เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 232 ให้ความสำคัญ
ตอนหวังซีเป็นเด็ก พี่สะใภ้ใหญ่ของนางเป็นคนดูแลนางกว่าครึ่งหนึ่งของเวลาที่ผ่านมา
ดังนั้นจินซื่อเพิ่งจะยืนนิ่งตรงขอบเรือ นางก็เขย่งเท้าขึ้นโบกมือไปมาให้แล้ว
จินซื่อเองก็มองไปรอบๆ อยู่ตรงขอบเรือเช่นกัน
เมื่อเห็นพวกหวังซีก็ยิ้มกว้างออกมา เลียนแบบท่าทางของหวังซีโบกมือตอบกลับมาด้วย
พอลงจากเรือ นางก็คว้าหวังซีมากอดเอาไว้ ยังกล่าวด้วยว่า “ผอมลงแล้ว! น้ำดินที่นี่บำรุงคนได้ไม่ดีเท่าที่บ้าน”
หวังซีหัวเราะร่า
นางอ้วนกว่าตอนอยู่สู่จงเล็กน้อย แต่ทุกครั้งที่นางออกจากบ้านแล้วกลับไป พี่สะใภ้ใหญ่ก็มักพูดว่านางผอมลง
นี่อาจจะเป็นความรักความเอาใจใส่อีกประเภทหนึ่งกระมัง!
นางคลายมือจากจินซื่อ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเฝ้ารอพี่สะใภ้ใหญ่มาตลอด! เหตุใดพี่สะใภ้ใหญ่เพิ่งมาเอาป่านนี้เจ้าคะ”
จินซื่อมองสำรวจนางขึ้นลงยิ้มๆ พอเห็นนางมีสีหน้าแช่มชื่น ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายสว่างสุกใส ถึงได้ยิ้มกล่าวว่า “ท่านปู่กับท่านย่าไหว้วานให้ข้าเอาสินเจ้าสาวของเจ้ามาให้ด้วยส่วนหนึ่ง ก็เลยล่าช้าไปหลายวัน เป็นอย่างไรบ้าง ใต้เท้าเฉินคนเล็กผู้นั้นดีกับเจ้าหรือไม่”
หวังซีเม้มปากกลั้นยิ้ม
เฉินลั่วจึงถือโอกาสก้าวออกมาทำความเคารพจินซื่อ
จินซื่อมองแล้วชั่วพริบตานั้นดวงตาก็สว่างวาบขึ้นมา รู้สึกว่าแปดถึงเก้าในสิบส่วนน้องเล็กต้องชอบใต้เท้าเฉินคนเล็กท่านนี้จริงๆ หน้าตาหล่อเหลามากเหลือเกิน
นางรีบทำความเคารพตอบเฉินลั่ว หัวใจที่แขวนอยู่วางลงมาได้มากกว่าครึ่ง จากนั้นถึงก้าวออกไปคารวะทักทายหวังเฉิน
ครั้งนี้หลานชายทั้งสองคนของหวังซีตามจินซื่อมาด้วยเช่นกัน คนหนึ่งมีนามว่าหวังเจิ้น ส่วนอีกคนหนึ่งมีนามว่าหวังถิง หวังเจิ้นอายุเท่ากับหวังซี ส่วนหวังถิงอ่อนกว่าหวังซีหกปี บางทีอาจเป็นเพราะเขาเป็นบุตรชายคนโต หวังเจิ้นจึงดูสุขุมกว่าเด็กรุ่นเดียวกันหลายส่วน ส่วนหวังถิงดูร่าเริงกว่า ยิ่งไปกว่านั้นเขาเล่นกับหวังซีมาตั้งแต่เด็ก ตอนก้าวออกมาทำความเคารพหวังซียังหันมาขยิบตาใส่หวังซีด้วย
หวังซีโพล่งหัวเราะออกมา จับไหล่ของหวังถิงเอาไว้มองไปด้านหลังของพวกเขา เห็นเพียงบ่าวไพร่ที่กำลังยกหีบสัมภาระขึ้นๆ ลงๆ เท่านั้น ไม่เห็นหวังเซิ่งผู้เป็นพี่ชายคนรอง
นางอดกล่าวไม่ได้ว่า “พี่รองของข้าไม่ได้มาด้วยหรือเจ้าคะ”
ก่อนหน้านี้ยังบอกอยู่เลยว่าจะมาจิงเฉิง
จินซื่อกล่าวยิ้มๆ ว่า “น้องรองจะมาพร้อมกับท่านพ่อและท่านแม่ เกรงว่าคงต้องรออีกสักระยะหนึ่ง”
“ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าจะมาจิงเฉิงหรือเจ้าคะ” หวังซีลิงโลดยินดี
ถึงแม้นางจะรู้อยู่แล้วว่าตนออกเรือนอย่างไรบิดามารดาก็น่าจะมา แต่ตราบใดที่ยังไม่มีกำหนดการแน่นอน นางยังคงกลัวว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นได้
จินซื่อพยักหน้า ยิ้มกล่าวว่า “มิใช่แค่ท่านพ่อกับท่านแม่เท่านั้นที่จะมา ท่านปู่กับท่านย่าก็จะมาด้วย”
“เย่ เช่นนั้นก็ยิ่งดีแล้ว!” หวังซีร้องอย่างดีใจ กล่าวอย่างร้อนใจว่า “กลัวแต่ว่าบ้านที่อยู่ตอนนี้คงไม่พอแล้ว คงต้องซื้อบ้านอีกสักหลังถึงจะใช้การได้” กล่าวกับหวังเฉินอีกว่า “ไม่จำเป็นต้องอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองเท่านั้นก็ได้ หากทางทิศตะวันออกของเมืองมีบ้านดีๆ ก็ใช้ได้เหมือนกันเจ้าคะ”
หวังเฉินกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องพวกนี้ ตอนนี้เจ้ารับผิดชอบอยู่เป็นเพื่อนพี่สะใภ้ของเจ้าให้ดีเถอะ ให้พี่สะใภ้ของเจ้าได้รู้จักความฟู่ฟ่าและหรูหราของจิงเฉิงสักหน่อย”
“น้อมรับบัญชาเจ้าค่ะ!” หวังซีคล้ายแม่ทัพหนุ่มบนเวทีงิ้ว แสดงตัวอวดอ้างกับพี่ชายใหญ่
ทุกคนต่างพากันหัวเราะออกมา
หวังเฉินจึงเดินนำหวังเจิ้นกับหวังถิงไปคารวะเฉินลั่ว
เฉินลั่วสืบเรื่องของตระกูลหวังมาอย่างละเอียดตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว ก่อนเดินทางมาจึงเตรียมของขวัญพบหน้าเอาไว้เรียบร้อย รีบให้เฉินอวี้นำของขวัญออกมาให้ข้ารับใช้ข้างกายของหวังเจิ้นกับหวังถิงรับไปเก็บเอาไว้ จากนั้นกล่าวทักทายกันและกันสองสามประโยค
อีกด้านหนึ่งหลงจู๊ใหญ่พาภรรยามาทำความเคารพจินซื่อ ทุกคนพูดคุยหัวเราะสรวลเสเฮฮากัน นั่งรถม้าตรงกลับไปที่จิงเฉิงเลย เร่งเข้าเมืองทันก่อนที่ประตูเมืองจะปิด เดินทางต่อไปยังบ้านที่ซอยลิ่วเถียว
ตอนที่จินซื่อถูกประคองลงจากรถม้านั้นขาอ่อนไปหมด ถือผ้าเช็ดหน้าปัดฝุ่นตามร่างกายพลางทอดถอนใจกล่าวว่า “การนั่งรถเดินเรือนี้มิใช่งานง่ายจริงๆ แค่การเดินทางนี้ข้าก็รู้สึกลำบากแย่แล้ว แต่พวกพ่อบ้านในบ้านยังพูดกันว่า นี่เพราะพวกเรามีเงิน ใช้เงินก้อนใหญ่จัดเตรียมเรือที่ดีที่สุด เวลาพวกพี่ชายใหญ่ของเจ้าออกเดินทาง บางครั้งต้องนั่งเรือโดยสารด้วยซ้ำ หากมิได้ออกจากบ้านก็ไม่มีทางรู้จริงๆ ว่าโลกภายนอกลำบากมากเพียงใด หลายปีมานี้พี่ชายใหญ่ของเจ้าลำบากไม่น้อยเลย!”
หวังซีขานรับคำยิ้มๆ ว่า “จริงเจ้าค่ะ” รู้สึกว่าการที่พี่สะใภ้เห็นอกเห็นใจพี่ชายใหญ่ถือเป็นสิ่งที่ดียิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้นแล้ว
หลังจากเข้าบ้านแล้ว เฉินลั่วไม่ได้อยู่นาน คุยกันสองสามประโยคเพื่อนัดแนะเรื่องงานเลี้ยงของจ่างกงจู่เสร็จแล้วก็ลุกขึ้นกล่าวขอตัวลา
หวังซีรู้ว่านี่คือมารยาทที่พึงกระทำ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด หัวใจของนางรู้สึกไม่ค่อยยินดีนัก
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินลั่วจากไปโดยไม่ได้ทักทายบอกกล่าวนางก่อน
นางสั่งให้สาวใช้เด็กตักน้ำร้อนและยกน้ำแกงเข้ามาให้พี่สะใภ้ใหญ่เสร็จแล้วก็กลับไปที่เรือน ปล่อยให้พี่ชายใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ได้คุยกันเป็นการส่วนตัว
ไป๋กั่วและคนอื่นๆ ตื่นเต้นยินดีกันเป็นอย่างมาก รู้สึกว่าการได้เจอข้ารับใช้ข้างกายจินซื่อก็เหมือนได้เจอญาติพี่น้อง ทุกคนต่างพาคนของจินซื่อไปทำความรู้จักสถานที่กันอย่างมีความสุข
มีเสียงหินกระแทกบานหน้าต่างของหวังซีดัง ปัง
หวังซีเปิดหน้าต่างออก เฉินลั่วพาดตัวอยู่บนกำแพงภายใต้แสงจันทราอันสว่างสุกใสเอ่ยถามนางว่า “เหนื่อยหรือไม่ กินข้าวเย็นหรือยัง”
หวังซีเองก็พาดตัวคุยกับเฉินลั่วอยู่บนขอบหน้าต่างเช่นกัน “เจ้าไม่ได้กลับจวนจ่างกงจู่หรือ ฟากนั้นเป็นสถานที่อะไร เอาไว้ทำอะไรหรือ”
เฉินลั่วกล่าวยิ้มๆ ว่า “ตอนที่พวกเจ้าปรับปรุงบ้านข้าก็ปรับปรุงบ้านข้าเช่นกัน ลานบ้านของห้องหนังสือในเรือนชั้นในอยู่ตรงข้ามกับสวนดอกไม้หลังลานบ้านของเจ้าพอดี ข้ายังสั่งให้ปลูกต้นหลิวต้นใหญ่เอาไว้ด้วย ถึงเวลาจะได้พาดตัวอยู่ข้างบนมองไปทางเจ้าได้”
ภายใต้แสงจันทร์ใบหน้าหล่อเหลาของเขายิ่งดูอ่อนโยนมากขึ้น ยังเจือความอบอุ่นเอาไว้หลายส่วนอีกด้วย
หวังซีได้แต่หัวเราะคิกไม่หยุด นึกถึงที่ตัวเองแอบมองเฉินลั่วตอนอยู่สวนร่มหลิวขึ้นมา ไม่คาดคิดว่าเมื่อกาลเวลาผันผ่าน จะมีคนมาพาดตัวดูนางอยู่บนกำแพงบ้างแล้วเช่นกัน
“เจ้าเล่า กินข้าวเย็นหรือยัง” หวังซีถามยิ้มๆ “ข้าไม่ค่อยอยากอาหารนัก จึงให้ห้องครัวทำโจ๊กข้าวฟ่างและหั่นผักดองอีกสองสามอย่างมาให้ข้า เจ้าอยากมากินมื้อเย็นด้วยกันหรือไม่”
พี่สะใภ้ใหญ่ของนางเร่งเดินทางไม่ได้หยุด แม้นหวังเฉินอยากรั้งให้เฉินลั่วอยู่รับมื้อค่ำด้วย แต่เฉินลั่วยังไม่ถึงกับเป็นคนสายตาไร้แววขนาดนั้น
“ได้เลย!” เฉินลั่วพลิกตัวกระโดดเข้ามาในลานบ้านอย่างเงียบกริบ พิงตัวกับบานหน้าต่างคุยกับนางอยู่ใต้ชายคา “ทำแป้งย่างให้สักสองสามชิ้นได้หรือไม่ หรือจะเป็นแป้งทอดสักสองสามชิ้นก็ได้!”
นี่คงหิวแล้วกระมัง
หวังซียิ้มตาหยี ส่งคำสั่งให้ห้องครัวทำแป้งย่างมาให้
เวลากินมื้อค่ำก็เลยยิ่งล่าช้าออกไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หวังซีกำชับเฉินลั่ว “หลังจากกินอิ่มแล้วอย่าเพิ่งตรงไปที่ห้องหนังสือทันที ไปเดินย่อยอาหารในสวนสักสองสามรอบก่อน เพราะคืนนี้กินมากไปหน่อย”
เฉินลั่วไม่อยากเดิน กล่าวว่า “วันนี้เจ้าไปเดินเป็นเพื่อนข้าที่สวนของเจ้ากันเถอะ! วันนี้พวกเราต้องไปทงโจวมิใช่หรือ เมื่อวานข้าก็เลยลาหยุดสองวัน พรุ่งนี้ไม่ต้องไปทำงาน”
คิดว่าพวกเขาจะค้างที่ทงโจวหนึ่งคืน ผู้ใดจะรู้ว่าจินซื่อกลับต้องการเร่งเดินทางกลับเมืองหลวง บอกว่ากลับมานอนที่เมืองหลวงสบายใจกว่า
บางทีอาจเป็นเพราะรู้สึกว่านอนที่บ้านตัวเองดีกว่า
หวังซีคิดดูแล้วไม่ปฏิเสธเขา
ทั้งสองคนจึงไปเดินเล่นใต้แสงรัตติกาล
เฉินลั่วมองแสงจันทราอันเวิ้งว้าง ดมกลิ่นหอมอ่อนที่ลอยมา กล่าวอย่างเป็นกังวลว่า “ปีนี้หลังจากเข้าฤดูใบไม้ผลิก็มีฝนตกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เกรงว่าผลเก็บเกี่ยวคงไม่ดีนัก”
ตอนอยู่บ้านหวังซีช่วยดูแลเทือกสวนไร่นา ย่อมรู้ความร้ายแรงของการเกษตรดี รีบกล่าวว่า “ช่วงหนาวเย็นในฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ค่อนข้างนาน ไม่แน่ว่ารออีกสักระยะหนึ่งก็ดีขึ้นแล้วก็เป็นได้ ต่อให้ไม่ดีขึ้น แต่หลายปีมานี้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์ทุกปี เปิดคลังแจกจ่ายอาหารก็ได้แล้ว”
เฉินลั่วกลับกำลังคิดว่า หากอากาศผิดปกติ ไม่รู้ว่าจะหยิบเอาเรื่องนี้มาปั้นแต่งเรื่องเพื่อบีบบังคับให้ฮ่องเต้แต่งตั้งรัชทายาทได้หรือไม่ จะได้ไม่ต้องยุ่งเหยิงเช่นนี้อีก
เขาถามหวังซี “เจ้าคิดว่าองค์ชายใหญ่หรือองค์ชายรองดีกว่า?”
หวังซีกล่าว “ข้าไม่สนิทกับพวกเขา” เพียงแต่ว่ายังไม่ทันสิ้นเสียง นางก็เข้าใจขึ้นมาในฉับพลันว่าเฉินลั่วต้องการสื่ออะไร จึงกล่าวอีกว่า “แต่ถ้าพูดถึงเรื่องอื่น หากองค์ชายรองเป็นรัชทายาทก็ทำให้ตระกูลปั๋วยิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน ถึงเวลาจะยิ่งยุ่งยาก แต่ถ้าองค์ชายใหญ่เป็นรัชทายาท เกรงว่าจะก่อให้เกิดหายนะ เจ้าและข้าต่างติดร่างแหลำบากไปด้วย และยังเป็นไปตามที่ฮ่องเต้ปรารถนาด้วย ถ้าให้ข้าพูด องค์ชายรองเป็นรัชทายาทดีกว่า”
ฮ่องเต้ดูแคลนองค์ชายรองมาตลอดมิใช่หรือ ด้วยเหตุนี้ยังทำให้เฉินลั่วต้องรับความขมขื่นตามไปด้วยไม่น้อย กลายเป็นหมากในมือของเขา
หวังซีหาใช่คนอดทนโดยไม่มีขีดกำจัดประเภทนั้น
หากให้ผู้อื่นเป็นรัชทายาท มิเท่ากับว่าปล่อยฮ่องเต้ง่ายไปหรอกหรือ!
เฉินลั่วหัวเราะฮ่า เห็นได้ชัดว่าเข้าใจความหมายของหวังซี
เขากล่าว “เช่นนั้นพวกเราก็ทำให้ฮ่องเต้เร่งมือหน่อย เขาเอาแต่ยื้อยุดไปมาเช่นนี้ ผู้ใดจะมีเวลาว่างมาเล่นกับเขา”
แต่การทำให้ฮ่องเต้ตอบตกลงก็มิใช่เรื่องง่ายขนาดนั้นกระมัง
หวังซีคิดแล้วคิดอีก สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยคำพูดที่เป็นลางร้ายประโยคนี้ออกมา
ไม่รู้ว่าเฉินลั่วไม่สนใจหรือไม่ทันได้สังเกตเห็นกันแน่ เขากระซิบกล่าวความในใจกับหวังซีว่า “ถือเป็นความโชคดีของพวกเรา หลิวจ้งให้ความสนใจหลิวซื่อหลางเป็นอย่างมาก เขาพบว่าเมื่อก่อนตอนที่หลิวซื่อหลางเป็นเจ้าพนักงานธุรการอยู่ที่หกกรมนั้น เคยให้ความเท็จสร้างความเสียหายใหญ่หลวงมาก่อน มีผู้รอดชีวิตของปีนั้นมาขู่กรรโชกเขา เขาจึงสังหารคนเสีย นี่คงนับได้ว่าเป็นเพราะเดินทางมืดมิดมากเกินไปจนเจอผีแล้วกระมัง!…
…หากผลเก็บเกี่ยวของปีนี้ไม่ดี จะได้เอาเรื่องนี้มาเขียนนิทานปั้นเรื่องได้พอดี”
ขณะที่เขากล่าว ยังมองหวังซีอย่างลึกล้ำครั้งหนึ่งด้วย
หวังซีพลันตระหนักได้ว่านี่คือเรื่องที่พานเหลียงพูดถึงเรื่องนั้น
นี่เฉินลั่วกำลังเตือนนางอยู่หรือ
นางไม่เคยคิดปิดบังสิ่งใดจากเฉินลั่วอยู่แล้ว จึงเล่าเรื่องที่ตนรู้ให้เฉินลั่วฟัง
เฉินลั่วอัศจรรย์ใจ กล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าพานซื่อจะมีไหวพริบขนาดนี้ ฟังจากสิ่งเจ้าเล่ามาแล้ว ไม่แน่ว่าคุณชายหลิวท่านนั้นอาจรู้อะไรก็เป็นได้”
หวังซีกล่าว “ต้องการแหวกหญ้าให้งูตื่นหรือไม่”
เฉินลั่วตรึกตรอง “ช่วงนี้อย่าเพิ่งสนใจดีกว่า รอเสร็จจากงานเลี้ยงของท่านแม่ข้าก่อนค่อยว่ากัน เรื่องของพี่ใหญ่กับจวนชิงผิงโหวก็ต้องเริ่มขยับแล้วเช่นกัน รอเสร็จจากเรื่องวุ่นๆ นี้สักระยะก่อนค่อยว่ากันอีกที”
ท่าทางคล้ายกลัวทำให้การค้าของตระกูลหวังต้องล่าช้า
หวังซีรู้สึกหวานล้ำอยู่ในใจ กล่าวว่า “ก็ได้! หากเจ้าต้องการอะไร ก็บอกข้าแล้วกัน”
เฉินลั่วพยักหน้า หลังกลับจากบ้านหวังซีแล้วก็เดินอยู่ในลานบ้านกว่าครู่ใหญ่ แต่แล้วก็ทนไม่ไหวพาดตัวอยู่บนกำแพงมองจนหวังซีดับไฟถึงกลับห้อง เขานอนคิดอยู่บนเตียง คนที่ค่ายทหารต่างพูดกันว่าแต่งภรรยาแล้วดี มีภรรยารักและคอยเป็นห่วง เมื่อก่อนเขาไม่เห็นด้วย
ทว่าวันนี้ระหว่างเขากับสะใภ้หลิว หวังซีกลับเลือกเขา มิใช่แค่เล่าเรื่องของตระกูลหลิวให้เขาฟัง ยังไม่ขอให้เขาปล่อยสะใภ้หลิวไปด้วย นอกจากนี้มีเรื่องอะไรก็ให้เขาบอกนางทันที…เขาประหลาดใจมาก และยังสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ถูกใครสักคนรักและเป็นห่วงอีกด้วย
ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้มาก่อน
เสด็จลุงเลือกโอรสของตัวเอง บิดาเลือกเฉินอิง มารดาของเขามักจะเลือกความยุติธรรม เป็นครั้งแรกที่มีคนเลือกข้างเขา
นี่คงเป็นเหตุผลที่เขาเลือกหวังซีกระมัง
อนาคตหวังซีก็จะเลือกข้างเขาเป็นอันดับแรกโดยไม่ต้องไปชั่งน้ำหนัก ไม่ต้องไปครุ่นคิดพิจารณาเช่นนี้เหมือนกันกระมัง
เฉินลั่วหลับตาลง ไม่นานก็ผล็อยหลับลึกเข้าสู่ห้วงนิทรา
แสงจันทร์ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามา เผยให้เห็นรางๆ ว่ามุมปากของเขายกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
……………………………………………………….