เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 213 สับสน
หวังซีคล้ายถูกสายฟ้าฟาดก็ไม่ปาน
มิใช่ควรคิดว่าหากแต่งกับเฉินลั่วจริงๆ ที่บ้านจะได้รับผลกระทบอะไรบ้างหรอกหรือ เหตุใดน้ำเสียงของหวังหมัวมัวถึงฟังดูเหมือนต้องการใช้เฉินลั่วเป็นทางเดินหิน นอกจากปูทางให้นางฟอกชื่อเสียงให้ขาวสะอาดได้อย่างสะดวกแล้ว ยังสร้างชื่อเสียงใหม่ได้อีกด้วย
เหตุใดนางถึงไม่รู้ว่าหวังหมัวมัวเป็นคนเก่งกาจขนาดนี้กันนะ
“ไม่ใช่อย่างนั้น!” หวังซีกล่าวแย้งอย่างอ่อนแรง “จ่างกงจู่อยากสู่ขอข้าไปเป็นบุตรสะใภ้ ไม่ใช่ไปเป็นอนุภรรยาอะไรเทือกนั้น…”
เพียงแต่ว่านางยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกหวังหมัวมัวกล่าวตัดบทอย่างขมขื่นว่า “คุณหนูคนดีของข้า! มันสูงเกินจะปีนป่าย! ไม่ว่าพวกเขาจะมีแผนการอะไร พวกเราสนใจแต่แผนการของพวกเราก็พอ เรื่องนี้ท่านอย่าสนใจเลย ข้าจะไปหารือกับหลงจู๊ใหญ่เอง ประจวบเหมาะพอดี ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าท่านเจ็บคอ จวนหย่งเฉิงโหวก็เคยเชิญท่านหมอมาดูอาการท่านแล้ว เช่นนั้นก็บอกกล่าวคนภายนอกว่าท่านไม่สบายก็แล้วกัน สองสามวันนี้ท่านอย่าเพิ่งออกไปไหน รอข้ากับหลงจู๊ใหญ่จัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว ข้าค่อยดูว่ามีบ้านไหนจัดงานต่อบทกลอนหรืองานชมบุปผาจำพวกนั้นบ้าง ถึงเวลาท่านสวมเสื้อผ้าสวยๆ ออกไปเดินเล่นสักครั้งหนึ่ง เผยเจตนานี้ให้คนภายนอกรับรู้ เท่านี้ก็ถือว่าเรื่องนี้สำเร็จลงแล้ว!”
ยิ่งพูดนางก็ยิ่งรู้สึกว่าความคิดนี้ดี ยังกล่าวด้วยว่า “คุณหนูใหญ่ ใต้เท้าเฉินเป็นคนไม่เลยเลวทีเดียว แต่เรื่องของครอบครัวพวกเขายุ่งเหยิงเกินไป ท่านยืนชมทิวทัศน์อยู่บนภูเขาได้ เหตุใดต้องเอาตัวเองไปลุยโคลนนั้นด้วย พวกเราไม่สนเขาแล้ว หลังปีใหม่เดินทางกลับสู่จง ให้นายท่านผู้เฒ่าช่วยดูให้ท่านด้วยตัวเอง เฟ้นหาสามีดีๆ มาให้ท่านผู้หนึ่ง เพียงเท่านี้ชีวิตข้าก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงอีกแล้ว”
นางเป็นแม่นมของหวังซี หวังซีเติบโตมาจากดื่มน้ำนมของนาง ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ต่อให้ไม่ใช่แม่ลูกก็เหมือนแม่ลูก ความรักความปรารถนาดีที่นางมีต่อหวังซีนั้น ไม่น้อยไปกว่ามารดาแท้ๆ ของหวังซีเลย
หวังซีกะพริบตาปริบๆ รู้สึกว่าเหตุใดทิศทางของภาพวาดนี้ถึงเปลี่ยนแปลงไปอย่างแปลกประหลาดได้ขนาดนี้
นางกล่าว “แต่จ่างกงจู่มีความคิดเช่นนี้แล้ว ต่อให้พวกเราไม่ตอบรับ ก็ไม่อาจปฏิเสธง่ายๆ อย่างไม่ให้เกียรติเช่นนี้กระมัง”
“หากมิใช่เพราะเหตุนี้ข้าจะพูดว่าต้องบอกเรื่องนี้กับนายท่านผู้เฒ่า นายหญิงผู้เฒ่า นายท่านใหญ่และคุณชายใหญ่ได้อย่างไร” หวังหมัวมัวกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก “ขอเพียงท่านบอกว่าไม่แต่ง พวกนายท่านผู้เฒ่าย่อมไม่มีทางทนดูท่านกระโดดเข้ากองไฟไปเฉยๆ อย่างแน่นอน!”
ที่แท้จวนจ่างกงจู่ก็เป็นกองไฟในสายตาของหวังหมัวมัวนี่เอง!
หวังซีชันศอกขึ้น คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
หวังหมัวมัวรีบเร่งกำลังจะไปหาหลงจู๊ใหญ่ แต่ถูกหวังซีห้ามเอาไว้ กล่าวว่า “ข้าต้องการคิดให้ถี่ถ้วนดูก่อน”
หวังหมัวมัวกลัวนางเปลี่ยนใจ ทว่าก็ไม่อาจตัดสินใจเองได้
ที่สำคัญก็คือตอนเดินทางมาที่นี่ท่านปู่ของหวังซีเคยสั่งนางเอาไว้ว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร พวกนางที่เป็นข้ารับใช้ข้างกายเหล่านี้ต้องให้หวังซีอนุญาตก่อนถึงจะกระทำได้
ณ ตอนนั้นหวังหมัวมัวไม่เข้าใจ
ท่านปู่ของหวังซีอธิบายยิ้มๆ ว่า “ออกจากบ้านเดินทางไปจิงเฉิงกว่าพันลี้ ก็ให้ถือเป็นประสบการณ์ชีวิตครั้งหนึ่งของนาง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือร้าย ก็ให้นางตัดสินใจด้วยตัวเอง หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ถือโอกาสตอนที่พวกข้ายังมีชีวิตอยู่ ยังมีแรงช่วยเหลือนางได้สักครั้งหนึ่ง หากช้าไปเมื่อพวกข้าทั้งสองจากไปแล้ว เด็กผู้นั้นทำผิดพลาดก็ไม่มีคนช่วย เช่นนั้นต่างหากคือการทำร้ายนางอย่างแท้จริง”
หวังหมัวมัวยอมรับว่าที่ท่านผู้เฒ่าทั้งสองกล่าวมาล้วนมีเหตุผล แต่การแต่งงานของสตรี ก็เหมือนการเกิดใหม่ หากตอนนี้ทำพลาดไป ก็เท่ากับผิดพลาดไปตลอดทั้งชีวิต
เรื่องเช่นนี้ จะปล่อยให้หวังซีตัดสินใจตามใจชอบได้อย่างไร
นางลังเลกว่าครู่ใหญ่ สุดท้ายแอบให้คนนำจดหมายไปส่งให้หลงจู๊ใหญ่ ขอให้หลงจู๊ใหญ่ช่วยชี้แนะว่าตนควรทำอย่างไรดี
ปกติยามหวังซีพบกับสถานการณ์เช่นนี้ หากรู้สึกว่าตัวเองยังตัดสินใจไม่ได้ก็จะโยนไปไว้ข้างๆ ก่อน เชื่อว่าเวลาย่อมมีคำตอบให้นาง
แต่วันนี้ นางนอนอยู่บนเตียงพลิกตัวไปมาอย่างไรก็นอนไม่หลับ
จะปฏิเสธจ่างกงจู่ไปเช่นนี้จริงๆ หรือ
อนาคตผู้ใดจะได้แต่งกับเฉินลั่ว?
คนที่แต่งให้เฉินลั่วผู้นั้นจะแอบส่องเขารำกระบี่เหมือนนางหรือไม่ จะตกตะลึงเพียงเพราะมองเสี้ยวหน้าข้างหนึ่งของเขาหรือไม่ จะพยายามไปช่วยเขาอย่างสุดความสามารถเมื่อรู้ว่าเขาตกอยู่ในอันตรายเหมือนนางหรือไม่
หวังซีคิดแล้วก็รู้สึกตระหนกจนหายใจไม่ออก
นางส่งเสียงฟุดฟิดจนไป๋กั่วที่อยู่เวรกลางคืนนอนไม่หลับไปด้วย
ไป๋กั่วคิดแล้วไปยกน้ำดอกหอมหมื่นลี้ต้มกับพุทราจีนและรากบัวเข้ามาถ้วยหนึ่ง หยิบหมอนอิงปรนนิบัติให้หวังซีลุกขึ้นมานั่ง “ท่านกินอะไรหวานๆ สักหน่อย เช่นนี้ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นได้เจ้าค่ะ”
หวังซีไม่ค่อยอยากกินนัก กล่าวว่า “กินมากไปจะปวดฟัน”
ไป๋กั่วกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นก็กินน้อยลงหน่อย กินเสร็จแล้วไปล้างฟัน”
หวังซีใช้ช้อนคนขนมหวานกว่าครู่ใหญ่ จากนั้นถึงได้ค่อยๆ กินอย่างเชื่องช้า
กิริยาอาการของนางไม่ต่างไปจากปกติ แต่เมื่ออยู่ในสายตาของข้ารับใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายนางแล้วกลับสัมผัสได้ว่านางไม่มีความสุข
หลังจากกินไปไม่กี่คำหวังซีก็วางช้อนเอ่ยถามไป๋กั่วว่า “ใต้เท้าเฉินไม่ใช่คู่ที่เหมาะสมจริงๆ หรือ”
ไป๋กั่วครุ่นคิดแล้วตอบว่า “ถ้าตามที่ท่านเคยพูดเอาไว้ในยามปกติ ใต้เท้าเฉินก็ไม่เหมาะสมจริงๆ เจ้าค่ะ”
หวังซีแปลกใจ ถามว่า “ปกติข้าพูดอะไรหรือ เหตุใดข้าถึงไม่รู้”
ไป๋กั่วได้แต่หัวเราะ กล่าวว่า “เมื่อก่อนยามท่านพูดถึงเรื่องออกเรือนของตัวเอง มักจะพูดว่าต้องการหาคนที่หน้าตาหล่อเหลามีความมั่นใจ ครอบครัวเรียบง่าย และเชื่อฟังท่านทุกอย่าง ข้าดูคุณชายเฉินแล้ว นอกจากเงื่อนไขข้อที่หนึ่งแล้ว คาดว่าเงื่อนไขข้ออื่นๆ คงเป็นไปได้ยากเจ้าค่ะ”
นางเคยพูดเช่นนั้นด้วยหรือ
หวังซีจำไม่ได้แล้ว
แต่เท่าที่ฟังจากปากของไป๋กั่ว ก็เหมือนคำพูดของนางจริงๆ
นางอดถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่งไม่ได้
ไป๋กั่วหว่านล้อมนางว่า “ข้าคิดว่าหวังหมัวมัวกล่าวได้ถูกต้อง จิงเฉิงอากาศแห้ง อาหารการกินก็น้อย ไม่ใช่สถานที่สำหรับอยู่อาศัยถาวรจริงๆ เจ้าค่ะ”
นี่ก็เป็นสิ่งที่นางเคยกล่าวเอาไว้เช่นกัน
แต่เหตุใดหัวใจของนางถึงเป็นทุกข์ขนาดนี้ จะซ้ายหรือขวาก็ยังตัดสินใจไม่ได้
หวังซีกุมศีรษะ ไม่อยากพูดอะไรอีก แล้วก็ไม่อยากคิดอะไรแล้วด้วย อยากหยุดเวลาเอาไว้ตรงนี้เหลือเกิน
เป็นเช่นนี้อยู่สองวัน ซือจูก็กลับมาเยี่ยมบ้าน
หวังซีถามอย่างใคร่รู้ว่า “พาเฉินอิงกลับจวนหย่งเฉิงโหวด้วย?”
นางถือจวนหย่งเฉิงโหวเป็นตระกูลเดิมจริงๆ ไปแล้วหรือ
ไป๋กั่วพยักหน้า กระซิบกล่าวว่า “ได้ยินว่าโหวฮูหยินโกรธมาก ไม่อยากรับรองคุณชายใหญ่จวนเจิ้นกั๋วกง แต่หย่งเฉิงโหวออกคำสั่งมาแล้วว่าต้องการให้โหวฮูหยินจัดงานเลี้ยงต้อนรับดีๆ โหวฮูหยินจำต้องฝืนใจรับปาก ส่วนฮูหยินผู้เฒ่ากลับดีใจมาก กล่าวว่าไม่ว่าอย่างไร ซือจูก็เป็นแขกคนสำคัญของจวนหย่งเฉิงโหว ให้เกียรตินางครั้งนี้แล้ว เกรงว่าต่อไปนางก็คงไม่ค่อยได้กลับมาอีก”
หวังซีกล่าว “ไม่จำเป็นกระมัง! ไปมาหาสู่กันเช่นนี้ สุดท้ายก็กลายเป็นญาติจริงๆ ขึ้นมา ข้าว่า หย่งเฉิงโหวอาจอยากทำให้คลุมเครือเช่นนี้อยู่แล้วก็เป็นได้”
หากซือจูมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก อย่างมากเขาก็ใช้สมรสพระราชทานเป็นข้ออ้าง แต่ถ้าซือจูนั่งอยู่ในตำแหน่งสะใภ้ใหญ่ของจวนเจิ้นกั๋วกงได้อย่างสงบสุขและมั่นคง ก็ถือว่าจวนหย่งเฉิงโหวได้ผูกสัมพันธ์กับจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว
หวังซีกล่าว “ฮูหยินผู้เฒ่าเชิญใครไปนั่งเป็นเพื่อนบ้าง คอข้ายังไม่หายดี ไม่เข้าร่วมด้วยดีกว่า”
ไป๋กั่วพยักหน้า กำลังคิดว่าหากคนที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่ามาเชิญจะตอบฮูหยินผู้เฒ่าไปตามนั้น แต่ผู้ใดจะรู้ว่าโหวฮูหยินกลับมาหาด้วยตัวเอง ยังหว่านล้อมหวังซีว่า “ไปนั่งครู่หนึ่งก็พอ! บัดนี้นางเป็นแขก ก็คิดเสียว่าไปกินของอร่อยสักมื้อหนึ่ง วันนี้ข้าทำหมูผัดเปรี้ยวหวานที่เจ้าชอบกินที่สุดด้วย”
ใครบอกว่านางชอบกินหมูผัดเปรี้ยวหวานที่สุด
ความจริงหวังซีก็อยากปฏิเสธ แต่มองสีหน้าเหนื่อยล้าของโหวฮูหยินแล้วคิดถึงคุณหนูพานขึ้นมา สุดท้ายตัดสินใจไปร่วมงานเลี้ยงที่เรือนหยกวสันต์ด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่าจับมือนางเอาไว้สอบถามสารทุกข์สุกดิบ หวังซีไม่อยากพูดกับนางแม้แต่ประโยคเดียว นางชี้คอของตนแล้วสละที่นั่งให้หันซื่อที่เพิ่งแต่งเข้ามาใหม่ ส่วนตัวเองไปหลบทำตัวเป็นฉากหลังอยู่ตรงมุมห้อง
น่าเสียดายที่ซือจูไม่ยอมปล่อยนางไป
ในงานเลี้ยงซือจูอยู่ในชุดแขนกว้างสีแดงสดดิ้นทอง สวมมงกุฎทองคำติดขนนกกระเต็นสีฟ้าที่ประดับประดาด้วยหยกและอัญมณี นั่งทำหน้าใจดีมีเมตตาอยู่ข้างๆ ฮูหยินผู้เฒ่าหันมากวักมือเรียกนาง
“มานั่งข้างข้า” นางกล่าว “จ่างกงจู่สั่งเอาไว้ว่าต้องการให้พวกข้าดูแลเจ้าให้ดี เจ้านั่งไกลขนาดนั้น หากจ่างกงจู่รู้เข้า จะไม่ตำหนิว่าข้าไร้มารยาทหรอกหรือ”
น้ำเสียงของนางฟังแล้วเหมือนออกคำสั่ง คล้ายตัวเองเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของหวังซี ทำให้หวังซีรู้สึกไม่ชอบใจ กล่าวว่า “ไม่รบกวนสะใภ้ใหญ่เฉินดีกว่า สะใภ้ยังสาวที่ยังไม่ได้จดชื่อลงในระเบียนตระกูลของจวนเจิ้นกั๋วกงอย่างท่าน อย่าเสียเวลามากังวลเรื่องของข้าเลย ไปคิดหาวิธีให้ได้จดชื่อลงในระเบียนตระกูลเร็วขึ้นดีกว่ากระมัง”
ตามหลัก สะใภ้คนใหม่เข้าบ้านครบสามเดือนแล้วถึงจะจดชื่อลงระเบียนตระกูลได้
ซือจูพลันหน้าเปลี่ยนสี
หวังซีไม่มีทางปล่อยให้นางระเบิดอารมณ์ที่จวนหย่งเฉิงโหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าสตรีจวนหย่งเฉิงโหวจำนวนมากขนาดนี้ นอกจากนี้เพราะเรื่องทาบทามของเฉินลั่วนางยังกักเก็บเพลิงโทสะเอาไว้เต็มท้องอีกด้วย!
นางยิ้มเย็น “คุณชายใหญ่จวนเจิ้นกั๋วกงแต่งงาน กูไหน่ไนใหญ่ของจวนเจิ้นกั๋วกงกลับเมืองหลวงหรือเปล่า เมื่อวานพวกเจ้าได้ทำความรู้จักญาติหรือไม่ จ่างกงจู่กับเจิ้นกั๋วกงให้อะไรเจ้าเป็นของขวัญพบหน้าบ้าง ที่ผ่านมาจ่างกงจู่ไม่ยุ่งเรื่องในจวนเจิ้นกั๋วกง บัดนี้ผู้ใดเป็นคนดูแลเรื่องในจวนเจิ้นกั๋วกงหรือ หากเจ้ามีแรงมาถกเถียงกับข้าที่นี่ ไม่ลองคิดดูว่าชีวิตตัวเองจะเป็นอย่างไรในอนาคตดีกว่ากระมัง”
ซือจูโกรธจนหน้าอกกระเพื่อม ผุดลุกขึ้นมาชี้หวังซีแล้วก็พ่นคำด่า “เรื่องของข้าเจ้าไม่ต้องยุ่ง! นี่เจ้ากำลังรู้สึกองุ่นเปรี้ยวอยู่กระมัง อยากแต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกง แต่ไม่มีทาง! จ่างกงจู่ก็แค่กล่าวไปอย่างนั้น เจ้ากลับคิดเป็นจริงเป็นจัง คิดว่าตัวเองเป็นสะใภ้รองของจวนเจิ้นกั๋วกงจริงๆ…”
“ข้าเปล่า!” หวังซีตัดบทคำพูดของนางอย่างดูแคลน “เช่นนั้นที่เจ้าทำท่าทางอยากเป็นพี่สาวน้องสาวที่แสนดีกับข้านั้นมาจากที่ใด อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้า มีตาต้องหัดไปดูเรือนหลังเสียบ้าง มิใช่ว่าไฟลุกไหม้เรือนหลัง ทุกคนต่างยืนดูเรื่องสนุกอยู่ข้างๆ แล้ว แต่เจ้ากลับยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ข้าว่าคนที่คอยจับตาดูเรือนหลังของผู้อื่นก็คือเจ้าแล้วกระมัง!” ซือจูเดือดดาล ความโกรธที่กักเก็บมาจากจวนเจิ้นกั๋วกงบัดนี้ถูกระบายออกมาโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น “เจ้าเป็นที่สนใจของจ่างกงจู่ได้อย่างไรนั้นผู้ใดไม่รู้บ้าง บนโลกใบนี้ไม่มีกำแพงใดไม่มีหู…”
พวกนางโต้เถียงกันอยู่ตรงนั้น โหวฮูหยินที่ฟังอยู่ด้านข้างกลับกลอกตาไปมาอย่างใช้ความคิด กระซิบเรียกสาวใช้คนสนิท กล่าวว่า “เจ้ารีบไปบอกท่านโหวสักครั้งหนึ่งว่าคุณหนูสกุลหวังกับสะใภ้ใหญ่สกุลเฉินมีปากเสียงกัน คุณหนูสกุลหวังกำลังถามว่าเมื่อวานในพิธีทำความรู้จักญาติสะใภ้ใหญ่สกุลเฉินได้รับของขวัญพบหน้ามากน้อยเพียงไร”
ปริมาณของของขวัญพบหน้ากับญาติที่มาบ่งบอกได้ว่าตระกูลสามีให้ความสำคัญกับบุตรสะใภ้หรือไม่
ซือจูกับเฉินอิงกลับมาเยี่ยมบ้าน หย่งเฉิงโหวย่อมให้การรับรองเฉินอิงอยู่ที่เรือนชั้นนอกด้วยตัวเอง
สาวใช้ผู้นั้นวิ่งฉิวออกไป ไม่นานก็วิ่งกลับมา กระซิบกล่าวกับโหวฮูหยินว่า “ท่านโหวบอกว่า ไม่ต้องสนใจสะใภ้ใหญ่สกุลเฉิน พิธีทำความรู้จักญาติที่จวนเจิ้นกั๋วกงเมื่อวานนั้น ญาติอาวุโสล้วนไม่มาร่วม จ่างกงจู่เองก็มอบเครื่องประดับเงินและทองให้เล็กน้อยเท่านั้น งานเลี้ยงวันนี้ หลักๆ แล้วทำเพื่อต้อนรับคุณชายใหญ่เฉิน แต่ก็อย่าทำให้คุณชายรองเฉิงไม่พอใจ จวนพวกเราจะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องนี้เจ้าค่ะ”
โหวฮูหยินมีแนวทางในใจแล้ว จึงลุกขึ้นมาขวางอยู่ตรงกลางระหว่างซือจูกับหวังซี กล่าวยิ้มๆ ว่า “จะว่าไปแล้วพวกเจ้าล้วนเป็นพี่สาวน้องสาวในห้องหอเหมือนกัน พี่สาวน้องสาวในห้องหอนั้นไม่ต้องเปรียบเทียบกับอะไรอื่น ต่อให้ทะเลาะมีปากเสียงกัน นั่นก็เหมือนอากาศในเดือนหก ที่ประเดี๋ยวฝนตกประเดี๋ยวท้องฟ้าแจ่มใส วันดีๆ เช่นนี้พวกเจ้าพี่น้องก็พูดให้น้อยลงสักประโยคหนึ่งเถอะ ด้านคุณชายใหญ่เฉินยังรออาจูกลับบ้านอยู่! จวนเจิ้นกั๋วกงไม่มีคนดูแลงานบ้านในจวน อาจูก็เลยต้องลำบากเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องรีบมารีบกลับ”
นี่กำลังเร่งซือจูให้รีบกลับไปนั่นเอง
ลำเอียงเข้าข้างหวังซี!
………………………………………………………….