เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 231 ฝากฝัง
พูดกันตามจริงแล้ว จ่างกงจู่หาได้ให้ความสำคัญกับญาติดองจากใจขนาดนั้น สิ่งสำคัญเป็นเพราะต้นกำเนิดของนาง สำหรับคนที่ไม่รู้จัก ยากนักที่นางจะเคารพให้เกียรติผู้อื่นจากใจจริงๆ ส่วนคนที่นางไม่เคารพ ก็ยากมากที่จะให้ความสำคัญจริงๆ ต่อให้แสดงออกมาว่าให้ความสำคัญ นั่นก็เป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น นอกจากนี้นางรู้สึกว่าญาติฝ่ายภรรยาของบุตรชายไม่เกี่ยวอะไรกับนางมากนัก เบื้องหน้าทุกคนต่างให้เกียรติกันก็พอแล้ว
แต่หลังจากที่ดองกับตระกูลหวังแล้ว กลับไม่เหมือนเดิมเล็กน้อย
เฉินลั่วให้ความสำคัญกับหวังซีมาก ทำให้ปฏิบัติต่อตระกูลหวังอย่างพิเศษไปด้วย ไม่ง่ายเลยกว่าความสัมพันธ์ระหว่างนางกับบุตรชายจะดีขึ้นมากขนาดนี้ จึงรู้สึกว่าควรปฏิสัมพันธ์กันอย่างเกรงอกเกรงใจเช่นนี้ต่อไปดีกว่า ไม่อยากให้ความสัมพันธ์กับบุตรชายกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เช่นนั้นยอมเสียเวลาและเรี่ยวแรงกับตระกูลหวังสักหน่อยก็ถือเป็นเรื่องที่สมควรทำ
เมื่อรู้ว่าพี่สะใภ้ใหญ่ของหวังซีจะมาถึงจิงเฉิงเวลาใดแล้ว นางก็หารือกับชิงกูว่า “ตอนนางมา ส่งพ่อบ้านไปต้อนรับที่ประตูเมืองสักคน มอบพวกของกินให้สักเล็กน้อย วันถัดไปค่อยส่งเทียบไปเชิญนางมาเป็นแขกที่บ้าน จากนั้นเชิญคนจากจวนชิงผิงโหวและเจียงชวนป๋อมาอยู่เป็นเพื่อนนางด้วย”
นี่ถือเป็นการให้เกียรติอย่างมากแล้ว
ยังถือโอกาสช่วยเปิดประตูบานใหญ่ให้นางได้รู้จักตระกูลชั้นสูงในจิงเฉิงอีกด้วย
ชิงกูขานรับคำอย่างยิ้มแย้มว่า “เจ้าค่ะ” ยังกล่าวด้วยว่า “ข้าจะไปบอกคุณชายรองด้วยสักคำหนึ่ง”
หนึ่งเพื่อทำให้เขารู้ว่าจ่างกงจู่ดีต่อเขามากเพียงใด และสองเป็นการแจ้งให้ตระกูลหวังทราบด้วยสักครั้งหนึ่ง ให้ตระกูลหวังได้เตรียมตัว ต่อให้ใครมีเรื่องสำคัญต้องการมาเยี่ยมก็จะได้เลื่อนวันออกไปก่อน
จ่างกงจู่ขาน “อืม” เสียงหนึ่ง ก้มหน้าลงไปเขี่ยพวกเครื่องประดับในกล่องเก็บเครื่องประดับเบาๆ ขบคิดว่าพรุ่งนี้จะแต่งกายอย่างไรเข้าวังดี
ฟากหวังซี เพิ่งไปดูเรือนที่จะให้พี่สะใภ้เข้าอยู่เสร็จไปอีกหนึ่งรอบ คุณหนูพานหรือก็คือสะใภ้หลิวให้คนนำเทียบมาส่งให้นาง บอกว่าพรุ่งนี้สะใภ้หลิวอยากมาเยี่ยมนาง
ชั่วขณะนั้นหวังซีเองก็คิดไม่ตกเหมือนกันว่าสะใภ้หลิวมาหานางด้วยเรื่องอันใด จึงตอบตกลงไป จากนั้นให้คนไปเตรียมขนมและผลไม้ที่สะใภ้หลิวชื่นชอบเอาไว้รอนางมาหา
ตอนที่นางมาถึงสีหน้าซีดเผือด จับมือหวังซีเอาไว้บอกว่ามีเรื่องอยากคุยกับนางเป็นการส่วนตัว
หวังซีมองจากท่าทางของนางแล้วพอจะเดาออกว่าคงเกิดเรื่องใหญ่ร้ายแรงอะไรขึ้น จึงรีบไล่คนที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายออกไป ยังรินชาให้นางด้วยตัวเองถ้วยหนึ่ง เสร็จแล้วถึงนั่งลงบนตั่งตรงข้ามกับนาง กระซิบถามถึงวัตถุประสงค์การมาเยือนของนาง
สะใภ้หลิวจิบชาร้อนไปสองสามคำ เมื่อรู้สึกจิตใจสงบลงบ้างแล้วถึงกล่าวเสียงเบาว่า “เรื่องนี้นอกจากเจ้าข้าก็ไม่รู้ว่าควรปรึกษาใครดีแล้ว”
นางมองหวังซีขณะที่มุมปากเปิดเล็กน้อย ไม่รอให้หวังซีเอ่ยปากก็ยิ้มขื่นพลางกล่าวขึ้นก่อนว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไร แต่ท่านป้าของข้าผู้นั้น ผู้อื่นอาจไม่รู้แต่เจ้าจะไม่รู้หรือ นั่นเป็นคนที่พึ่งพาได้อย่างนั้นหรือ พี่ชายของข้ายิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย คนหนุ่มเลือดร้อน ข้าปิดบังเขายังไม่ทันเลย ไหนเลยจะกล้าพูดกับเขา”
หวังซีได้ยินแล้วหัวใจเต้นตึกๆ ไม่หยุด ไม่รู้ว่านางไปเจอเรื่องอะไรมาและตนจะช่วยเหลือได้หรือไม่ แต่นางยังคงกล่าวว่า “เจ้าว่ามาเถอะ ข้ากำลังฟังอยู่!”
แต่นางไม่กล้าให้คำมั่นสัญญาที่มากไปกว่านี้
สะใภ้หลิวได้ยินแล้วรู้สึกโล่งอก เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านเดิมนางวาดฝันเอาไว้ว่าเมื่อแต่งงานแล้ว บ้านเดิมคือแรงสนับสนุนเบื้องหลัง ส่วนบ้านสามีคือที่พึ่งพิง แต่เมื่อมาถึงจิงเฉิง ได้เห็นชีวิตของท่านป้านาง นางก็ไม่มีความคิดเช่นนั้นอีกแล้ว ในทางกลับกันเมื่อได้รู้จักหวังซี รู้สึกว่าทั้งที่นางได้รับความรักและการเอาใจจากบ้านเดิม แต่ในเวลาที่ต้องตัดสินใจกลับไม่ลนลานเลยแม้แต่ครึ่งเดียว หลังจากรู้จักเฉินลั่ว ตระกูลเฉินมาสู่ขอนาง ก็ไม่ได้หลงไปกับความโปรดปรานที่ได้รับ ยังคงตัดสินใจเลือกงานแต่งของตัวเองตามที่ใจปรารถนา ยังคงมั่นคงไม่สั่นคลอน ทั้งไม่ยโสและไม่ประจบสอพลอ นี่ต่างหากถึงเรียกว่ามีความมั่นใจอย่างแท้จริง!
นางอดแปลกใจเล็กน้อยไม่ได้ว่านางได้ความมั่นใจมาจากที่ใด
ที่ตนมาครานี้ก็เพราะอยากมาถามนาง
หวังซีได้ยินแล้วหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ คิดว่านางเขอเรื่องอะไรหลังแต่งงานเสียอีก แต่คาดว่าเรื่องพวกนี้ไม่ใหญ่หลวงอะไร จากเด็กสาวกลายเป็นสตรีที่ออกเรือนแล้ว สุดท้ายก็มีความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง และคาดว่าความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้คงทำให้นางไม่ค่อยสบายใจ ถึงได้มาขอความเห็นจากตน เพื่อทำให้นางรู้สึกสบายใจขึ้น
นางเองก็ไม่ปิดบัง กล่าวตามตรงว่า “ท่านย่าข้าบอกว่า นางอบรมสั่งสอนข้าและเลี้ยงดูข้าเยี่ยงเด็กผู้ชายมาตั้งแต่เด็ก จึงไม่เชื่อว่าข้าจะใช้ชีวิตของตัวเองให้ดีไม่ได้ ต่อให้ดีมากมายเพียงใดก็ล้วนแต่เป็นของผู้อื่น หากอยากให้ตัวเองมีชีวิตที่ดี ก็ต้องมีความสามารถยืนให้ได้ด้วยตัวเอง นั่นหมายความว่าต้องรู้เท่าทันมนุษย์ ทำงานเป็น แล้วก็มีทักษะสักอย่างหนึ่ง ทีนี้ไม่ว่าเดินไปไหนก็ไม่ต้องหวาดกลัวแล้ว”
สะใภ้หลิวประหลาดใจ ถามขึ้นว่า “เจ้ามีทักษะอะไร”
หวังซีหัวเราะฮ่า กล่าวว่า “เจ้าคิดว่าถ้าข้าเปิดร้านขนมสักร้านเป็นอย่างไร”
“นั่นย่อมต้องยอดเยี่ยมเป็นอันดับหนึ่ง” สะใภ้หลิวพิศวง
หวังซีหัวเราะอีกครั้ง กล่าวว่า “หากข้าเปิดร้านขายน้ำมันขายน้ำส้มสายชูเล่าเป็นอย่างไร”
สะใภ้หลิวพลันเข้าใจขึ้นมาทันที กล่าวว่า “แน่นอนว่านั่นย่อมไม่มีปัญหา”
เครื่องปรุงจำนวนมากของหวังซีนั้นห้องครัวของนางทำขึ้นมาเองทั้งหมด รวมถึงวัตถุดิบหลักของหม้อไฟนั่นด้วย
“ฉะนั้นท่านย่าของย่ามักพูดบ่อยๆ ว่า อาหารคือสวรรค์ของมนุษย์” หวังซีกล่าวยิ้มๆ “สิ่งจำเป็นของชีวิตเจ็ดอย่างได้แก่ฟืน ข้าวสาร น้ำมัน เกลือ น้ำปรุงรสถั่วเหลือง น้ำส้มสายชูและชา ข้ารู้กระทั่งวิธีทำถ่าน หากถามว่าไม่รู้อะไร นั่นก็คือปลูกชาไม่เป็น แต่สิ่งสำคัญคือข้าไม่สนใจเรื่องนี้มากกว่า”
แต่เรื่องอื่นๆ ขอเพียงนางลงมือ ก็รู้ว่าต้องจัดการอย่างไรแล้ว แค่นี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้าอาหารไปตลอดทั้งชีวิตแล้ว
เพราะฉะนั้นนี่ต่างหากคือสินติดตัวที่สำคัญที่สุดที่ตระกูลหวังมอบให้นาง!
สะใภ้หลิวพอจะรู้รางๆ แล้วว่าเหตุใดหวังซีถึงมีความมั่นใจขนาดนี้
ไม่ว่าตอนไหน สถานการณ์จะเป็นอย่างไร นางล้วนมีความกล้า จิตใจที่แน่วแน่และทักษะพร้อมสำหรับเริ่มต้นใหม่ นี่ต่างหากคือความมั่งคั่งที่ล้ำค่าที่สุด
หวังซีอดเม้มปากยิ้มไม่ได้ คิดว่าเรื่องนี้คงผ่านพ้นไปได้แล้ว จึงถามนางว่า “เจ้าอยู่กินมื้อเย็นด้วยกันได้หรือไม่ ข้าให้คนไปตุ๋นน้ำแกงไก่กระดูกดำพุทราจีนกับหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิดีหรือไม่ มันอร่อยจริงๆ เมื่อก่อนข้าไม่รู้เลยว่าเอาหน่อไม้อ่อนมาตุ๋นกับไก่ดำก็อร่อยมากเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม มีแค่เอาไปตุ๋นกับหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิของหังโจวเท่านั้นที่รสชาติดีที่สุด ข้ารู้สึกว่าหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิของฝูเจี้ยนอร่อยสู้ของหังโจวไม่ได้ แต่หน่อไม้ฤดูหนาวของพวกเขาอร่อยกว่าของที่อื่นๆ”
สะใภ้หลิวหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ หยุดหวังซีเอาไว้ กล่าวว่า “ข้ามาหาเจ้าเพราะมีเรื่องอยากฝากฝังจริงๆ”
ถึงขั้นใช้คำว่า ‘ฝากฝัง’ หวังซีเองก็นั่งตัวตรงขึ้นมา กล่าวว่า “เจ้าว่ามาเถอะ!”
สะใภ้หลิวตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้กล่าวขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “ก่อนหน้านี้พวกเราเคยคุยกันไว้ว่าจะทำการค้าร่วมกันมิใช่หรือ ข้ากลัวว่าคงช่วยเหลือเจ้าไม่ได้แล้ว เจ้าลองดูว่าให้ข้าทำแค่ร่วมลงทุนแต่ไม่สอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องของร้านเหมือนเจ้าได้หรือไม่ นอกจากนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องรีบแบ่งส่วนแบ่งให้ข้า รอยามที่ข้าจำเป็นต้องใช้เจ้าค่อยทยอยแบ่งให้ข้าก็ได้”
นี่ไปเจอครอบครัวสามีที่คิดจะฮุบสินเจ้าสาวของสะใภ้มาหรือ
หวังซีประหลาดใจเป็นอย่างมาก
ตระกูลหลิวดูเป็นตระกูลที่ซื่อตรงมาก หาไม่แล้วตระกูลพานก็คงไม่คิดว่างานแต่งนี้เป็นการเกี่ยวดองที่ดี แต่ภายหลังจากที่นางได้ฟังถ้อยคำของหลิวจ้งแล้วก็รู้สึกว่าหลิวซื่อหลางอาจเป็นขุนนางกำมะลอผู้หนึ่งก็เป็นได้ แต่เพราะยิ่งเป็นคนเช่นนี้ก็ยิ่งต้องรักษาหน้าตา ยิ่งไม่อาจกระทำเรื่องฮุบสินเจ้าสาวของบุตรสะใภ้
นอกจากนี้พานเหลียงก็เพิ่งแต่งเข้าไป และตอนนี้ตระกูลพานเองก็ยังมิได้ตกต่ำ
นางได้แต่ถามอย่างระมัดระวังว่า “เจ้าไปเจออะไรมาใช่หรือไม่”
สะใภ้หลิวพยักหน้า ลดเสียงลงพลางกล่าวว่า “แม้นข้าเพิ่งแต่งเข้าไป แต่ก็พบความผิดปกติบางอย่าง ช่วงก่อนมีคนมาหาข้าพ่อสามีของข้า ต่อหน้าแม่สามีข้ากระตือรือร้นเป็นอย่างมาก แต่พริบตาเดียวคนผู้นี้ก็เสียชีวิตอยู่ในคูเมือง ว่ากันว่าเพราะกลางคืนดื่มสุรามากก็เลยตกลงไป…
…ตอนนั้นข้าเคยเจอคนผู้นั้นครั้งหนึ่ง ดูไม่เหมือนคนที่จะดื่มสุรามากจนตกลงไปในคูเมืองได้เลย ข้ารู้สึกไม่สบายใจจึงพูดกับสามีอย่างอ้อมค้อมไปสองสามประโยค เขาร้อนใจยิ่งกว่าข้าเสียอีก ต่อมายังถูกพ่อสามีกักบริเวณอย่างไร้เหตุผลอีกด้วย…
…ข้าจึงสงสัยว่าตระกูลหลิวอาจเคยทำเรื่องอะไรที่ผู้อื่นไม่รู้มาก่อน และยังเป็นเรื่องที่ขัดต่อศีลธรรมด้วย…
…ข้าเดาว่าสามีของข้าก็รู้เช่นกัน…
…หากเขาไม่สนใจข้า ข้าก็คงปล่อยไปแล้ว แต่ระยะนี้เขาแอบเอาตั๋วเงินหลายพันตำลึงมายัดให้ข้า ทั้งหมดล้วนเป็นสิบยี่สิบตำลึงทั้งสิ้น บอกว่าให้ข้าหาคนที่ไว้ใจได้สักคนหนึ่งแล้วเอาไปฝากไว้ ต่อไปค่อยๆ เอาออกมาซื้อพู่กันซื้อหมึก…
…เรื่องที่มากไปกว่านี้ ข้าถามอะไรมาไม่ได้อีก เขาเองก็ไม่ยอมเล่า…
…ข้าจึงคิดไปไกลกว่าเขา เอาเงินจำนวนดังกล่าวออกมาด้วยทั้งหมด อยากให้เจ้าช่วยเก็บรักษาเอาไว้ให้ข้า”
กล่าวถ้อยคำนี้จบ นางเองก็รู้สึกกระดากอายเล็กน้อยเช่นกัน
เรื่องของตระกูลหลิว เหตุใดต้องลากหวังซีลงน้ำไปด้วย
ก็เพราะเห็นว่านางกำลังจะแต่งเข้าจวนจ่างกงจู่ หวังซีเองก็เป็นคนเชื่อถือได้ เอาไปฝากใครก็ไม่น่าไว้ใจเท่าฝากไว้กับหวังซี
นางรีบเปลี่ยนน้ำพูดใหม่ “มิใช่ว่าต้องการให้เจ้าช่วยถือเอาไว้ ข้าอยากเอาตั๋วเงินนี้ไปฝากไว้ที่ร้านเครื่องประดับของพวกเจ้า เจ้าช่วยไปบอกเอาไว้สักคำได้หรือไม่ ต่อให้เกิดอะไรขึ้นกับตระกูลหลิว ข้าก็จะได้ค่อยๆ นำออกมาใช้ได้”
คนที่เปิดร้านเครื่องประดับได้ มีใครไม่มีครอบครัวคนมีอำนาจหนุนหลังบ้าง หากพวกเขาโยนหินใส่คนล้มขึ้นมา โหดร้ายและอำมหิตยิ่งกว่าผู้ใดทั้งสิ้น
หวังซีคิดว่าเช่นนี้เป็นไปได้ กล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าตรวจทานตั๋วเงินให้เรียบร้อย ข้าจะช่วยเจ้านำตั๋วเงินไปฝากไว้ที่ร้านเครื่องประดับของพวกข้า”
สะใภ้หลิวซาบซึ้งใจอย่างเหลือล้น กล่าวว่า “เมื่อเจ้าแต่งงานแล้ว เกรงว่าข้าคงไม่อาจไปมาหาสู่กับเจ้าบ่อยๆ ได้อีก เจ้าอย่ากล่าวโทษข้าก็พอ”
หวังซีคิดว่าเนื่องจากต้องการเลี่ยงคำครหา เช่นนั้นย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
นางพยักหน้าหงึกๆ กล่าวว่า “พวกเราได้ผูกวาสนาต่อกันก็เพราะจวนหย่งเฉิงโหว หลังแต่งงานต่างคนต่างย่อมมีเรื่องของตัวเอง ค่อยๆ เหินห่างกันไปก็เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์”
สะใภ้หลิวจับมือของหวังซีเอาไว้สะอื้นไห้กว่าครู่ใหญ่ กล่าวว่า “แต่หวังว่าจะเป็นแค่เรื่องที่พวกเราคิดมากกันไปเอง”
หวังซีครุ่นคิดแล้วเล่าเรื่องของหลิวจ้งให้นางฟัง
มองปัจจุบันจากอดีต
เห็นชัดแล้วว่าพ่อสามีของนางเป็นคนเช่นไร
สะใภ้หลิวไม่กล่าวอะไรไปครู่ใหญ่ ทอดถอนหายใจพลางตบมือของหวังซีเบาๆ ไม่อยู่กินมื้อเย็นด้วย ถือขนมที่ห้องครัวของนางทำให้กลับไปด้วยหลายกล่อง
ภายหลังให้ป้ารับใช้ข้างกายตนเป็นคนติดต่อกับหวังหมัวมัวแทน ตัวนางไม่มาหาหวังซีอีก
หวังซีจัดการเรื่องทางนี้เสร็จแล้วก็ตามหวังเฉินไปรับพี่สะใภ้ใหญ่ของนางที่ทงโจว
บางทีอาจเป็นข้อบกพร่องปกติของมนุษย์ที่ตัวเองขาดสิ่งใดก็ยิ่งสนใจสิ่งนั้นมากเป็นพิเศษ
อย่างท่านปู่ของนางเป็นคนหน้าตาธรรมดาสามัญผู้หนึ่ง บิดาของนางก็ใช่ พี่ชายใหญ่ของนางก็ใช่ เพราะฉะนั้นแล้วท่านย่า ท่านแม่และพี่สะใภ้ใหญ่ของนาง หรือแม้กระทั่งภรรยาร่วมผูกผมคนแรกของบิดานาง ล้วนแล้วแต่เป็นสตรีงามล้ำโดดเด่นกว่าผู้อื่นทั้งสิ้น
จินซื่อหรือพี่สะใภ้ใหญ่ของนางมาจากครอบครัวธรรมดา ครอบครัวประกอบกิจการค้าขายอาหารหมักดองทั่วไป แต่นางเป็นคนหน้าตาดี นิสัยใจคอก็ดี มีปัญหาเฉียบแหลม เห็นเพียงครั้งเดียวพี่ชายใหญ่ของนางก็ถูกใจ ต้องการสู่ขอกลับมาด้วยให้ได้ ท่านย่าของนางแอบไปดูตัวอย่างลับๆ หลายครั้ง แม้นยังมีข้อบกพร่องอยู่บ้างในฐานะเป็นภรรยาเอก แต่ตัวคนฉลาดเฉียบแหลมจึงสอนสั่งกันได้ ก็เลยพยักหน้าช่วยสู่ขอกลับมา นางดีกับทุกคนในบ้านไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสกว่าหรือน้อยอาวุโสกว่าก็ตาม อีกทั้งได้รับการฝึกฝนอยู่ข้างกายท่านย่าของนางมาหลายปี จึงค่อยๆ กลายเป็นผู้ช่วยมือขวาคนสำคัญของพี่ชายใหญ่ของนางไปในที่สุด
…………………………………………………………………….