้ใหญ่ในบ้านตัดสินใจเรื่องงานแต่งให้นางเสียอีก
หวังซีพลันรู้สึกสนใจขึ้นมา เอ่ยขึ้นว่า คุณชายสี่ของจวนเซียงหยางโหวมาถึงหรือยัง เขาหน้าตาหล่อเหลามากจริงๆ หรือ แต่เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ บางครั้งก็ยังต้องดูวาสนาด้วย แต่ถ้าเจ้าไม่ลองดู วาสนาย่อมไม่บังเกิด หากเจ้าลองแล้วไม่ประสบผลสำเร็จ ก็จะได้ไม่มีอะไรติดค้างในใจ ข้ากลับรู้สึกว่าการที่พี่สาวสามของเจ้าเป็นเช่นนี้ไม่มีอะไรเสียหาย แค่คอยดูว่านางจะใช้วิธีการอะไรไปต่อสู้เพื่อตัวเอง
ฉังเคอหัวเราะร่า พูดถึงความสนใจของนายหญิงรองจวนเซียงหยางโหวที่มีต่อนางขึ้นมา
หวังซีโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ กล่าวว่า นางไม่มีทางสนใจข้าอย่างแน่นอน ต่อให้สนใจข้า คาดว่าก็มิได้เก็บข้าเป็นตัวเลือกบุตรสะใภ้ของนาง
แต่นี่ทำให้นางบังเกิดความระแวดระวังขึ้นเช่นกัน รู้สึกว่าจำเป็นต้องไปคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าและโหวฮูหยินให้เร็วที่สุด
เรื่องแต่งงานนี้หากเน้นย้ำความร่ำรวยของตระกูลนางมากเกินไปแล้วดึงดูดคนไม่ได้เรื่องเหล่านั้นเข้ามา คิดว่าตัวเองเป็นชนชั้นสูงหรือไม่ก็ตระกูลขุนนางแล้วละโมบอยากได้สินเจ้าสาวของนาง จึงคิดจะรับนางไปเป็นอนุภรรยาละก็แย่แน่ๆ
ถ้าฮูหยินผู้เฒ่าและโหวฮูหยินเป็นคนหนักแน่นเชื่อถือได้ นางย่อมไม่ห่วง
เกรงกว่าแม้แต่มารดาของนางก็คงคิดไม่ถึงว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะอ่อนแอถึงเพียงนี้กระมัง
นางให้แม่ครัวทำซาลาเปาไส้ถั่ว ขนมจีบไส้ข้าวไข่เค็ม ขนมผักกาดและของว่างสำหรับมื้อเช้าอื่นๆ ของก่วงตง เช้าวันรุ่งขึ้นไปหาฮูหยินผู้เฒ่า ไปพูดความในใจกับฮูหยินผู้เฒ่า
ฮูหยินผู้เฒ่าถึงได้รู้สึกตัวว่าคำพูดของตัวเองไม่ค่อยเหมาะสมนัก แต่ก็ไม่อาจยอมรับต่อหน้าหวังซีได้ ละล่ำละลักทำให้เรื่องนี้ผ่านพ้นไป แต่หลังจากนั้นก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องเช่นนี้อีก ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไป
รับประทานมื้อเช้าเสร็จแล้ว หวังซีได้พบกับเซียงหยางโหวฮูหยินผู้เฒ่า
ฮูหยินผู้เฒ่าท่านนี้แตกต่างจากท่านยายของนาง เซียงหยางโหวฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนไม่สูง ผิวขาวเนียนละเอียด รูปร่างผอมแห้ง แต่งกายเรียบๆ ทว่าดวงตาทั้งคู่สุกใส ถึงแม้จะยิ้มแย้มอย่างใจดี แต่ก็ทำให้คนไม่กล้าดูแคลน
ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าสตรีจากตระกูลของพวกนางดูเคารพนบนอบอย่างมาก และดูออกว่าความเคารพนบนอบนี้มิใช่การเสแสร้งแกล้งทำ แต่รู้สึกมาจากใจจริงๆ ว่านางสมควรได้รับความเคารพ
บรรดาคุณหนูของจวนเซียงหยางโหวเองก็แต่งกายค่อนข้างเรียบง่าย สีหน้านิ่งสงบ กระทำอะไรล้วนมีระบบระเบียบ ดูแล้วมีระเบียบวินัยกว่าจวนหย่งเฉิงโหวมากนัก
ไม่แปลกที่คนจากจวนของพวกเขาจะดูแคลนจวนหย่งเฉิงโหว
หวังซีมองนายหญิงรองของพวกเขาเพิ่มอีกสองครั้ง
นางสูงปานกลาง อ้วนท้วน ดูเป็นคนใจดีมาก ยืนอยู่ด้านหลังของเซียงหยางโหวฮูหยินผู้เฒ่า ไม่ค่อยพูดเท่าไรนัก ถ้าหากมิใช่เพราะทราบเรื่องมาก่อน ไม่ว่าใครก็ดูไม่ออกว่าบุตรสาวคนโตของนางเป็นฮูหยินซื่อจื่อ และบุตรชายคนโตของนางสอบผ่านการสอบคัดเลือกขุนนางฝ่ายทหาร ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้บังคับบัญชากองพลทงโจวซึ่งเป็นหนึ่งในกองพลส่วนพระองค์ของฮ่องเต้
คล้ายกับว่าตำแหน่งขุนนางสูงกว่าเฉินลั่วเสียอีก
คุณหนูสองสามท่านของจวนเซียงหยางโหวเกาะกลุ่มอยู่ด้วยกัน ฉังหนิงอยู่กับฉังเหยียน หวังซีอยู่กับฉังเคอ ส่วนคุณหนูพานตามหลังโหวฮูหยินไม่ห่างโดยตลอด ถึงแม้นายหญิงและคุณหนูทั้งหลายของจวนเซียงหยางโหวจะไม่ค่อยพูดคุยกับคนจวนหย่งเฉิงโหวเท่าไรนัก แต่หวังซียังคงจดจำหน้าตาของพวกนางได้
ตกบ่าย ขณะที่ทุกคนพักผ่อนอยู่ในห้องพระนั้น จิ้งเสียนไต้ซือที่มีคิ้วหนาดวงตาโตนำเณรน้อยสองสามคนเข้ามาคารวะฮูหยินผู้เฒ่าทั้งสองท่าน ยังนำเครื่องรางที่บอกว่าเขาปลุกเสกเรียบร้อยแล้วมาให้เหล่าคุณชายคุณหนูของทั้งสองจวนด้วย
ระหว่างที่กำลังพูดคุยกันนั้น หวังซีสังเกตเห็นว่าฉังเหยียนเขย่งเท้าขึ้นมองออกไปนอกห้องโถงครั้งหนึ่ง
นางรู้สึกว่าจะต้องมีคุณชายจากจวนเซียงหยางโหวตามเข้ามาเป็นแน่
ไม่รู้ว่าตอนงานวันคล้ายวันเกิดของจ่างกงจู่ จะมีโอกาสได้พบบุรุษรูปงามสองสามคนที่ฉังเคอพูดถึงหรือไม่
หวังซีคิดอย่างแห้งเหี่ยว ให้หวังหมัวมัวบริจาคเงินให้วัดสองร้อยตำลึง
นอกจากเครื่องรางแล้ว นางยังได้รับสร้อยลูกประคำสิบแปดเม็ดทำจากไม้จีชื่อ[2]ที่ปลุกเสกแล้วมาอีกหนึ่งเส้นด้วย
ทุกปีไม่รู้ว่าหวังซีได้รับของเช่นนี้มากมายเพียงใด
นางไม่ค่อยชอบของของพระในวัดเท่าไรนัก แต่หากเป็นแม่ชียอมรับได้ง่ายกว่าเล็กน้อย
นางยกสร้อยลูกประคำนี้ให้หวังสี่ ให้เขาเอาไปจัดการได้ตามใจชอบ
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พวกนางเดินทางกลับจวนหย่งเฉิงโหวอย่างโยกเยกไปตลอดทางอีกครั้ง
……………………………………………………………………………