เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล - ตอนที่ 235 มุมกำแพง
ไม่ว่าคุณหนูห้าเจี่ยจวนเซียงหยางโหวจะคิดอย่างไร ฉังหนิงออกเรือน อีกทั้งยังมาเป็นแขกที่บ้านของผู้อื่น อย่างไรใบหน้าก็ไม่สมควรแต้มไปความทุกข์ระทม สร้างความวุ่นวายให้เจ้าของบ้าน
นางยืนอยู่อีกมุมหนึ่งของทางเดินเพียงลำพังกว่าครึ่งค่อนวัน เมื่อจัดการเก็บอารมณ์ความรู้สึกเสร็จแล้วถึงได้เดินกลับไปที่โถงรับรองอย่างเชื่องช้า แต่สุดท้ายในใจยังคงรู้สึกไม่ค่อยแช่มชื่นนัก ตอนที่ผู้อื่นชวนกันไปดูเจ้าบ่าวมารับเจ้าสาวนั้น นางรั้งอยู่ที่โถงรับรอง มีสาวใช้มาเก็บกวาดห้องเพื่อตั้งพวกผลไม้ของหวานและเติมน้ำใหม่ รอให้เหล่าสตรีกลับจากไปดูความครึกครื้นแล้วจะได้นั่งลงมาพูดคุยอย่างสดชื่นและผ่อนคลาย
ดีร้ายอย่างไรคุณหนูห้าเจี่ยก็เป็นแขก การนางนั่งอยู่ในนี้ไม่ขยับไปไหน สาวใช้เหล่านั้นก็ไม่กล้าเก็บกวาด
นางครุ่นคิดแล้วเดินไปที่สวนดอกไม้เล็กด้านหลัง
ผู้ใดจะรู้ว่าเพิ่งพ้นโถงทางเดินมาก็เห็นหวังซี ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงนั่งยองอยู่ใต้ดอกไห่ถังข้างบันไดทางทิศตะวันตกของจวนเพียงคนเดียว ก้มหน้าลง ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่
นางตกใจไปครั้งใหญ่ นึกว่าหวังซีไม่สบาย เมื่อเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปก็ได้ยินหวังซีกำลังพูดว่า “ที่งานเลี้ยงวันนี้ไม่มีอะไรอร่อยเลย ข้ากินของหวานไปถ้วยหนึ่ง แม้แต่ของหวานถ้วยนั้นก็ยังทำไม่ได้รสชาติดั้งเดิม ไม่รู้ว่าเติมอะไรลงไป หวานจนเลี่ยน กล่าวเช่นนี้ถูกหรือไม่ คนทางเหนืออย่างพวกเจ้าเรียกสิ่งที่หวานเกินไปว่า ‘หวานจนเลี่ยน’?
คุณหนูห้าเจี่ยพลันเลือดลมสูบฉีดขึ้นด้านบน
นี่หวังซีกำลังคุยกับผู้ใด คงมิใช่กำลังแอบนัดพบใครอยู่หรอกกระมัง
เหตุใดตนถึงได้โชคร้ายขนาดนี้ บังเอิญเจอเข้าจนได้?
หากรู้เช่นนี้แต่แรกก็คงไม่สนใจว่านางจะสบายหรือไม่สบายแล้ว เดินจากไปเลยดีกว่า
เสียงที่ตอบหวังซีกลับมาเป็นเสียงของบุรุษจริงๆ นอกจากนี้ยังเป็นเสียงที่ไพเราะมาก เจือรอยยิ้มเอาไว้เล็กน้อย กล่าวว่า “ถูกต้อง! เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามจริงๆ เจ้าเพิ่งมาได้ไม่นาน แต่รู้เรื่องพวกนี้แล้ว ทว่าเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เจ้าดูปรับตัวได้มากแล้วนี่นา! ไม่มีเรื่องแบบที่แม้แต่พริกฮวาเจียวสักต้นก็ยังหามากินไม่ได้แล้ว! ต่อให้ข้าไร้ความสามารถอย่างไร ก็ไม่ถึงขั้นที่แม้แต่พริกฮวาเจียวต้นเดียวก็ยังหาไม่ได้หรอกกระมัง ถึงเวลาจะปลูกเอาไว้ในลานบ้านให้เจ้าสักผืนหนึ่ง ข้าจะคอยดูว่าพี่ใหญ่ยังจะพูดอะไรได้อีก!”
หวังซีหัวเราะคิก หันศีรษะมองไปทางด้านหลัง
คุณหนูห้าเจี่ยถึงได้ค้นพบว่าด้านหลังเสาต้นนั้นมีรองเท้าสีดำปักลายก้อนเมฆโผล่ออกมาให้เห็น
คนที่คุยกับหวังซีคือเฉินลั่ว?
ใบหน้าของนางพลันร้อนผ่าว
บทสนทนาของทั้งสองคนช่างหวานหยดย้อยยิ่งนัก
หมั้นหมายกันแล้วยังวิ่งออกมาลอบพบกันอีก
นึกถึงตรงนี้ นางอดกลอกตาอย่างใช้ความคิดไม่ได้
เมื่อก่อนสวนร่มหลิวกับจวนจ่างกงจู่คั่นเอาไว้ด้วยกำแพงหนึ่งเท่านั้น
นางว่าแล้วเชียวว่าเหตุใดงานแต่งนี้ถึงมาอย่างผิดปกตินัก ที่แท้ก่อนหมั้นหมายทั้งสองคนก็ไปมาหาสู่กันมาตั้งนานแล้ว
เมื่อคิดเช่นนี้ ไหล่ของนางห่อเหี่ยวลงมาหลายส่วน
ต่อให้เป็นเช่นนั้น แต่ทำให้จ่างกงจู่ยอมตอบตกลงโดยไม่โวยวาย ยังออกหน้าช่วยหมั้นหมายให้พวกเขาอีก ก็ถือว่าหวังซีผู้นั้นเป็นคนมีความสามารถผู้หนึ่งแล้ว
บางทีเฉินลั่วเองก็ชอบหวังซีมากเช่นกัน
ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของเฉินลั่ว มีคนมาชอบเขาตั้งมากมาย หากเขายินยอมก็คงหมั้นหมายไปนานแล้ว
ก็เหมือนคุณหนูรองจวนเว่ยกั๋วกงที่พวกนางพูดถึงก่อนหน้านี้ เกิดเรื่องกับบ้านตาของนาง มิใช่ว่ายังมีลุงป้าที่บ้านเดิมอยู่หรอกหรือ ถึงคราวให้สายรองจากจวนเว่ยกั๋วกงที่หาได้มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจวนเว่ยกั๋วกงมากขนาดนั้นอย่างครอบครัวนี้ออกหน้าช่วยเหลือตั้งแต่เมื่อใดกัน คุณหนูรองผู้นั้นก็แค่ใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้าง อยากลงมือผ่านเฉินลั่ว ล่อลวงเฉินลั่วมาไว้ในกำมือก็เท่านั้น
คาดว่าเฉินลั่วคงดูออกตั้งนานแล้ว จึงไม่หลงกล
นางรีบหลบไปอยู่ข้างๆ ต้นการบูรพลางคิดว่ารอพวกเขาเดินไปก่อนแล้วตัวเองค่อยออกไป หวังซีกับเฉินลั่วจะได้ไม่ต้องรู้สึกกระอักกระอ่วน นอกจากนี้พวกเขาที่ถือโอกาสมาเจอกันสักครั้งและคุยกันสักสองประโยคตอนที่มาร่วมงานแต่งเช่นนี้ น่าจะกลัวถูกผู้อื่นมาเห็น ไม่นานก็คงต่างคนต่างแยกย้ายกันแล้ว
แต่ผู้ใดจะรู้ว่าสถานที่ที่นางใช้ซ่อนตัวช่างไม่เป็นใจ นางได้ยินสิ่งที่ทั้งสองคนสนทนากันอย่างชัดเจน
คนหนึ่งกล่าวว่า “เจ้าเคยเห็นต้นพริกฮวาเจียวหรือไม่ หนึ่งต้นให้ผลผลิตมากมายนัก คนอย่างพวกข้ายังกินได้ตั้งหนึ่งฤดูหนาว พริกฮวาเจียวยังแบ่งเป็นสีแดงกับสีเขียว สีแดงเหมาะกับย่างปลา สีเขียวเหมาะกับย่างเนื้อ”
อีกคนหนึ่งกล่าวว่า “จากที่เจ้ากล่าวมา ข้าคงต้องปลูกต้นพริกฮวาเจียวสองต้นเสียแล้ว!”
“เช่นนั้นเจ้าจะทำให้หรือไม่”
“ทำให้! หากข้าไม่ทำ เจ้าต้องมีเรื่องมาว่าอีก ไม่แน่ว่าอาจลดอาหารของข้าด้วย คราวก่อนตอนที่ข้าไปกินข้าวด้วยข้าดูอย่างละเอียดแล้ว ไอ้ที่อยู่บนผักหมักจานนั้นคือพริกฮวาเจียวสีแดง”
หวังซีได้ยินแล้วหัวเราะคิกพลางลุกขึ้น กล่าวว่า “พวกเครื่องเคียงนี้เจ้าชอบกินผักหมักมากกว่าใช่หรือไม่ ก่อนหน้านี้ข้าดูแล้วหากเป็นผักแช่ในน้ำซีอิ๊วเจ้ายังกินบ้างสองสามตะเกียบ แต่ผักดองเค็มนั้นเจ้าไม่ค่อยชอบกินเท่าไรนัก”
ผักในน้ำซีอิ๊วเป็นรสชาติของทางเหนือ ผัดดองเค็มเป็นรสชาติของทางใต้ คาดว่าไม่ว่าจะเป็นผักแช่ซีอิ๊วหรือผักดองเค็มเขาล้วนไม่ชอบกินทั้งสิ้น แต่เพราะเคยชินก็เลยยังกินผักแช่ซีอิ๊วอยู่บ้าง
ตอนที่เห็นนางลุกขึ้นเฉินลั่วใช้แขนเสื้อรองเอาไว้ประคองนางครั้งหนึ่ง ยังถือโอกาสให้นางนั่งลงบนเก้าอี้คนงามที่อยู่ด้านข้างด้วย กล่าวว่า “บ้านข้าไม่ค่อยกินของพวกนี้เท่าไรนัก ท่านแม่ข้าบอกว่า ตอนนางเป็นเด็กมักถูกหมัวมัวสอนมารยาทตำหนิอยู่บ่อยๆ จึงไม่กล้ากินข้าวมาก ตกดึกหิวจนท้องร้อง มีนางกำนัลใจดีเอาแป้งย่างยัดไส้ผักแช่ซีอิ๊วให้นางกินผ่านพ้นไปหนึ่งมื้อ พอนางโตมาจึงไม่ชอบผักแช่ซีอิ๊วมากเป็นพิเศษ ที่บ้านพวกข้าก็เลยไม่ค่อยได้กินผักแช่ซีอิ๊ว ข้าเองก็รู้สึกเฉยๆ เช่นกัน”
หวังซีถอนใจกล่าว “นี่สู้ชีวิตวัยเด็กของข้าไม่ได้เลย!”
“เพราะฉะนั้นถึงได้กล่าวกันว่า ยิ่งดูงดงามโอฬาร ทำสิ่งใดก็ยิ่งต้องระมัดระวัง” เฉินลั่วกล่าวยิ้มๆ อย่างไม่ยี่หระ “เจ้าดูชีวิตของปั๋วหมิงเย่ว์ ยามหยิ่งผยองก็หยิ่งผยองจริงๆ ยามสลดก็ตัวงอเป็นตะขอ บางครั้งเศรษฐีบ้านๆ ก็มีข้อดีของเศรษฐีบ้านๆ เหมือนกัน”
ถามนางอีกว่า “เมื่อครู่เจ้าเห็นชัดแล้วกระมังว่ารังมดอยู่ที่ไหน ตามหาสิ่งนี้เพื่ออันใดหรือ”
หวังซีเม้มปากหัวเราะ “น่าสนุกดี!”
“คงเบื่อแล้วกระมัง!” เฉินลั่วเปิดโปงนางอย่างไม่เกรงใจแม้แต่ครึ่งเดียว “ข้าคิดว่าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ พวกนางอยากพูดไร้สาระ เจ้าก็เข้าไปร่วมวงพูดด้วย ใครต้องกลัวใครด้วยหรือ!”
หวังซีกล่าวยิ้มๆ ว่า “พูดเกี่ยวกับบ้านเจ้าก็ได้หรือ”
ช่วงนี้เจิ้นกั๋วกงไปไหนก็พาเฉินอิงไปด้วย ซือจูแต่งงานแล้วทว่าไม่เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงของตระกูลชั้นสูงในจิงเฉิงมาก่อน และทุกคนต่างรู้นิสัยของจ่างกงจู่ดี ไม่คิดจะขัดเกลาเฉินอิงสองพี่น้องมาตั้งแต่ปีนั้นแล้ว ยิ่งไม่มีทางขัดเกลาซือจูอย่างแน่นอน
เหตุใดซือจูไม่มาร่วมงานสังคม หลังจากที่หวังซีหมั้นหมายกับเฉินลั่ว พอทุกคนเห็นนางก็นึกถึงเรื่องซือจูขึ้นมา หากไม่มองอย่างพิพากษาก็มาถามนางอย่างอ้อมๆ
นางจะไปรู้ได้อย่างไร
กอปรกับที่คร้านจะเข้าไปร่วมครึกครื้นกับฉังหนิงก็เลยออกมาเดินเล่นตามอำเภอใจ
ไม่คิดว่าจะเจอเฉินลั่ว
ยามส่งตัวเจ้าสาวทุกคนต่างไปดูความครึกครื้นกันหมด การเว้นระยะของชายหญิงจึงไม่เข้มงวดมาก
เฉินลั่วมาเป็นตัวแทนของจวนเจิ้นกั๋วกง ตอนนั้นเขาหลบไปหาความสงบอยู่ใต้ชายคาของโถงรับรองใหญ่ด้านนอก พลันเหลือบไปเห็นสาวใช้ข้างกายของฉังเคอ ได้ยินสาวใช้ผู้นั้นคุยกับบ่าวชายอะไรทำนองว่าให้ไปซื้อลูกกวาดจากที่ไหนมาสักอย่าง ยังกล่าวว่า “ประเดี๋ยวคุณหนูจะเอาไว้รับรองคุณหนูต่างสกุล เจ้ารีบไปรีบกลับ”
ตอนนั้นเขาแปลกใจก็เลยเอ่ยถามไปครั้งหนึ่ง ถึงได้รู้ว่าหวังซีไม่ได้ตามเหล่าสตรีชั้นในไปส่งเจ้าสาว
ขณะนั้นเฉินลั่วพลันร้อนใจขึ้นมา กลัวว่าหวังซีอาจถูกเอาเปรียบ ฉังเคออยากปลอบโยนนาง จึงตั้งใจจะพาหวังซีไปพักผ่อนที่สวนร่มหลิวหลังส่งฉังหนิงเสร็จแล้ว
ผลปรากฏว่าพอเขามาตามหา กลับเจอหวังซีกำลังนั่งยองๆ ดูมดย้ายรังอยู่ตรงนั้น!
พอเห็นเขา ยังไล่ให้พวกไป๋กั่วนำความไปตอบกลับฉังเคอ ส่วนทั้งสองคนสนทนาอยู่ตรงนั้นกว่าครึ่งค่อนวัน
“ขาชาหรือไม่” เขาถามหวังซี อยากนวดขาให้นางแต่ก็กลัวจะเป็นการเสียมารยาทกับนาง ได้แต่กล่าวว่า “ประเดี๋ยวอย่าลืมให้สาวใช้นวดให้เจ้า” จากนั้นบอกนางว่า “เรื่องที่บ้านข้า เจ้าอยากพูดเช่นไรก็พูดได้เลย ไม่จำเป็นต้องช่วยปิดทองบนหน้าให้พวกเขา ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร เพียงแต่ว่าอย่าเอาตัวเจ้าเข้าไปยุ่งยากด้วยก็พอ”
ช่างใจใหญ่ใจโตจริงๆ!
หวังซีจึงกล่าวเย้าเขาว่า “หากพวกเขาว่าจ่างกงจู่ ข้าจะไม่พูดอะไรได้หรือ”
“ความจริงบุตรชายหญิงไม่ควรวิจารณ์ถูกผิดของบิดามารดาอยู่แล้ว” เฉินลั่วเสนอความเห็นให้นาง “เจ้าไม่พูดอะไรเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”
นี่หมายความว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะยืนเคียงข้างนาง!
งานแต่งครั้งนี้ดีกว่าที่ตนจินตนาการเอาไว้มากโข
หวังซีพยักหน้ายิ้มตาหยี
เฉินลั่วกล่าวขึ้นว่า “เจ้ารออยู่นี่ก่อนอย่าเพิ่งไปไหน ข้าจะเรียกพวกไป๋กั่วมา ให้พวกนางประคองเจ้าไปที่สวนร่มหลิว ไปกินขนมของว่างอยู่ที่นั่นตามใจชอบเสร็จแล้วก็กลับบ้าน ส่วนข้าเกรงว่าคงต้องรอจนถึงกลางดึก พวกเขาย่อมส่งเจ้าก่อนแล้วค่อยส่งข้ากลับ เจ้าไม่ต้องกลัว”
ฤกษ์มงคลคือยามโหย่วของช่วงเย็น ยามเว่ยเจ้าสาวก็ต้องออกจากประตูแล้ว ตอนเย็นยังมีงานมงคลต่อ คนที่ค่อนข้างสนิทหรือไม่ก็คนที่บ้านอยู่ไกลจะพักที่จวนหย่งเฉิงโหว รอเจ้าสาวกลับบ้านเดิมวันที่สามแล้วค่อยกลับไป อย่างหวังซีนี้สมควรรอเจ้าสาวกลับบ้านมาเยี่ยมญาติก่อนค่อยกลับไป แต่ไม่มีใครในจวนหย่งเฉิงโหวบอกนางเลยสักคน นางจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง
เฉินลั่วเองก็คิดเช่นเดียวกัน “หากไม่อยากอยู่ ก็ส่งคนไปบอกพี่สะใภ้ของเจ้าสักคำหนึ่ง พวกเจ้ากลับไปก่อน ไม่คุ้มที่ต้องอดทนอยู่ที่นี่ ทางพี่ใหญ่ข้าจะดูแลเอง”
สตรีกลับก่อนได้ แต่สำหรับหวังเฉินนั่นกลับถือว่าเป็นโอกาสได้รู้จักคนมากขึ้นโอกาสหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีเฉินลั่วคอยประกบอยู่ด้วยตัวเอง ดองกับบ้านจ่างกงจู่แล้วก็จริง แต่ทั้งสองครอบครัวมีท่าทีต่อการเกี่ยวดองครั้งนี้อย่างไรนั้นดูได้จากความใกล้ชิดหรือเหินห่างนี้แล้ว
ต่อไปเวลาหวังเฉินอยู่ข้างนอก แม้นผู้อื่นไม่ถึงกับประจบประแจงแต่ก็ไม่อาจรังแกได้ตามใจชอบเช่นกัน
หวังซีขานรับเสียงหนึ่ง กล่าวว่า “เช่นนั้นข้ากับพี่สะใภ้กลับก่อนแล้ว! พวกเขาหาได้เห็นพวกข้าเป็นญาติจริงๆ ก็ไม่คุ้มค่าที่พวกข้าจะต้องค้อมตัวให้เกียรติผู้อื่น”
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น” เฉินลั่วเร่งนาง “เช่นนั้นก็กลับเร็วหน่อยเถอะ จะได้ให้แม่ครัวของตัวเองทำของอร่อยให้ด้วย เมื่อครู่เจ้าบอกว่าไม่ได้กินดีๆ เลยมิใช่หรือ”
เสียงของเขาอ่อนโยน น้ำเสียงก็เบาลง เผยให้เห็นความเอาอกเอาใจหลายส่วน
ช่วงนี้หวังซีได้ยินบ่อยจนเริ่มชินแล้ว จึงไม่ได้รู้สึกผิดปกติอะไร ทว่าคุณหนูห้าเจี่ยที่ฟังอยู่ตรงมุมกำแพงกลับตกใจจนหวังซีกับเฉินลั่วต่างแยกย้ายไปครู่ใหญ่แล้วนางก็ยังไม่ได้สติคืนกลับมา
ไม่น่าเชื่อว่าเฉินลั่วก็มีช่วงเวลาเช่นนี้กับเขาด้วย
ท่าทางที่เขาคุยกับหวังซีดูไม่ออกว่าฝืนเลยแม้แต่น้อย ฟังเหมือนปกติทั่วไป แต่พอขบคิดอย่างละเอียดกลับพบว่าให้หวังซีเป็นหลักแทบทุกอย่าง
น้ำตาของนางพลันร่วงหล่นลงมา
ตระกูลเจี่ยดูสวยสดงดงาม แต่เนื่องจากท่านย่าเป็นพวกยกยอเบื้องสูงเหยียบย่ำเบื้องต่ำ จิตใจลำเอียงไม่เที่ยงตรง พวกพี่น้องชายหญิงแต่ละบ้านจึงระแวดระวังตัวกันทุกคน ทุกบ้านต่างมีลูกคิดเป็นของตัวเอง ระหว่างสามีภรรยาเคารพให้เกียรติกันมาก ทว่าคุยเรื่องส่วนตัวกันน้อยนัก
อย่างบิดามารดาของนาง เวลาอยู่ด้วยกันนอกจากหารือเรื่องของลูกๆ แล้ว ก็ไม่เคยได้ยินพวกเขาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของอีกฝ่ายเลยแม้แต่ประโยคเดียว
มารดานางมีแม่นมและหมัวมัวที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กอยู่ข้างกาย บิดานางก็มีอนุที่ปรนนิบัติรับใช้เขามาตั้งแต่เด็กและพ่อบ้านที่ไว้ใจอยู่ข้างกาย
เมื่อก่อนนางรู้สึกว่าเช่นนี้ดียิ่ง แต่หลายปีมานี้ ถึงแม้จะมีข้ารับใช้อยู่ข้างกายเป็นกอง ทว่าในใจกลับรู้สึกหนาวเหน็บอยู่เสมอ เห็นบ้านอื่นครื้นเครงก็อยากเข้าไปร่วมด้วย แม้นไม่เกี่ยวอะไรกับนาง แต่ฟังแล้วก็รู้สึกสนุกดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่พี่ชายนางแต่งงานมีภรรยา เมื่อก่อนยังมีเขาคุยกับนางสักสองสามประโยคหรือดูแลเรื่องของนางบ้าง แต่บัดนี้สายตาส่วนใหญ่ของพี่ชายมองแต่ครอบครัวเล็กๆ ของตัวเองเท่านั้นแล้ว
อนาคตนางจะเป็นอย่างไร จะได้เจอกับสามีที่สนใจและเอาใจใส่ตนเหมือนหวังซีบ้างหรือไม่นะ?
นางนึกถึงปั๋วหมิงเย่ว์ นึกถึงที่เฉินลั่วพูดว่าดูงดงามโอฬารนั่นขึ้นมา…
……………………………………………………….